“รมว.นฤมล”เผย หลังร่วมนายกฯ พบผู้ประกอบการรับซื้อผลไม้ ย้ำ Fruit Board คุมเข้มสินค้าให้มีมาตรฐาน ผ่าน 3 มาตรการ พร้อมเพิ่มช่องทาง e-Commerce ช่วยเกษตรกรไทยกระจายผลผลิต
ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังจัดกิจกรรมนายกรัฐมนตรีพบปะผู้ประกอบการรับซื้อผลไม้ เพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกผลไม้ ณ ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ว่า ช่วงฤดูกาลผลไม้ ปี 2568 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร ได้คุมเข้มคุณภาพสินค้าให้มีมาตรฐานและมีความปลอดภัย โดยดำเนินการผ่านคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) ซึ่งได้บริหารจัดการผลไม้ฤดูการผลิต ปี 2568 เพื่อยกระดับเกษตรกรไทยผลิตผลไม้ คุณภาพได้มาตรฐานสู่ตลาดสากล ผ่าน 3 มาตรการ คือ
มาตรการที่ 1 ส่งเสริมการปรับเพิ่มผลิตภาพการผลิตผลไม้ โดยการยกระดับคุณภาพ บรรเทาและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งเสริมการผลิตระดับสวน ตามมาตรการ GAP รวมถึงบริหารจัดการสภาพอากาศ ธาตุอาหาร น้ำ โรค แมลงศัตรูพืช
มาตรการที่ 2 เฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุม กำกับคุณภาพมาตรฐานสุขอนามัยพืช ตลอดห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่แปลงผลิต ล้ง ตลอดจนกระบวนการส่งออก กระจายตัวของผลผลิต โดยบริหารจัดการยืดระยะเวลาการออกผลสู่ตลาดนานขึ้น ทำให้ตลาดไม่กระจุกตัว มีข้อมูลในการวางแผนที่แม่นยำขึ้น ช่วยบริหารตลาดได้ดียิ่งขึ้น
มาตรการที่ 3 เพิ่มประสิทธิภาพกลไกตลาดสินค้าผลไม้ เน้นการทำงานแบบบูรณาการโดยคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ ร่วมมือกับทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคีเกษตรกร ภายใต้ 7 มาตรการ 25 แผนงาน ซึ่งได้เน้นย้ำให้ทุกฝ่ายทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อรักษามาตรฐานและยกระดับสินค้าเกษตรไทยอย่างเคร่งครัด ที่ผ่านมามีแผนติดตามและบริหารความเสี่ยงในการดำเนินงานบริหารจัดการผลไม้ ปี 2568 ในช่วงพฤษภาคม - มิถุนายน ที่กำลังจะออกผลผลิตสู่ท้องตลาด ได้แก่ เตรียมการบริหารจัดการน้ำ การควบคุมผลผลิตให้ได้มาตรฐาน ป้องกันการสวมสิทธิ์ การเพิ่มประสิทธิภาพห้องปฏิบัติการตรวจรับรองผล การสุ่มตรวจคุณภาพผลไม้อย่างเข้มข้น การส่งเสริมองค์ความรู้ให้เกษตรกรเตรียมการรับมือภัยแล้งและพายุฤดูร้อน (Climate Change) และประชาสัมพันธ์ให้เกิดการบริโภคผลไม้ในประเทศ รวมถึงอำนวยความสะดวกการค้าระหว่างแดนและข้ามแดน เป็นต้น
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังดำเนินการผ่าน 5 แนวทาง ได้แก่ แนวทาง 1 บริหารจัดการผลผลิตโดยวางแผนการกระจายตัวของผลผลิต ใช้ข้อมูลในการบริหารจัดการ ยืดระยะเวลาการออกผล ทำให้ตลาดไม่กระจุกตัว ส่งผลให้ผลผลิตภาคตะวันออกและภาคใต้ไม่เกิดการกระจุกตัว แนวทาง 2 ควบคุมคุณภาพตั้งแต่แปลงปลูก ยกระดับมาตรฐาน GAP สำหรับทุเรียน ตั้งจุดบริการตรวจก่อนตัด ป้องกันทุเรียนอ่อนออกสู่ตลาด แนวทาง 3 การบริหารจัดการกลุ่มเกษตรกร เพิ่มบทบาทแปลงใหญ่และสหกรณ์ในการควบคุมปริมาณและคุณภาพผลผลิต แนวทาง 4 การเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร จัดเกรดผลไม้ สำหรับผลผลิตที่ตกเกรด นำไปแปรรูป เป็นสินค้าเกษตรมูลค่าสูง เช่น ฟรีซดราย หรือนำไปสกัดทางเภสัชกรรม แนวทาง 5 การเพิ่มช่องทางการตลาด ส่งเสริมช่องทาง e-Commerce สำหรับเกษตรกร
ด้าน นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ในฐานะเลขาคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับสถานการณ์การผลิตผลไม้ 4 ชนิด ได้แก่ ลำไย มะม่วง ทุเรียน และมังคุด ในภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ ปี 2568 ที่มีจำนวน 3.4 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่มีปริมาณ 2.78 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้น 22%
โดย ลำไย ในภาคเหนือ ปี 2568 คาดว่ามีปริมาณ 1.64 ล้านตัน และลำไยในภาคตะวันออกคาดว่าปริมาณผลผลิต 2.1 แสนตัน และผลผลิตจะออกสู่ตลาดมากที่สุดถึง 60% ในเดือนสิงหาคม ถึงเดือนกันยายน
มะม่วง ในภาคเหนือ ปี 2568 คาดว่ามีปริมาณ 1.08 แสนตัน โดยผลผลิตจะออกสู่ตลาดมากที่สุด 50% ในเดือนเมษายน ถึงเดือนพฤษภาคม ส่วนมะม่วงในภาคตะวันออกคาดว่าปริมาณผลผลิต 33,000 ตัน และออกสู่ตลาดมากที่สุดถึง 60% ในเดือนพฤษภาคม
ทุเรียน ในภาคตะวันออก ปี 2568 คาดว่ามีปริมาณ 8.71 แสนตัน โดยผลผลิตออกสู่ตลาดมากที่สุดถึง 55% ในเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนมิถุนายน และทุเรียนในภาคใต้คาดว่าปริมาณผลผลิต 7 แสนตัน และผลผลิตจะออกสู่ตลาดมากที่สุดถึง 70% ในเดือนกรกฎาคม - สิงหาคม
มังคุด ในภาคตะวันออก ปี 2568 คาดว่ามีปริมาณ 2.58 แสนตัน โดยผลผลิตออกสู่ตลาดมากที่สุดถึง 70% ในเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนมิถุนายน และทุเรียนในภาคใต้คาดว่าปริมาณผลผลิต 1.47 แสนตัน และผลผลิตจะออกสู่ตลาดมากที่สุดถึง 50% ในเดือนสิงหาคม
ทั้งนี้ ปริมาณผลผลิตไม้ผลทั้ง 4 ชนิด ในปีนี้เพิ่มขึ้นเนื่องจากปีที่ผ่านมา ได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญและสภาพอากาศแปรปรวน ปริมาณผลผลิตน้อย จึงทำให้ได้พักต้นสะสมอาหาร สภาพต้นสมบูรณ์พร้อมออกดอกติดผลได้อย่างเต็มที่ ประกอบกับปีนี้สภาพอากาศหนาวเย็น เอื้ออำนวยต่อการออกดอกและติดผล โดยผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่เพิ่มขึ้นทั้ง 4 ชนิด ประกอบกับทุเรียนที่ปลูกในระยะหลายปีที่ผ่านมา เริ่มให้ผลผลิตเป็นปีแรกเพิ่มขึ้น จำนวน 72,908 ไร่ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.69
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี