ในช่วงปลายเดือน พ.ค. 2568 ที่ผ่านมา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) รายงานข่าวสถานการณ์เกี่ยวกับ “บุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า” อาทิ ในวันที่ 26 พ.ค. 2568 มีการจัดงานเปิดตัวนิทรรศการสัปดาห์วันงดสูบบุหรี่โลก (World No Tobacco Day) ในหัวข้อ “Design Hero: Innovator x บุหรี่ไฟฟ้า” ภายใต้โครงการสื่อสร้างสรรค์และกิจกรรมเพื่อการรณรงค์รู้เท่าทันสื่อ รู้เท่าทันสุขภาพ ณ อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สสส. โดยแผนงานสื่อศิลปวัฒนธรรมสร้างเสริมสุขภาพ
นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ในยุคที่การสื่อสารผ่านเทคโนโลยีเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและอิสระ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมการบริโภคข้อมูลข่าวสารของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชน ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการตกเป็นเหยื่อของอิทธิพลจากการโฆษณาและการสื่อสารด้านลบ โดยเฉพาะการชักชวนให้ใช้ “บุหรี่ไฟฟ้า” ที่ปัจจุบันแฝงตัวมาในรูปแบบทันสมัยและดูไม่น่ากลัว แต่กลับแฝงไว้ด้วยภัยร้ายต่อสุขภาพ
สอดคล้องกับผลสำรวจการบริโภคผลิตภัณฑ์ยาสูบในเยาวชนไทย (Global Youth Tobacco Survey: GYTS) ปี 2565 โดยกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล องค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา พบว่ากลุ่มนักเรียนอายุ 13-15 ปี สูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 3.3% ในปี 2558 เป็น 17.6% ในปี 2565 หรือเพิ่มขึ้น 5.3 เท่า และอายุของเยาวชนที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าอายุน้อยที่สุดอยู่ที่ 7 ปี เท่านั้น
“แม้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่กลับพบการซื้อ - ขายกันในโลกออนไลน์ได้ง่าย ปัจจุบันบุหรี่ไฟฟ้าออกแบบมาให้เหมือนของเล่นเด็กเล็ก (Toy Pod) แต่งกลิ่นให้มีรสชาติหอมหวาน และขณะนี้ผู้ผลิตได้พัฒนาบุหรี่ไฟฟ้า Gen 6 หรือ ‘พอดจมูก’ ใช้งานโดยการสูบทางจมูก แทนการสูดควันทางปาก ลักษณะคล้ายยาดม บรรจุภัณฑ์น่ารักเหมือนกล่องของเล่น ทำให้เด็กรู้สึกว่าไม่อันตราย” รองผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าว
ดร.ดนัย หวังบุญชัย ผู้จัดการแผนงานสื่อศิลปวัฒนธรรมสร้างเสริมสุขภาพ สสส. กล่าวว่า โครงการ Design Hero 2024 ได้พัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีทักษะเท่าทันสื่อและส่งเสริมการผลิตสื่อสร้างสรรค์ร่วมรณรงค์ ลด ละ เลิก บุหรี่ไฟฟ้า นำเสนอผ่านรูปแบบกราฟิกดีไซน์ อาร์ตทอย คลิปวิดีโอ และศิลปะ มีผลงานของเยาวชนที่เกิดขึ้นในโครงการฯ ทั้งสิ้น 15 ผลงาน เป็นต้นแบบสื่อรณรงค์ที่มีความพร้อมในการทำงานรณรงค์ ช่วยให้เด็ก เยาวชน และคนในสังคม มีภูมิคุ้มกันทางปัญญารู้เท่าทันภัยบุหรี่ไฟฟ้า
“ทั้งนี้ เตรียมขยายผลเดินหน้าโรดโชว์นิทรรศการไปยังสถาบันการศึกษา และพื้นที่สาธารณะในจังหวัดนำร่อง 15 พื้นที่ เช่น กรุงเทพฯ ตรัง นครราชสีมา พัทลุง และตาก พร้อมพัฒนาทักษะให้กับนักเรียน นิสิต และนักศึกษา สามารถนำแนวคิดไอเดียและความรู้ต่างๆ ไปต่อยอดสู่การเป็นพลเมืองนักสื่อสารสุขภาวะ ที่รู้เท่าทัน เข้าใจ และสร้างสื่อที่เข้าใจง่ายในชุมชนและโรงเรียนของตนเองต่อไปได้” ดร.ดนัย กล่าว
สำหรับ “การแสดงผลงานสร้างสรรค์ของเยาวชนจาก 15 ทีมทั่วประเทศ ในการร่วมสื่อสารเตือนภัยบุหรี่ไฟฟ้า” เป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ ความเข้าใจ และสร้างแรงบันดาลใจให้ได้ตระหนักถึงผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้า และร่วมกันเป็นพลังสำคัญในการปฏิเสธไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า ‘Say No To E-Cigarettes’ “ผู้สนใจสามารถเดินทางมายังอาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สสส. ย่านงามดูพลี – สาทร กรุงเทพฯ บริเวณชั้น 1 และ ชั้น 3 เพื่อรับชมนิทรรศการได้จนถึงวันที่ 8 มิ.ย. 2568 เวลา 09.00-17.00 น. (เว้นวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์)” ส่วนผู้สนใจโรดโชว์ สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ www.artculture4health.com หรือที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ “H-Club”
จากนั้นในวันที่ 27 พ.ค. 2568 มีการจัดเวที จัดเวที “ท้องถิ่นขยับ ประเทศปรับเปลี่ยน: ขับเคลื่อนสังคมไทยปลอดภัยจากควันบุหรี่ (ไฟฟ้า)” ณ อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สสส. โดย สสส. ร่วมกับ บองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ศูนย์พัฒนาศักยภาพกำลังคนด้านการควบคุมยาสูบ (พศย.) สถาบันวิจัยและพัฒนาการเรียนรู้ (สวร.)
นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า บุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงรุนแรง แต่ละปีมีประชากรโลกเสียชีวิตจากบุหรี่มากกว่า 8 ล้านคน โดยเสียชีวิตจากการสูบบุหรี่กว่า 7 ล้านคน และจากควันบุหรี่มือสองอีกประมาณ 1.2 ล้านคน บุหรี่เพิ่มโอกาสเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด 2-4 เท่า เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอด 25 เท่า สำหรับไทย ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567 พบคนไทยมีแนวโน้มสูบบุหรี่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
โดยมีผู้สูบบุหรี่ทั้งสิ้น 9.8 ล้านคน คิดเป็น 16.5% ของประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป ลดลงจาก 17.4% ในปี 2564 โดยเพศชายสูบบุหรี่สูงถึง 9.5 ล้านคน หรือ 33.5% ของประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป ส่วนเพศหญิงสูบบุหรี่เพียง 0.3 ล้านคน หรือ 1% โดยผู้สูบบุหรี่อาศัยในเขตเทศบาล 14.6% และอาศัยนอกเขตเทศบาล 18.1% ทั้งนี้ “ภาคใต้มีการสูบบุหรี่มากที่สุด 22.2%” รองลงมาคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 17.92% ขณะที่ภาคกลางน้อยที่สุดคือ 14.2%
ซึ่ง สสส. ตระหนักถึงบทบาทสำคัญขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่จะมีส่วนร่วมในการควบคุมยาสูบ โดยสนับสนุนให้ชุมชนท้องถิ่นดำเนินงานด้านการสร้างเสริมสุขภาพในประเด็นต่างๆ อาทิ การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ การดูแลเด็กปฐมวัยในชุมชน การดูแลสุขภาพในชุมชน การควบคุมยาสูบ สารเสพติด และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในชุมชน และได้สนับสนุนมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ดำเนินงานขับเคลื่อนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นปลอดบุหรี่ต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2560 จนถึงปัจจุบัน
“โดยมียุทธศาสตร์การดำเนินงาน 3 เรื่องหลัก 1.ป้องกันนักสูบหน้าใหม่ 2.คุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ 3.ช่วยคนสูบบุหรี่ให้เลิก ขณะนี้มี อปท. ที่ดำเนินงานขับเคลื่อน อปท.ปลอดบุหรี่แล้ว 2,325 แห่งทั่วประเทศ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการเชื่อมร้อยภาคีเครือข่ายในท้องถิ่นอื่นๆ ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการรณรงค์ลดอัตราการสูบบุหรี่ของประชาชนที่อยู่ในท้องถิ่น” นพ.พงศ์เทพ กล่าว
นายพิทยา จินาวัฒน์ กรรมการบริหารแผนคณะที่ 1 สสส. กล่าวว่า การลดอัตราการสูบบุหรี่ให้สำเร็จ จำเป็นต้องให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนทางนโยบายควบคุมยาสูบต่อเนื่อง ควบคู่กับการเฝ้าระวังและศึกษาผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจัง เพื่อป้องกันการขยายตัวของนักสูบหน้าใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชน รวมทั้งบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการดำเนินมาตรการที่เข้มข้นและมีประสิทธิภาพ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องให้เครือข่ายนักรณรงค์ในระดับท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมและสนับสนุนให้ อปท. รับทราบสถานการณ์ และร่วมกันแก้ไขปัญหาให้ครอบคลุมพื้นที่อย่างเป็นระบบและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติ ทั้งมิติด้านการพัฒนากำลังคน การป้องกันนักสูบหน้าใหม่ การสร้างสิ่งแวดล้อมให้ปลอดควันบุหรี่ การบังคับใช้กฎหมาย และการบำบัดรักษาผู้ติดบุหรี่” นายพิทยา ระบุ
นางสวาท โกชุม นายกเทศมนตรีตำบลสันนาเม็ง อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า จุดแข็งของเทศบาลตำบลสันนาเม็งคือ การทำงานเชิงรุกในการเชื่อมประสานเครือข่าย ทั้งโรงเรียน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ร้านค้า หน่วยงานรัฐและเอกชน เพื่อเข้าถึงประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะการทำงานกับ รพ.สต. ในพื้นที่ ที่ทำงานเรื่องบุหรี่ชัดเจน “สันนาเม็ง รวมใจ ต้านภัยควันบุหรี่” มีบุคลากรประจำที่คลินิกเลิกบุหรี่ มีนวัตกรรมสมุนไพรเลิกบุหรี่
“ในอนาคตวางเป้าหมายลดพฤติกรรมการสูบบุหรี่ ให้เชื่อมร้อยกับการลดจำนวนผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อ (NCDs) ในพื้นที่ สร้างมาตรการร่วมกันว่า ผู้ป่วย NCDs ต้องไม่สูบบุหรี่ หรือถ้าสูบก็ขอให้เลิกให้ได้ เพื่อสุขภาพของประชาชนที่ดีมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีลานกีฬาต้านยาเสพติดที่ประชาชนทุกช่วงวัยเข้ามาใช้ประโยชน์ โดยกำหนดให้เป็นเขตปลอดบุหรี่ รณรงค์ติดสติ๊กเกอร์พื้นที่ปลอดบุหรี่ สร้างความเข้าใจและชวนคนในชุมชน เฝ้าระวัง พร้อมมีเทศกิจคอยสอดส่องและสำรวจภายในพื้นที่ ซึ่งประชาชนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี” นางสวาท กล่าว
นางนัฏฐิยา โยมไธสง ผู้อำนวยการสำนักสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาลเมืองมหาสารคาม อ.เมือง จ.มหาสารคาม กล่าวว่า เทศบาลเมืองมหาสารคามขับเคลื่อนประเด็นบุหรี่ในพื้นที่ ต่อเนื่องกว่า 20 ปี โดยพบกลุ่มของเด็กและเยาวชนสูบบุหรี่ค่อนข้างสูงถึง 20% ของพื้นที่ เทศบาลเมืองมหาสารคาม และชุมชน จึงร่วมกันขับเคลื่อนลด ละ เลิกการบริโภคบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า ร่วมกับ อปท. ทั่วประเทศ ภายใต้การเสริมศักยภาพของ สสส. ประกาศให้ “มหาสารคามเป็นจังหวัดต้นแบบปลอดบุหรี่” ทำให้อัตราการสูบบุหรี่ในพื้นที่ลดลง ผ่านการดำเนินงานสำคัญ
“1.รณรงค์ให้ความรู้ และเชิญชวนทุกพื้นที่วางแผนการทำงานควบคุมบุหรี่ โดยใช้ข้อมูลที่พื้นที่เก็บผ่านเครื่องมือ TCNAP และประยุกต์ใช้ข้อมูล RECAP พัฒนาชุดกิจกรรมที่สื่อสารให้ตรงกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม 2.ขึ้นภาษีบุหรี่และกฎข้อบังคับต่างๆ ทั้งบุหรี่มวนที่เพิ่มราคาสูงขึ้น และบุหรี่ไฟฟ้าที่ประกาศให้เป็นสิ่งผิดกฎหมาย ห้ามจำหน่ายและมีไว้ในครอบครอง ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย 3.บังคับใช้กฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในพื้นที่สาธารณะ ทุกคนในชุมชนช่วยกันสอดส่อง ทำให้เกิดการมีส่วนร่วมเป็นโครงข่ายทั่วถึงกันทุกภาคส่วนในชุมชน” นางนัฏฐิยา กล่าว
ในวันที่ 29 พ.ค. 2568 สสส. ร่วมกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จัดพิธีเปิดนิทรรศการมีชีวิต FAKE OR FRESH? - MY LIFE EXHIBITION ภายใต้โครงการ “รู้ทันสื่อรู้ทันภัยป้องกันเยาวชนไทยจากบุหรี่ไฟฟ้า” เนื่องในวันงดสูบบุหรี่โลก ณ ลานนิทรรศการหมุนเวียนชั้น 1 ศูนย์การเรียนรู้ ธปท. เชิงสะพานพระราม 8 กรุงเทพฯ
โดย นพ.พงศ์เทพ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า เนื่องในวันงดสูบุบหรี่โลก 31 พฤษภาคม ของทุกปี ในปี 2568 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดคำขวัญว่า “กระชากหน้ากากธุรกิจบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า : นิโคตินเสพติด จน ตาย” เพื่อมุ่งให้ประชาชนตระหนักถึงกลยุทธ์ที่อุตสาหกรรมยาสูบใช้ทำตลาดดึงดูดผู้บริโภคหน้าใหม่ที่ยังไม่มีเคยสูบบุหรี่มาก่อน จากปัญหาการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า
ล่าสุด สสส. ร่วมกับ ดร.วศิน ศิวสฤษดิ์ นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ ศึกษาสถานการณ์ค่าใช้จ่ายในการสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า รวมถึงพฤติกรรมการสูบบุหรี่ของกลุ่มผู้สูบบุหรี่ต่างๆ ในไทย โดยวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นของกลุ่มตัวอย่าง 4 จังหวัดภาคใต้ 1,029 คน ได้แก่ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และสงขลา พบว่า กลุ่มผู้หญิง และLGBTQIA+ ส่วนใหญ่สูบบุหรี่ไฟฟ้า ส่วนผู้ชายส่วนใหญ่ยังคงสูบบุหรี่มวน
“ที่น่าเป็นห่วงคือ กลุ่มเยาวชนอายุ 15-20 ปี สูบบุหรี่ไฟฟ้าสูงถึง 65.5% ผู้สูบยิ่งอายุน้อยยิ่งมีแนวโน้มสูบบุหรี่ไฟฟ้ามากกว่าสูบบุหรี่มวน เหตุผลหลักที่สูบคือเพื่อคลายเครียด และติดนิโคตินจนไม่สามารถเลิกได้ โดยพบค่าใช้จ่ายจากการสูบบุหรี่มวนอย่างเดียวอยู่ที่ 892.67 บาทต่อเดือน คิดเป็น 7.16% ของรายได้หลัก ค่าใช้จ่ายจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเดียวอยู่ที่ 1,080.81 บาทต่อเดือน คิดเป็น 16.43% และสูบทั้งสองอย่างอยู่ที่ 1,290.74 บาทต่อเดือน คิดเป็นร้อยละ 9%” นพ.พงศ์เทพ ระบุ
นพ.พงศ์เทพ ยังกล่าวด้วยว่า แม้ผลสำรวจจากสำนักงานสถิติแห่งชาติปี 2567 คนไทยมีแนวโน้มสูบบุหรี่ลดลงอยู่ที่ 16.5% แต่ภาคใต้ยังมีการสูบบุหรี่มากที่สุด 22.2% มีคนสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นเป็น 900,459 คน เป็นเยาวชนอายุ 15-24 ปี จำนวน 251,625 คน ถือว่าเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าในเวลา 3 ปี สะท้อนว่าอุตสาหกรรมยาสูบมีการปรับกลยุทธ์การตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะเด็กและเยาวชนมากขึ้น
ขณะที่ต้นทุนค่ารักษาพยาบาลจากโรคที่เกิดจากบุหรี่ไฟฟ้าปี 2567 ของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ใน 4 โรค คือ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจขาดเลือด และโรคหอบหืด รวมสูงถึง 306,636,973 บาท ซึ่งจากสถานการณ์การระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า สสส. จึงทำงานเชิงรุกมุ่งให้เกิดสังคมที่ห่างไกลปลอดปัจจัยเสี่ยง และกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ลด ละ เลิกสูบบุหรี่ทุกชนิด เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวคุณเองและคนรอบข้าง
โดย สสส. ร่วมกับ ธปท. จัดนิทรรศการมีชีวิต FAKE OR FRESH? ออกแบบเนื้อหาให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายคือ เยาวชน เป็นนิทรรศการอินเตอร์แอคทีฟ และกิจกรรมที่ชวนตั้งคำถามกับสิ่งที่เห็นและเลือกให้ถูก แบ่งออกเป็น 2 โซน คือ 1.โซน Tunnel Exhibition : Magic Milk เปิดประสบการณ์สำรวจบุหรี่ไฟฟ้า มี 3 ห้อง ห้องแรกมีแอปเปิลสีสดใสเป็นตัวแทน แสดงถึงกลิ่นหอมเย้ายวนใจ
ห้องสองแสดงเบื้องหลังความสวยงามที่หลอกล่อของแอปเปิล หรืออุตสาหกรรมยาสูบที่ใส่สารพิษอันตราย และห้องสามเป็นห้องมืดสนิท มีการตั้งคำถามชวนติดตามและแสดงวิดีโอเพื่อสัมผัสแสง สี เสียงที่จะกระตุ้นความคิด กับ 2.โซน FACT บุหรี่ไฟฟ้า นำสรุปความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวของบุหรี่ไฟฟ้าที่มีอันตรายซ่อนอยู่ภายใต้หน้าตาแสนน่ารักหรือ Toy Pod ชวนให้รู้ทันเทรนด์ และแคมเปญการสื่อสารหลอกล่อ ราคาสุขภาพที่ต้องจ่ายและเงินออม โดย “ผู้สนใจเข้าชมทุกอังคาร-วันอาทิตย์ ไปจนถึงวันที่ 22 มิ.ย. 2568 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย” ที่ศูนย์การเรียนรู้ ธปท.
ดร.โสภี สงวนดีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ศูนย์การเรียนรู้ ธปท. เปิดให้บริการประชาชนตั้งแต่ปี 2561 เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ในหลาย ๆ ด้าน ทั้งเศรษฐกิจ การเงิน การธนาคาร ประวัติศาสตร์ สังคม และสิ่งแวดล้อม ผ่านบริการห้องสมุด พิพิธภัณฑ์เงินตรา การจัดนิทรรศการและกิจกรรมอื่นๆ ซึ่งครั้งนี้ได้ร่วมกับ สสส.จัดนิทรรศการเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อสร้างความตระหนักด้านสุขภาพ
“เพราะบุหรี่ไฟฟ้าเป็นเรื่องที่น่ากังวลและส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างมาก เป็นหนึ่งในปัญหาสังคมที่มีแนวโน้มการใช้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และแพร่ลงไปถึงเด็กนักเรียนระดับประถม โดยศูนย์การเรียนรู้ ธปท. เป็นที่รู้จักของกลุ่มคนที่หลากหลาย โดยเฉพาะเด็กนักเรียน เยาวชน ผู้ปกครอง และประชาชนทั่วไป จึงมั่นใจว่าจะมีส่วนสนับสนุนกิจกรรมให้บรรลุเป้าประสงค์สร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับโทษและอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าอย่างแท้จริง” ผู้อำนวยการอาวุโส ธปท. กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี