อธ.อัยการ สคช. เปิด พ.ร.บ.อุ้มหายฯ ตัดเขตอำนาจศาลทหาร ยกเคสคดีศาลอาญาคดีทุจริตฯสั่งจำคุก 20 ปี ครูฝึก ทำร้ายพลทหารเสียชีวิตในค่ายกม.เปิดช่องแจ้งเหตุอัยการได้ตลอด24 ชม
วันที่ 2 มิถุนายน 2568 นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง อธิบดีอัยการสำนักงานคุ้มครองสิทธิ และช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน (สคช.)ได้ให้ความเห็นทางกฎหมาย ผ่านเฟซบุ๊ค ถึงกรณีการเสียชีวิตของพลทหารนายหนึ่งหรือน้องเน จากการถูกครูฝึกร่วมกันทำร้าย ทำให้ประชาชนตื่นรู้ รู้กฎหมาย รู้วิธีหาความยุติธรรม เพราะเนื่องจากเดิมที่เรารับทราบกันว่าหากเกิดเหตุลักษณะนี้ในค่ายทหารจะเป็นอำนาจการพิจารณาคดีของศาลทหาร
แต่คดีนี้พ่อแม่ของน้องพลทหาร ได้ไปแจ้งเหตุมีการซ้อมทรมานกับลูกชายที่ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย สำนักงานอัยการการสอบสวน ถ.บรมราชชนนี ซึ่งจะมีอัยการ6คนเข้าเวรตลอด 24ชั่วโมง รวมเจ้าหน้าที่ด้วยก็ 10 คนคอยรับเรื่องและพร้อมเข้าทำการสอบสวน เรื่องนี้เป็นการที่ประชาชนใช้กฎหมายคุ้มครองสิทธิ์ของตนเอง อัยการก็รับเรื่องดำเนินการคุ้มครองสิทธิ์ให้ประชาชนตามเจตนารมย์ของกฎหมายอุ้มหาย ซ้อมทรมาน
คดีนี้ศาลจำคุกครูฝึก 20 ปี 15 ปี และผู้ช่วยครูฝึก 10 ปี เป็นข่าวแพร่หลายกันในโซเชียล แต่สิ่งสำคัญที่อยากให้ประชาชนคิดและเรียนรู้จากข่าวนี้คือ ประชาชนลุกขึ้นมาคุ้มครองสิทธิ์ของตนเอง โดยการแจ้งเหตุการซ้อมทรมานต่อสำนักงานอัยการ ตามพ.ร.บ ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายพ.ศ. 2565 ไม่ต้องมีเส้น ไม่ต้องวิ่งเต้น แค่เข้าแจ้งเหตุ ให้อัยการทราบ ก็ได้รับความยุติธรรมตามกฏหมาย
โดยมาตรา 5 ความผิดฐานกระทำทรมาน ผู้ใดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นเจ็บปวดหรือทุกข์ทรมานอย่างร้ายแรงแก่ร่างกายหรือจิตใจ เพื่อลงโทษผู้ถูกทรมานฯ
เมื่อประชาชนแจ้งเหตุ ถูกซ้อมทรมานตามมาตรา 5 แล้ว อัยการก็จะรับเรื่อง เพื่อคุ้มครองสิทธิ ของประชาชน ตามเจตนารมย์ของกฎหมาย ให้ถูกต้องเป็นธรรม
การดำเนินคดีจึงเริ่มต้นขึ้นตามมาตรา 31 พนักงานอัยการจะเข้าตรวจสอบหรือกำกับการสอบสวน จนการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว กฎหมายกำหนดว่า
มาตรา 34 ให้ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเป็นศาลที่มีเขตอำนาจเหนือคดีความผิดตามพ.ร.บ.ป้องกันและ ปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย จึงส่งสำนวนให้อัยการสำนักงานอัยการปราบปรามทุจริตภาค2 พื้นที่เกิดเหตุเป็นผู้พิจารณาสั่งฟ้อง ต่อศาลอาญาปราบปรามทุจริตภาค 2 โดยอัยการสั่งฟ้องตามมาตรา 5 , 34 .35
ในมาตรา 35 ได้กำหนดว่าผู้ใดกระทำความผิดฐานกระทำทรมาน เป็นเหตุให้ผู้กระทำถึงแก่ความตาย ต้องระวังโทษจำคุกตั้งแต่ 15 ปีถึง 30 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 300,000 บาทถึง1 ล้านบาท ซึ่งเป็นโทษที่สูงกว่าการทำร้าย ในกฎหมายอาญา
ผลคำพิพากษาจำคุกจำเลยทั้งหมด ในคดีนี้ ย่อมทำให้รู้เห็นได้ว่า ความยุติธรรม ของประชาชน จะได้รับการคุ้มครอง สิทธิตามกฏหมาย เพียงลุกขึ้นแจ้งเหตุให้อัยการทราบ เพราะกฎหมายอุ้มหายซ้อมทรมาน เป็นกฎหมายที่มีเจตนารมย์ในการปกป้องสิทธิ์ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ของประชาชน จาก การปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ
อธิบดีอัยการ สคช. ระบุต่อว่า คดีนี้จึงเป็นคดีสำคัญ ที่อัยการทุกสำนักงานทั่วประเทศ เข้าเวรรับแจ้งเหตุ การอุ้มหายการซ้อมทรมาน ตลอด 24 ชั่วโมง และทำงาน ในหน้าที่ ตามกฏหมายจนกฎหมายมีประสิทธิภาพ ลงโทษผู้กระทำความผิด ให้ประชาชนได้รับความยุติธรรม ความยุติธรรมเกิดจากการคุ้มครองสิทธิ์ของประชาชน แล้วประชาชนอย่าลืมคุ้มครองสิทธิ์ของตนเอง แจ้งเหตุ แจ้งความ รักษาสิทธิ์ของประชาชนกันด้วย อัยการจังหวัด ทุกจังหวัดทั่วประเทศ รับแจ้งเหตุเหตุการณ์อุ้มหายการซ้อมทรมาน ขอให้ประชาชนเข้าไป แจ้งที่อัยการจังหวัดได้เลย
ทั้งนี้ถ้าเราพบเห็นเหตุการณ์ โดนอุ้ม ซ้อมทรมาน สามารุแจ้งอัยการแจ้งตำรวจได้เลย ใน มาตรา 29 ระบุชัดเจนว่าขอเพียงเป็นผู้ใดก็ตามที่พบเห็นหรือทราบการทรมาน-อุ้มหาย แปลว่าใครก็ได้สามารถแจ้งเหตุได้โดยไม่ชักช้า โดยอาจเข้าไปแจ้งด้วยตัวเอง โทรศัพท์ หรือการสื่อสารใดๆ ก็ได้ โดยมาตรานี้ยังปกป้องคนที่จะมาแจ้งเหตุไว้อีกชั้นหนึ่งด้วยว่า การแจ้งเหตุที่สุจริตจะไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย แม้ในภายหลังจะพบว่าการทรมาน-อุ้มหายที่แจ้งนั้นไม่ได้เกิดขึ้น กล่าวคือ ผู้แจ้งจะไม่ตกอยู่ในความเสี่ยงของการถูกฟ้องกลับทั้งในทางแพ่งและอาญาว่าแจ้งเท็จ เป็นต้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี