6 มิ.ย. 2568 คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ร่วมกับ มูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ (SWING) และโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) จัดเสวนาหัวข้อ “การพัฒนาร่างแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการค้าประเวณีและการขายบริการทางเพศ” ที่อาคารรัฐสภา
ศ.ดร.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ อาจารย์สาขาวิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การซื้อ – ขายบริการทางเพศ ประการแรกสุดคือมีเรื่องการแลกเปลี่ยน หรือมีสภาพเป็นตลาด มีผู้ซื้อ ผู้ขาย ตลอดจน Facilitator หรือผู้อำนวยความสะดวกในการซื้อ – ขาย ดังนั้นกฎหมายหรือนโยบายสาธารณะจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนทั้ง 3 กลุ่มข้างต้น จะเลือกเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไม่ได้
ประการต่อมา การซื้อ – ขายบริการทางเพศ เป็นสิ่งที่ถูกตีตราประณามอย่างรุนแรงมากโดยเฉพาะกับผู้ขาย ส่วนผู้ซื้อจะถูกประณามเบากว่า เพราะถูกมองว่าเป็นรูปแบบเรื่องเพศที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม ในขณะที่เรื่องเพศซึ่งถูกต้องเหมาะสมจะเกิดขึ้นในสถาบันการแต่งงานและเป็นไปเพื่อการเจริญพันธุ์แบบผัวเดียว – เมียเดียวเท่านั้น แต่ก็น่าคิดว่าทั้งที่สังคมประณามการซื้อ – ขายบริการทางเพศ แต่สิ่งนี้กลับอยู่คู่สังคมมานานมาก ถึงขนาดที่ผู้คนทึกทักกันไปว่านี่คืออาชีพที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
นั่นแปลว่าการซื้อ – ขายบริการทางเพศ มี Function (หน้าที่) ในทางสังคมบางอย่างอยู่ที่จะต้องพิจารณา แต่เรื่องนี้งานวิจัยโดยเฉพาะในฝั่งของผู้ซื้อบริการทางเพศก็พบว่าไม่ค่อยมี ดังนั้นเวลาจะกำหนดนโยบายสาธารณะ จะกำหนดกติกา ขอให้ฐานอยู่ที่ความรู้ อย่าเป็นการทึกทัก ซึ่งสิ่งที่ยังไม่รู้ก็คือคนซื้อบริการทางเพศนั้นซื้ออะไรด้วยเหตุผลอะไร แต่หากจะให้อธิบายเร็วๆ ก็มองว่าคนซื้อบริการทางเพศนั้นซื้อรูปแบบทางเพศที่ปรารถนาแต่ไม่สามารถสนองได้ในความสัมพันธ์หรือในสถาบันการแต่งงาน ซึ่งก็หลากหลายมาก
ในทางกลับกัน ฝั่งคนขายบริการทางเพศ รูปแบบการขายและเหตุผลที่เข้ามาขายก็หลากหลาย ซึ่งก็ยังขาดความรู้ไม่ต่างกับฝั่งคนซื้อ จึงต้องมีการศึกษาอย่างจริงจัง อนึ่ง การออกกฎหมายเรื่องการขายบริการทางเพศ จะเห็นมุมมองต่อผู้เข้ามาขายบริการทางเพศ 3 อย่าง คือ 1.ถูกบังคับล่อลวง ซึ่งปัจจุบันกฎหมายไทยสามารถแยกคนถูกบังคับกับคนสมัครใจได้แล้ว 2.ความยากจนและมีการศึกษาน้อย แต่ข้อนี้ก็สะท้อนปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและการกระจุกตัวของทรัพย์สินในภาพใหญ่ของสังคมด้วย
และ 3.แง่มุมทางเศรษฐกิจ ซึ่งไม่ใช่เพียงช่องทางหารายได้เลี้ยงชีพเฉพาะของผู้ขายบริการเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวที่การขายบริการทางเพศเข้าไปอยู่เป็นส่วนหนึ่งในนั้นด้วย ดังนั้นเมื่อมองผู้ขายบริการทางเพศอย่ามองแต่การสงเคราะห์เพียงอย่างเดียว อนึ่ง รัฐสมัยใหม่จะมีแนวทางต่อการซื้อ – ขายบริการทางเพศ อยู่ 3 รูปแบบ คือ 1.ห้ามโดยเด็ดขาด แต่ในความเป็นจริงไม่ค่อยมีรัฐหรือประเทศใดออกกฎหมายไปถึงขั้นนี้
2.อนุญาตให้ทำได้ภายใต้การมีกฎหมายกำกับดูแล กำหนดว่าอะไรทำได้หรือไม่ได้ และ 3.ไม่เป็นความผิดและไม่ต้องมีกฎหมายมากำกับเป็นการเฉพาะ ซึ่งรูปแบบที่ 3 นี้เป็นไปเพื่อจะสถาปนาสถานะของการขายบริการทางเพศในฐานะเป็นอาชีพหนึ่งที่มนุษย์สามารถเลือกทำได้ในบางช่วงของชีวิต ในขณะที่รูปแบบที่ 2 นั้นอาจก่อให้เกิดปัญหาได้ กล่าวคือ การมองว่าการขายบริการทางเพศเป็นกิจกรรมเฉพาะที่ต้องมีกฎหมายดูแล สิ่งที่จะตามมาด้วยคือการตีตราประณามผู้ประกอบอาชีพดังกล่าว นั่นทำให้คนหลายกลุ่มอยากให้ไปออกในรูปแบบที่ 3 มากกว่า
“ไม่ต้องมีกฎหมายกำกับบังคับ ให้มองการค้าบริการทางเพศในฐานะการงานอาชีพและดูแลกำกับโดยกฎหมายแรงงาน อาจมีมาตรการเฉพาะในฐานะแรงงานรูปแบบเฉพาะ รัฐไทยก็มีมาตรการเฉพาะสำหรับการงานอาชีพหลายอาชีพอยู่แล้ว ถ้าเรา Decriminalize (ยกเลิกความผิด) การขายบริการทางเพศ เราอาจต้องมีมาตรการที่จะดูแลแรงงานประเภทนี้ สิ่งที่เสนอก็คืออยากจะให้มองผู้ขายบริการทางเพศในฐานะพนักงานแรงงานที่ขายบริการทางเพศ” ศ.ดร.ชลิดาภรณ์ กล่าว
น.ส.สุภัทรา นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า ในมุมมองด้านสิทธิมนุษยชน เสรีภาพในการประกอบอาชีพคือเสรีภาพขั้นพื้นฐานและเชื่อมโยงกับสิทธิมนุษยชนด้านอื่นๆ เพราะการมีอาชีพหมายถึงการมีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ตามมา อย่างในช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ผู้ขายบริการทางเพศ หรือ Sex worker ร้องเรียนมาที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เพราะไม่ได้รับเงินเยียวยาจากรัฐบาลเหมือนกับอาชีพอื่นๆ เนื่องจากถูกชี้ว่าเป็นอาชีพผิดกฎหมาย ทั้งที่ได้รับผลกระทบจากการปิดสถานบริการ
หรือเรื่องผู้ขายบริการทางเพศถูกผู้ซื้อบริการเบี้ยวไม่จ่ายเงิน แต่พอจะไปแจ้งความกลับถูกดำเนินคดีฐานค้าประเวณีอีก ดังนั้นกฎหมายที่มีอยู่จึงเป็นการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน อนึ่ง แม้จะยกเลิกความผิดอาชีพขายบริการทางเพศ ก็ยังมีกฎหมายดูแลเรื่องอื่นๆ อยู่แล้ว เช่น คนที่ถูกบังคับล่อลวง ก็จะเข้าข่ายกฎหมายป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือการมีเพศสัมพันธ์กับเด็กก็มีกฎหมายระบุความผิดอยู่
ทั้งนี้ ประมาณวันที่ 15 มิ.ย. 2568 ตนจะเดินทางไปที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดย กสม. จะทำรายงานคู่ขนานไปกับการประชุมอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (CEDAW) ซึ่งเป็นรอบการรับฟังประเทศไทย ซึ่งที่ผ่านมาไทยได้รับข้อเสนอแนะจากคณะกรรมการของ CEDAW มาตลอดว่าขอให้ยกเลิกกฎหมายที่ระบุความผิดของผู้ประกอบอาชีพขายบริการทางเพศ
“กสม. เราเสนอแนะว่าควรจะปฏิบัติต่อ Sex Worker แบบไม่เลือกปฏิบัติกับวิชาชีพอื่นๆ ก็คือมองเขาเป็นคนเท่ากับคนอื่นๆ ให้เขาได้รับความคุ้มครองในฐานะที่เขาทำงาน ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ตามกฎหมายประกันสังคม ตามกฎหมายกองทุนเงินทดแทน เพราะถ้าทำงานให้นายจ้างอยู่แล้วประสบอันตรายเขาก็ควรได้รับการดูแลจากกองทุนประกันสังคม นายจ้างมีหน้าที่ต้องดูแล” น.ส.สุภัทรา กล่าว
น.ส.ชัชลาวัณย์ เมืองจันทร์ ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย มูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ กล่าวว่า มูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ เป็นการรวมตัวของพนักงานบริการ หรือผู้ขายบริการทางเพศ มีพื้นที่ปฏิบัติงานใน 3 พื้นที่ คือกรุงเทพฯ เชียงใหม่และอุดรธานี ซึ่งตลอด 40 ปีที่ผ่านมาของมูลนิธิฯ สิ่งที่เรียกร้องตลอดมาคือการยกเลิกความผิดทางอาญากับอาชีพนี้ โดยในส่วนของการผลักดันกฎหมาย มูลนิธิฯ เริ่มเข้ามาเกี่ยวข้องตั้งแต่สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 มาตรา 77 กำหนดว่ากฎหมายที่บังคับใช้ไปแล้วช่วงเวลาหนึ่งต้องเปิดให้มีการรับฟังความคิดเห็น
โดยในเวลานั้น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นเจ้าภาพเปิดให้รับฟังความคิดเห็น ซึ่งเมื่อกลุ่มพนักงานบริการทางเพศได้เห็นร่างกฎหมายที่ พม. จัดทำขึ้น พบว่าไม่สามารถปฏิบัติได้จริง เช่น กำหนดผู้ประกอบอาชีพนี้ต้องขึ้นทะเบียน ต้องมีอายุขั้นต่ำ 20 ปี ต้องไม่แต่งงาน ต้องมีการตรวจทางจิตเวช รวมถึงหากมีบุตรก็ต้องให้บุตรบรรลุนิติภาวะก่อนเท่านั้น จึงร่วมกับหลายฝ่ายจัดทำเวทีคู่ขนานขึ้นจน พม. ต้องหยุดผลักดันร่างนั้นไป
ต่อมายังมีการไปร้องเรียนกับ กมธ.กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ สภาผู้แทนราษฎร นำมาสู่การจัดตั้งคณะกรรมการศึกษาทบทวน เกิดร่างกฎหมายขึ้นมาอีก 1 ร่าง นอกจากนั้นยังมีร่างของภาคประชาสังคม ซึ่งตลอด 6 ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่ Sex Worker ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดทำกฎหมายอย่างเข้มข้น ทำให้ได้เห็นว่าอาชีพนี้เกี่ยวข้องกับหลายฝ่ายและเป็นประเด็นที่สังคมห่วงใย เช่น จะเปิดให้มีผู้แสวงหาผลประโยชน์จากการขายบริการทางเพศ มีการโฆษณาที่สนามบินนานาชาติ หรือชักชวนเด็กให้มาทำงานนี้
ซึ่งมูลนิธิฯ ได้รวบรวมข้อกังวลต่างๆ ไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงผู้เกี่ยวข้อง อาทิ ลูกค้าหรือผู้ซื้อบริการ ที่ก็ต้องการมาตรการคุ้มครองเช่นกันเพราะเจอปัญหา เช่น ไม่ตรงปก ถูกโกง ขณะที่ผู้ประกอบธุรกิจสถานบริการ มีเสียงสะท้อนว่าหากสามารถจดทะเบียนอย่างตรงไปตรงมาว่ามีบริการทางเพศ แล้วทำให้ไม่ต้องจ่ายส่วยต่างๆ ก็พร้อมจดทะเบียน แต่เงื่อนไขการจดทะเบียนก็ต้องสามารถปฏิบัติได้จริงด้วย ไม่ใช่กำหนดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนไว้สูงมาก หรือกำหนดให้ไปอยู่ในพื้นที่ห่างไกลที่คงไม่มีใครเดินทางไปใช้บริการ เป็นต้น
ทั้งนี้ ในส่วนร่างกฎหมายที่มูลนิธิฯ กำลังรวบรวมรายชื่อเพื่อเสนอเข้าสู่กระบวนการของรัฐสภา ขอย้ำว่า 1.ไม่ใช่ทั้งการควบคุมและการปล่อยเสรี ซึ่งประเทศไทยมีกฎหมายอื่นๆ กำกับดูแลอยู่แล้ว ไม่มีทางที่จะเสรีได้ และ 2.ไม่มีการคุ้มครองเพิ่มเติมเป็นพิเศษ มีเพียงกำหนดว่าผู้ขายบริการทางเพศได้ต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป และไม่ต้องบังคับจดทะเบียนในส่วนของผู้ประกอบอาชีพ โดยให้จดเฉพาะผู้จัดตั้งสถานบริการที่มีบริการทางเพศ และได้รับคำแนะนำจากเครือข่ายที่ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งกฎหมายที่นั่นมีปัญหาไม่สามารถจดทะเบียนสถานบริการได้จริง
อนึ่ง ร่างกฎหมายที่มูลนิธิฯ ร่างออกมานั้นล้อมาจากร่างที่ทาง พม. จัดทำขึ้นมาใหม่ซึ่งทางมูลนิธิฯ ได้เข้าไปมีส่วนร่วมด้วย แต่มีการปรับแก้บางส่วนที่เห็นแย้งกับร่างของ พม. เช่น ร่างของมูลนิธิฯ กำหนดอายุขั้นต่ำของ Sex Worker ไว้ที่ 18 ปี เพราะมองว่ามีวุฒิภาวะเพียงพอแล้ว อาทิ เป็นอายุที่กำหนดให้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งได้ ต่างจากร่างของ พม. ที่กำหนดไว้ที่อายุ 20 ปี ดังนั้นประเด็นที่เหลือจึงเป็นเรื่องความคิดหรือความเชื่อในสังคม ว่าหากยกเลิกความผิดอาชีพขายบริการทางเพศจะทำให้คนมาทำงานนี้มากขึ้นซึ่งบอกได้เลยว่าไม่จริง แต่จะทำให้สังคมมองเห็นคนเหล่านี้มากขึ้น
“เราเคยทำแบบสำรวจ คำถามแรกเราถามว่าเห็นด้วยไหมหากทำให้ Sex Worker ไม่มีความผิดทางอาญา 9 ใน 10 ตอบว่าเห็นด้วย พอคำถามที่ 2 คิดอย่างไรหากคนที่คุณรู้จักมาเป็น เขาก็ดึงคำตอบออกหายไปครึ่งหนึ่ง เพราะในใจลึกๆ เขายังไม่เห็นด้วยกับอาชีพนี้ ซึ่งพวกเรายังไม่เรียกร้องให้คุณมาเห็นด้วยหรือชอบ ข้อที่ 3 เราถามต่ออีกว่าถ้าคนในข้อ 2 ของคุณเขาเข้ามาเป็นแล้วคุณจะยอมให้เขาถูกละเมิด ถูกทำอะไรก็ได้ ถูกล่อซื้อ ถูกจับหรือถูกทำรุนแรงแล้วแจ้งความไม่ได้ไหม? เขาก็กลับมา 8 นี่คือเหตุผลที่บอกว่าทำไมเราต้องใจดีต่อกัน คุณยังไม่ต้องปลื้มเราก็ได้ แค่ให้เห็นใจและเคารพการตัดสินใจในการทำอาชีพนี้แค่นั้นเอง” น.ส.ชัชลาวัณย์ กล่าว
น.ส.สุรางค์ จันทร์แย้ม ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ (SWING) กล่าวว่า SWING เริ่มรวบรวมรายชื่อยกเลิก พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 ในปี 2566 ซึ่งตอนแรกเข้าใจว่าคงใช้เวลานานกว่าจะครบ 1 หมื่นรายชื่อ เพราะคงมีคนส่วนหนึ่งที่ไม่เอาด้วย แต่กลับปรากฏว่าสามารถรวบรวมได้ถึงกว่า 1.3 หมื่นรายชื่อภายในเวลาเพียง 5 เดือน ปัจจุบันเข้าไปอยู่ในกระบวนการของรัฐสภาแล้ว
แต่ขณะเดียวกันก็เข้าใจว่า การยกเลิกกฎหมายที่เป็นพระราชบัญญัติทำได้ไม่ง่ายและไม่รู้จะต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใด จึงไปร่างกฎกระทรวงคุ้มครองแรงงานบริการ โดยทำร่วมกับทาง กสม. เนื่องจากกฎกระทรวงเป็นกฎหมายลูก ผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากทั้งผู้ขายบริการทางเพศและเจ้าของสถานบริการซึ่งมีสถานะเป็นนายจ้าง ซึ่งในส่วนของผู้ประกอบการ ยอมรับว่าต้องจ่ายให้ 4 – 5 เจ้าต่อเดือน ดังนั้นหากทำให้ขึ้นมาอยู่บนดินซึ่งหมายถึงการยอมรับสถานะของการเป็นนายจ้างตามกฎหมายแรงงาน อย่างมากก็จ่ายตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย เช่น ประกันสังคม
“เมื่อช่วงวิกฤติโควิด พวกเราก็ดูแลพี่น้องเรา ก็ทำสำรวจขึ้นมาชุดหนึ่งว่าเขาคิดอย่างไร ถามเจ้าของสถานประกอบการด้วย ถามพนักงานบริการด้วย ว่าคิดอย่างไรถ้าจะทำให้อาชีพอยู่ภายใต้การคุ้มครองของกฎหมายแรงงาน เราเก็บข้อมูลเร็วๆ ตอนนั้นได้เกือบ 400 คน กรุงเทพฯ กับพัทยา เกิน 50% อยากได้รับความคุ้มครองภายใต้กฎหมายแรงงาน และ 80% บอกว่ายินดีเสียภาษีให้กับประเทศ เพราะตอนนี้เขาก็รู้สึกว่าเสียภาษีอยู่ แล้วภาษีเหล่านั้นมันไปไหน มันไม่ได้กลับมาดูแลพวกเขาเลย” น.ส.สุรางค์ ระบุ
นายกัณวีร์ สืบแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ในฐานะรองประธาน กมธ.กฎหมายฯ (คนที่สาม) กล่าวว่า ทั้งที่เป็นอาชีพที่อยู่กับโลกมานานมาก แต่สังคมกลับมีองค์ความรู้เกี่ยวกับการซื้อ - ขายบริการทางเพศน้อยมาก ซึ่งอาจเป็นเพราะสังคมปิดกั้น ทำให้เกิดความรู้สึกว่าหากใครไปศึกษาเรื่องนี้อาจไม่ได้รับการยอมรับ เช่น ในแวดวงวิชาการหรือแวดวงสาธารณะต่างๆ
ส่วนการผลักดันให้เข้าไปสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร เชื่อว่าสุดท้ายจะมี 2 แนวทาง คือ 1.อนุญาตให้ทำได้ภายใต้การมีกฎหมายกำกับดูแล มีข้อบังคับกำหนดว่าอะไรทำได้หรือไม่ได้ หรือ Regulation กับ 2.ไม่เป็นความผิดและไม่ต้องมีกฎหมายมากำกับเป็นการเฉพาะ หรือ Decriminalize แล้วก็จะมีการอภิปราย เกิดการตั้ง กมธ.วิสามัญฯ ขึ้นมาพิจารณา แต่หากความเห็นส่วนตัวคือเลือกทาง Decriminalize
“ขึ้นอยู่กับ Political View (เจตจำนงทางการเมือง) ด้วย ว่ามีความประสงค์จะเอาเรื่องนี้เป็นเรื่องจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วนมาก – น้อยแค่ไหน? ถ้าเราสามารถไป Prioritize (กำหนดความสำคัญ) ได้ สำหรับในชุดนี้ก่อนปี 2570 มันก็ทำได้ แต่ความเป็นไปได้น่าจะต่ำ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เราต้องพูดคุยโดยเฉพาะฝ่ายรัฐบาล เพราะว่าฝ่ายค้านพร้อมอยู่แล้ว ถ้าฝ่ายรัฐบาลรับลูกไปแล้วจัดลำดับความสำคัญของมันจริงๆ มีสิทธิ์ที่จะผลักดันออกมาได้” นายกัณวีร์ กล่าว
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี