สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ลงพื้นที่ศึกษาดูงาน “ฮ่วมใจ๋ ฮ่วมก่อสุข (ภาวะ)” ที่เทศบาลตำบลเสริมซ้าย อ.เสริมงาม จ.ลำปาง พร้อมถอดบทเรียนการขับเคลื่อนงานระบบสื่อและสุขภาวะทางปัญญา ประเด็น “การอ่านเพื่อพัฒนาสุขภาวะในเด็กปฐมวัย” โครงการ “ฮ่วมใจ๋ ฮ่วมก่อสุข (ภาวะ)” ขับเคลื่อนงานด้วยการใช้ “ทุนทางสังคมและวัฒนธรรม” ร่วมกับกลไกนโยบายท้องถิ่น สู่การบรรจุนโยบายระดับท้องถิ่น
ดร.จิรพร วิทยศักดิ์พันธุ์ รองประธานคณะกรรมการบริหารแผนคณะที่ 8 สสส. กล่าวว่า สสส. มุ่งพัฒนาระบบสื่อและวิถีสุขภาวะทางปัญญา ควบคู่ไปกับการสร้างเสริมความเข้าใจสุขภาวะ ในมิติการสร้างทักษะรู้เท่าทันสื่อและการมีสุขภาวะทางปัญญาที่ดี โดยสนับสนุนและเสริมศักยภาพให้ จ.ลำปาง พัฒนาเป็นพื้นที่ต้นแบบด้านการสร้างเสริมสุขภาวะทางปัญญา เพราะเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพ มีการขับเคลื่อนงานที่เป็นรูปธรรม ตั้งแต่การเตรียมความพร้อมกลุ่มเด็กปฐมวัยไปจนถึงกลุ่มผู้สูงอายุ และผู้ป่วยระยะประคับประคองหรือระยะท้ายของชีวิต มีกลไกการดำเนินงานสำคัญ คือ 1.ส่งเสริมให้เด็กมีทักษะด้านภาษา การสื่อสาร การจัดการอารมณ์ และการใช้ชีวิตอย่างสุขภาวะดี 2.สนับสนุนชุมชนให้พัฒนาอาสาสมัครร่วมสื่อสารคุณค่าการอ่านผ่านกิจกรรมเล่านิทาน และสันทนาการ โดยมุ่งเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างเด็ก ครอบครัว และผู้แวดล้อมเด็ก 3.บูรณาการทำงานระหว่างภาคีเครือข่ายและหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ ในการเพิ่มสวัสดิการการอ่านให้เด็กและเยาวชน ผ่านการสนับสนุนจากกองทุนสุขภาพตำบล
“สสส. สร้างโอกาสการเข้าถึงสื่อและองค์ความรู้สุขภาวะ เพื่อลดช่องว่างการเข้าถึงองค์ความรู้สุขภาวะจึงมุ่งริเริ่มโครงการพัฒนาสุขภาวะเด็กปฐมวัยด้วยการอ่าน จ.ลำปาง มีการรณรงค์ส่งเสริมการอ่านโดยการส่งมอบชุดหนังสือนิทานเพื่อเด็กปฐมวัย และนิทรรศการเคลื่อนที่ “อ่านปลอดภัย”??? พร้อมเทคนิควิธีการส่งเสริมพัฒนาการเด็ก ส่งผลให้เกิดนักสื่อสารสุขภาวะระดับพื้นที่กว่า 100 คน มีกลุ่มเด็กผู้ได้รับประโยชน์ 4,365 คน ในจำนวนนี้ เป็นกลุ่มเด็กเปราะปาง เด็กด้อยโอกาส และเด็กที่ต้องการความดูแลเป็นพิเศษ 735 คน พร้อมขับเคลื่อนชุมชนกรุณาลำปางเพื่อการอยู่และตายดี เกิดอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยระยะท้ายในระดับตำบลและชุมชนกว่า 20 คน ช่วยให้ความรู้ ความเข้าใจผู้ป่วยใน รพ.ลำปาง ถึงสิทธิในการแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้าย เพื่อให้ผู้ป่วย “อยู่อย่างมีความหมาย และตายอย่างมีศักดิ์ศรี” ตลอดจนสร้างแรงบันดาลใจและทัศนคติในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาวะ เพื่อสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพให้ทุกคนในสังคมมีสุขภาพดีทุกมิติ” ดร.จิรพร กล่าว
น.ส.สุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส. กล่าวว่า สสส.สนับสนุนโครงการอ่านยกกำลังสุข ปลุกพลัง (กาย-ใจ) พลเมืองเด็ก ร่วมพัฒนาระบบนิเวศวัฒนธรรมการอ่าน ผ่านการสร้างคุณค่าใหม่ ชวนครอบครัวยุคใหม่เลี้ยงลูกด้วยหนังสือ “สื่อแห่งความรัก” มุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงในกลุ่มเด็กปฐมวัยให้มีคุณภาพใน 3 มิติ คือ 1.พัฒนาการสมวัยทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม 2. พัฒนาการด้านตัวตน 3.มีทักษะสมอง EF (Executive Function of brain) เพื่อการเติบโตเป็นพลเมืองที่มีสุขภาวะดี มีการขับเคลื่อนผ่านกระบวนการออกแบบนวัตกรรมสื่อ โดยพัฒนางานสื่อสารร่วมกับสื่อภาคเอกชนในพื้นที่ อินฟลูเอนเซอร์ และช่องทางสื่อที่ได้รับความนิยม รวมถึงสื่อสารตรงกับกลุ่มเป้าหมายผู้แวดล้อมเด็กปฐมวัย โดยเครือข่ายภาควิชาการเพื่อกระตุ้นให้ทุกฝ่ายตระหนักและร่วมมือกันสร้างเสริมศักยภาพพลเมืองเด็ก
“ที่ผ่านมา มีการดำเนินโครงการใน 13 พื้นที่ คลอบคลุม 11 จังหวัดทั่วประเทศ ทำให้เด็กและเยาวชนในพื้นที่ปฏิบัติการมีสัมพันธภาพและสุขภาวะที่ดี มีพัฒนาการเหมาะกับช่วงวัย เพิ่มจำนวนครอบครัวอบอุ่น ชุมชนท้องถิ่นมีความเข้มแข็ง มีเด็กปฐมวัยเข้าถึงโอกาสในการพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้และสุขภาวะสมวัยด้วยหนังสือและการอ่านกว่า 16,000 คน พื้นที่ปฏิบัติการเกิดผลลัพธ์เชิงคุณภาพในหลากหลายบริบท ขณะที่ พื้นที่ จ.ลำปาง มีหน่วยงานท้องถิ่นที่ร่วมขับเคลื่อนงานส่งเสริมการอ่าน และบรรจุเป็นนโยบายในข้อบัญญัติและเทศบัญญัติ ปี 2567-2568 จำนวน 24 แห่ง ใน 9 อำเภอ ครอบคลุมเด็กและเยาวชน 4,365 คน” น.ส.สุดใจ กล่าว
นายเอกภพ สิทธิวรรณธนะ เลขาธิการมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาชุมชนกรุณา สนับสนุนโดย สสส. กล่าวว่า ชุมชนกรุณา ทำงานร่วมกับบุคลากรสุขภาพ บุคลากรในโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ในระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ และผู้ขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ โดยมีกลุ่ม KAJAI (ขะไจ๋) เป็นภาคีเครือข่ายแนวหน้า ขับเคลื่อนงานชุมชนกรุณาเพื่อการอยู่และตายดี โดยทำงานเชิงพื้นที่ และฝึกอบรมกระบวนกรชุมชนหรือนักสื่อสารสุขภาวะ ใช้กระบวนการสุขภาวะทางปัญญาของ สสส. ผ่านกลยุทธ์ในการทำงาน 4 ด้าน ได้แก่ 1.พัฒนาสื่อการเรียนรู้ 2.พัฒนาพื้นที่ปฏิบัติการ 3.บริหารจัดการความรู้ 4.พัฒนาทีมเครือข่าย เพื่อปรับปรุงนโยบายชุมชนและนโยบายการดูแลแบบประคับประคองระดับชาติ มีพื้นที่ในการทำงานร่วมกับหน่วยงานผู้นำการเปลี่ยนแปลงนโยบายท้องถิ่น 21 แห่งทั่วประเทศ
“รพ.ลำปาง ถือเป็น 1 ใน 21 พื้นที่นำร่องขับเคลื่อนงานชุมชนกรุณา มีบทบาทสำคัญในการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย พัฒนาศักยภาพเครือข่ายบริการแบบเยี่ยมบ้าน ชุมชน และโรงพยาบาล เกิดผลลัพธ์เชิงประจักษ์ 3 ระดับ ได้แก่ 1.ระดับบุคคล ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย และครอบครัว ได้เรียนรู้การเผชิญความเปลี่ยนแปลงอย่างมีสติ ไม่รู้สึกไม่โดดเดี่ยว และวางแผนการตายดี 2.ระดับชุมชน เกิดผู้นำชุมชน อาสาสมัคร แกนนำเยาวชน เข้าใจการดูแลแบบประคับประคอง และมีทักษะการสื่อสารเชิงบวกในการดูแลความเจ็บป่วย 3.ระดับนโยบายและระบบบริการ เกิดความร่วมมือระหว่างชุมชนกับหน่วยบริการสุขภาพ มุ่งเป้าต่อยอดขยายผลสู่ “ตำบลกรุณา” หรือ “เมืองกรุณา” ในอนาคต ทั้งนี้ การพัฒนาให้เกิดชุมชนกรุณา จะช่วยให้ประชาชนในชุมชนมีความรู้ ความเข้าใจ และทักษะในการดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคอง พร้อมเป็นแกนนำในการดูแลสุขภาพของคนในชุมชนด้วยจิตอาสาพึ่งพากันและกัน” นายเอกภพ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี