ดีเอสไอลุยค้น 4 เป้าหมาย รับต่อใบอนุญาตแรงงานต่างด้าว พบขบวนการรีดเงินหัวคิวแรงงานเขมร 1.8 แสนราย อ้างเป็นค่าเข้าระบบออนไลน์พบเงินหมุนเวียน 400-500 ล้านบาท ใช้บัญชีม้าโอนเงิน โยงเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกัมพูชา 2-3 ราย ชี้ยังไม่นับรวมแรงงานชาติอื่น ซึ่งยอดจะสูงถึง 6 พันล้านบาท
เมื่อวันที่ 3กรกฎาคมพ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีเศษ (ดีเอสไอ) พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ลงพื้นที่ตรวจค้น 4 เป้าหมายใน กทม.เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานขบวนการรีดหัวคิวแรงงาน นำไปฟอกเงนผ่านเจ้าหน้าที่ของประเทศกัมพูชา โดย พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าวว่า จากการสืบสวนเจ้าหน้าที่พบข้อมูลแรงงานต่างด้าวที่ต้องจ่ายค่าใบอนุญาต และรายจ่ายอื่นๆ ผ่านบัญชีม้า หากรวมจำนวนแรงงานกว่า 280,000 คน พบว่ามีการต่อใบอนุญาตแล้วกว่า 180,000 คน เป็นเงินประมาณ 300-400 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในส่วนของเส้นทางการเงิน พบว่ามีบางส่วนที่โอนวนกลับมายังบุคคลที่เป็นชาวไทย จำนวนหนึ่ง จึงต้องมีการตรวจสอบรายการเดินบัญชี หรือ Statement และขยายผลเรื่องบัญชีม้า
พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าวอีกว่า พฤติการณ์ของกลุ่มขบวนการดังกล่าวพบว่า หากแรงงานกัมพูชา ไม่จ่ายค่าส่วนต่าง 2,500 บาท จะถูกอ้างว่าระบบออนไลน์การต่อใบอนุญาตทำงาน ไม่สามารถดำเนินการได้ ขบวนการนี้จึงมีการเรียกค่าหัวคิวลักษณะดังกล่าวตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 ส่วนจะเชื่อมโยงกับคนในกระทรวงแรงงานหรือไม่ ต้องสืบสวนให้ชัดเจน เพราะเราพบว่าปลายปี 2567 มีการปรับระบบในการต่อใบอนุญาตแรงงานต่างด้าวโดยระบบออนไลน์ แต่ต้องประสานผ่านบริษัทจัดหางาน จึงมีการคีย์เข้าระบบในส่วนของผู้ที่ยอมจ่ายค่าส่วนต่าง
อธิบดีดีเอสไอ กล่าวต่อว่า ในประเด็นที่ปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่กัมพูชาเข้ามาเกี่ยวข้องกับขบวนการรีดค่าหัวคิว ตามข้อมูลสืบสวนเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง ส่วนเส้นทางการเงินที่โอนให้คนไทย ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ แต่เป็นบุคคล หรือเอกชน อาจจะเป็นตัวแทนหรือนอมินี ก็ได้ เบื้องต้นทราบว่ามีเจ้าหน้าที่กัมพูชา 2-3 ราย ที่เกี่ยวข้อง ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน ในส่วนของเงินที่ไหลออกนอกระบบผ่านบัญชีม้า ซึ่งอาจจะสูงถึง 400-500 ล้านบาท
พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าวว่า แรงงานที่ถูกเรียกหัวคิว เป็นแรงงานชาวกัมพูชา ไม่นับแรงงานเมียนมา ประมาณ 2,000,000 ราย ดังนั้นหากรวมแรงงานเกือบทุกสัญชาติ ทั้งกัมพูชา เมียนมา ลาว และเวียดนาม ซึ่งถ้ามีการเก็บค่าหัวคิวรายละ 2,500 บาท จะมีเงินที่ถูกใช้ในขบวนการดังกล่าวสูงถึง6,000 ล้านบาท
“การกระทำความผิดเกี่ยวกับเรื่องเงิน คือการกระทำผิดในมูลฐานความผิดฟอกเงิน ดังนั้นการได้ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมีการโอนผ่านบัญชีม้าหรือบุคคลอื่น ก็ถือเป็นพฤติการณ์ปกปิดอำพรางและเปลี่ยนแปลงสภาพทรัพย์สิน แล้วยังมีการโอนไปยังต่างประเทศ และโอนกลับมาไทยอีก เป็นการปกปิด เข้าข่ายเป็นความผิดอาญาฐานฟอกเงิน ส่วนความเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่กัมพูชา นั้น เราทราบเบาะแสแล้ว แต่ขอให้สืบสวนอย่างชัดเจนก่อน” พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าว
สำหรับเป้าหมายที่ตรวจค้นในครั้งนี้ อยู่ที่ถนนไทยรามัญ แขวงสามวาตะวันตก เขตคลองสามวา กทม.2 จุด และที่บริเวณถนนแจ้งวัฒนะ กทม.อีก 2 จุด ซึ่งเป็นสำนักงานที่พบว่ามีเจ้าของเป็นคนไทย และทำธุรกิจโดยคนไทย เพียงแต่ว่ามีผลประโยชน์ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชา ส่วนการแบ่งหน้าที่กันทำ โดยเฉพาะในส่วนการเรียกหักค่าหัวคิวแรงงาน 2,500 บาทต่อรายพบว่ามีบุคคลที่คอยชี้บอกว่าจะต้องจ่ายเงินส่วนต่างจำนวนดังกล่าวผ่านบัญชีตามที่กำหนด ที่เราพบก็คือบัญชีที่ผ่านไปยังเจ้าหน้าที่กัมพูชา โดยพฤติการณ์คือคนไทยไปพูดกับคนไทยเรื่องการหักค่าหัวคิวกับแรงงานกัมพูชา เบื้องต้นบุคคลที่อยู่ในเครือข่ายมีมากว่า 10 ราย ส่วนการสอบปากคำพยานบุคคล ได้สอบไปแล้ว 2 ราย คือเจ้าของบริษัทและพนักงาน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี