ชนะศึกเขมร!
โพลชี้เปรี้ยงศรัทธากองทัพไทย
ห่วงใยผู้อพยพนับแสน
ไล่บี้รัฐบาลแก้ให้ตรงจุด
ต้องฟังเสียงประชาชน
มากกว่าทำคะแนนนิยม
เปิดซูเปอร์โพลชี้คนไทยเกือบ 100% เชื่อมั่นกองทัพจะชนะศึกเขมรปกป้องผืนแผ่นดินได้ พร้อมห่วงใยผู้อพยพนับแสนเรียกร้องมาตรการรัฐบาลแก้ให้ตรงจุด ติงฟังเสียงประชาชนให้มากกว่าสร้างคะแนนนิยม ชี้ชัยชนะสงคราม ต้องจบที่ชาติและประชาชน
เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2568 นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง “สำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อสถานการณ์สู้รบไทย-กัมพูชา” ที่จัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 25-26 กรกฎาคม 2568 โดยใช้กลุ่มตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศจำนวนทั้งสิ้น 1,054ตัวอย่าง
เมื่อสอบถามความคิดเห็นของประชาชนต่อการสู้รบไทย-กัมพูชา พบว่าเกือบร้อยละ 100 คือร้อยละ 99.5 เชื่อมั่นต่อกองทัพไทยจะปกป้องรักษาผืนแผ่นดินไทยได้ รองลงมาคือ ร้อยละ 94.3 ต้องการให้ฝ่ายการเมืองดูแลเยียวยาประชาชนผู้อพยพให้ดีกว่านี้ เช่น ค่าครองชีพ ภาระค่าใช้จ่าย หนี้สิน สวัสดิการ อาชีพการงาน สุขอนามัย เป็นต้น
ในขณะที่ร้อยละ91.8 ต้องการเห็นคนไทยสามัคคี ไม่ทะเลาะกันเอง ร่วมแรงร่วมใจช่วยเหลือกัน ร้อยละ 91.5 ต้องการให้รัฐบาลเร่งเจรจาสันติภาพแต่ต้องไม่ยอมอ่อนข้อต่อผู้รุกราน ร้อยละ 88.9 ต้องการให้รัฐบาลเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจและอาชีพรายได้ของประชาชนหลังสงคราม
นายนพดล กล่าวว่า ผลสำรวจนี้สะท้อน “ศรัทธาสูงสุด” ที่ประชาชนมีต่อกองทัพไทยในฐานะผู้พิทักษ์อธิปไตย ซึ่งบ่งชี้ถึงทุนทางสังคมที่สำคัญยิ่งของประเทศ นอกจากนี้ ประชาชนไม่ได้เรียกร้องชัยชนะเพียงอย่างเดียว แต่ 94.3%ต้องการการเยียวยาจากรัฐบาลเชิงมนุษยธรรมต่อผู้อพยพซึ่งชี้ให้เห็นว่า ความมั่นคงทางสังคมมีความสำคัญเทียบเท่ากับความมั่นคงของชาติ
ในขณะที่ความสามัคคีภายในชาติและการเจรจาอย่างมีศักดิ์ศรีอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน คือร้อยละ 91.8% และ 91.5%แสดงให้เห็นความต้องการ“ชนะสงครามภายนอก โดยไม่แตกแยกภายใน”และประชาชนยังให้ความสำคัญกับการวางรากฐานหลังสงคราม ด้วยการฟื้นฟูเศรษฐกิจและอาชีพ ร้อยละ 88.9% สะท้อนความตระหนักว่า “สงครามไม่จบที่ชัยชนะ แต่จบที่คุณภาพชีวิตของประชาชนหลังสงคราม”
นายนพดล กล่าวต่อว่า ที่น่าสนใจคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 95.8 ห่วงใยมากถึงมากที่สุด ต่อประชาชนผู้อพยพผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่สู้รบไทย-กัมพูชา เพียงร้อยละ 2.5 ที่ห่วงใยปานกลาง และร้อยละ 1.7 เท่านั้นที่ห่วงใยน้อยถึงไม่ห่วงใยเลยผลสำรวจนี้บ่งบอกถึงความเป็น “รัฐสังคม” (Social State) ที่เข้มแข็งในระดับจิตสำนึกของประชาชน ซึ่งพร้อมแบ่งปันความห่วงใยให้เพื่อนร่วมชาติในยามคับขัน
ที่น่าพิจารณาคือ มาตรการของรัฐบาลที่ประชาชนต้องการเห็นเร่งด่วน ผลสำรวจพบว่า อันดับแรกได้แก่ เงินช่วยเหลือฉุกเฉินเพื่อยังชีพ ชดเชยรายได้ที่หายไป ร้อยละ 92.8 รองลงมาคือ เจรจาสถาบันการเงิน เจ้าหนี้พักชำระหนี้ ร้อยละ 89.6 จัดตั้งกองทุนฟื้นฟูบ้านเรือนเสียหายจากการสู้รบ ร้อยละ 85.3 สร้างงาน สร้างอาชีพ เร่งด่วน เช่น อัตราพนักงานรัฐชั่วคราว รับงานไปทำที่ศูนย์อพยพ งานเกษตร พนักงานเอกชนชั่วคราว เป็นต้น
ร้อยละ82.7 เปิดพื้นที่เขตเศรษฐกิจปลอดภัย จ้างงานพิเศษ เปิดพื้นที่ฟรีให้ค้าขาย ร้อยละ 81.1 งดดอกเบี้ยค้างชำระ ยุติการฟ้องร้องหนี้สินชั่วคราว ร้อยละ 80.9 จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ฟื้นฟูจิตใจ ดูแลรักษาสุขภาพประชาชน ย้ายผู้ป่วย ร้อยละ 80.0 และ อื่น ๆ เช่น การศึกษาพิเศษ ณ ศูนย์อพยพ เร่งประเมินชดเชยความเสียหายให้ประชาชน เป็นต้น ร้อยละ 66.7
“ผลสำรวจนี้ชี้ให้เห็นด้วยว่า ประชาชนยังคงมองเห็นความเดือดร้อนรอบด้าน ทั้งเรื่อง เงินในกระเป๋าและ ภาระหนี้สินซึ่งแสดงให้เห็นภาวะทางเศรษฐกิจที่เปราะบางแม้ก่อนเกิดสงคราม และความต้องการกองทุนฟื้นฟูรวมถึงการสร้างงานชั่วคราวแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่จำเป็นต้องใช้นโยบายคลัง–แรงงานแบบเร่งด่วน เพื่อรองรับวิกฤตและด้านสาธารณสุขและสุขภาพจิตก็เป็นความต้องการลำดับต้นๆสะท้อนว่าสงครามทำลายได้มากกว่าทรัพย์สินลงลึกถึงจิตใจของผู้คนและความต้องการพื้นที่เศรษฐกิจปลอดภัยในเขตค้าขายพิเศษเป็นแนวทางเชิงสร้างสรรค์ที่ควรนำไปสู่การจัดพื้นที่เศรษฐกิจเพื่อชุมชนในระยะยาว” นายนพดลกล่าว
นายนภดล กล่าวอีกว่า การสู้รบอาจอยู่ในความรับผิดชอบหลักของกองทัพแต่คุณภาพชีวิตของประชาชนในสถานการณ์สงครามเป็นภารกิจร่วมของทั้งกองทัพและรัฐบาล เพราะความมั่นคงของชาติไม่อาจแยกจากความมั่นคงของประชาชนเสียงของประชาชนในยามสงครามไม่ได้สะท้อนเพียงความกลัวหรือความหวังหากแต่เป็นพลังของการรวมจิตใจเพื่อร่วมสร้างอนาคตใหม่ที่แข็งแกร่งและเป็นธรรมกว่าช่วงก่อนเกิดสงคราม ผลโพลนี้จึงชี้ให้เห็นถึงพลวัตทางสังคมและเจตจำนงร่วมของสาธารณะในห้วงเวลาวิกฤต ซึ่งสามารถวิเคราะห์ในเชิงโครงสร้างและคุณค่าได้อย่างเป็นระบบ
ผอ.ซูเปอร์โพล สรุปด้วยว่า การสำรวจความคิดเห็นของประชาชนครั้งนี้ จึงมีเป้าหมายสำคัญในการ ฟังเสียงประชาชนอย่างรอบด้าน โดยมิใช่เพียงการนับตัวเลขความนิยมหรือความกลัว แต่คือการตีความเจตจำนงของสาธารณะในการมีส่วนร่วมต่ออนาคตของชาติในยามวิกฤต ทั้งในมิติความเชื่อมั่นต่อกองทัพ ความห่วงใยต่อผู้อพยพ ความต้องการความสามัคคีในสังคม ไปจนถึงความคาดหวังต่อมาตรการเยียวยาและฟื้นฟูของรัฐ
“ผลการสำรวจนี้ จึงไม่เพียงสะท้อนอุณหภูมิความรู้สึกของสังคมเท่านั้น หากยังชี้ให้เห็นถึง ทุนทางสังคม (Social Capital) ที่ประเทศไทยยังคงมีอยู่อย่างมั่นคง พร้อมจะถูกนำมาใช้เพื่อพลิกวิกฤตให้เป็นพลังแห่งความร่วมมือในการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าอย่างมีทิศทาง” นายนภดล กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี