'กสศ.'รุกนโยบายเยาวชนแรงงานต้องได้ค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ

'กสศ.'รุกนโยบายเยาวชนแรงงานต้องได้ค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ

วันจันทร์ ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 13.05 น.

“กสศ.” รุกปัญหาเยาวชนแรงงานได้รับการพัฒนาศักยภาพทักษะฝีมือแรงงานไปแล้ว แต่ติดกับดักค่าแรงขั้นต่ำ เตรียมจัดเวทีสาธารณะเขย่าปัญหาเชิงโครงสร้าง กระทุ้งกระทรวงแรงงานและนายจ้างต้องขยับจ่ายค่าแรงตามมาตรฐานฝีมือ พร้อมเปิดพื้นที่เรียนรู้อัพสกิลทักษะแรงงาน ดึงน้องๆ ในชุมชนรอบโรงงานให้หลุดพ้นวงจรยาเสพติด

โครงการส่งเสริมโอกาสการเรียนรู้ตลอดชีวิตแก่เยาวชนนอกระบบการศึกษา จ.ปราจีนบุรี กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับสหภาพแรงงานซันโยแห่งประเทศไทย และผู้นำชุมชน อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี ระดมความคิดเห็นร่วมกับ นายนเรศ สงเคราะห์สุข โครงการหนุนเสริมทางวิชาการ สังเคราะห์จัดการความรู้ของ “กสศ.” สกัดแนวทางแก้ปัญหาระดับพื้นที่และระดับนโยบายเยาวชนอกระบบการศึกษาในบริบทสังคมโรงงานให้หลุดพ้นกับดักค่าแรงขั้นต่ำให้ได้รับค่าจ้างตามศักยภาพทักษะฝีมือแรงงานและหลุดพ้นวงจรยาเสพติด


สำหรับเยาวชนนอกระบบการศึกษาในบริบทสังคมโรงงาน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 คือ กลุ่มเยาวชนนอกระบบการศึกษาที่เป็นแรงงานนอกระบบทำงานอยู่ในโรงงาน คิดเป็นสัดส่วน 60% ต้องการพัฒนาทักษะแรงงานจากแรงงานไร้ทักษะเป็นแรงงานมีทักษะให้ได้รับค่าจ้างตามศักยภาพทักษะฝีมือแรงงาน เพื่อจะได้มีรายได้ที่เพิ่มขึ้นเพียงพอต่อการดำรงชีพและเลี้ยงดูครอบครัว

กลุ่มที่ 2 เยาวชนนอกระบบการศึกษาที่อยู่นอกโรงงานหรืออยู่ในชุมชน คิดเป็นสัดส่วน 40% ไม่มีพื้นที่ปลอดภัยและพื้นที่เรียนรู้สร้างสรรค์ จึงตกอยู่ในวงจรยาเสพติด เพราะน้องๆ มีปัญหามายาคติหรือทัศนคติที่ไม่ต้องการการพัฒนาการเรียนรู้ตนเอง รวมถึงครอบครัวพ่อแม่ไม่ส่งเสริมสนับสนุน เพราะมีปัญหาขาดแรงจูงใจที่จะให้บุตรเข้าสู่ระบบการศึกษาจากปัญหาภายในครอบครัวเอง

ทั้งนี้ ภาคี “กสศ.” เห็นว่า แนวทางการแก้ไขปัญหระดับพื้นที่จะดึงน้อง ๆ เหล่านี้เข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาการเรียนรู้ทักษะแรงงานและทักษะชีวิต ตัวอย่างเช่น จัดฝึกอบรมพัฒนาทักษะขับรถโฟล์คลิฟท์ 30 ชั่วโมงและได้รับวุฒิบัตรจากสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 30 ปราจีนบุรี และพัฒนาทักษะอาชีพอิสระที่น้อง ๆ เหล่านี้สนใจ เบื้องต้นสิ่งที่ผู้นำชุมชนต้องการเห็น คือ ให้น้อง ๆ เหล่านี้มีพื้นที่ปลอดภัยจะได้หลุดพ้นวงจรยาเสพติด

แนวทางการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาเยาวชนนอกระบบการศึกษาในบริบทสังคมโรงงาน ต้องขับเคลื่อนแบบคู่ขนาน ทั้งระดับพื้นที่ และ ระดับนโยบาย ในระดับพื้นที่สิ่งสำคัญ คือ ต้องนำเสนอรูปธรรมของความสำเร็จในการพัฒนาเยาวชนนอกระบบการศึกษาที่ได้รับการพัฒนาทักษะแรงงานไปแล้ว ได้รับค่าจ้างงานตามศักยภาพฝีมือแรงงาน ทำให้ตัวเองมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นและมีคุณภาพชีวิตที่ดี จากเดิมเป็นแรงงานไร้ทักษะขยับขึ้นมาเป็นแรงงานมีทักษะนำเสนอให้สังคมได้รับรู้

ตัวอย่างเช่น การพัฒนาทักษะขับรถโฟล์คลิฟท์ หรือ ช่างเชื่อมโลหะ ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ จากแรงงานนอกระบบที่เป็นพนักงานชั่วคราว หรือ ซับคอนแทรค ได้รับค่าจ้างอัตราค่าแรงขั้นต่ำ 357 บาทต่อวัน เจ้าของสถานประกอบการ บรรจุเป็นพนักงานประจำได้รับค่าจ้างและเลื่อนตำแหน่งงานตามทักษะฝีมือแรงงานตามที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงานกำหนด 500-700 บาทต่อวันเป็นอย่างน้อย แต่ในข้อเท็จจริงเชิงพื้นที่ พบว่า น้อง ๆ แรงงานกลุ่มนี้ มีปัญหาเชิงโครงสร้าง กล่าวคือ เมื่อน้อง ๆ ได้รับการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานไปแล้วจนมีใบรับรองคุณวุฒิจากสถาบันการศึกษาที่ได้มาตรฐาน แต่ไม่ได้รับการปรับขึ้นค่าจ้างตามศักยภาพทักษะฝีมือแรงงานที่แท้จริง ยังคงได้รับค่าจ้างในอัตราค่าแรงขึ้นต่ำ 357 บาทต่อวัน

สำหรับปัญหาเชิงโครงสร้าง มีด้วยกัน 2 ระดับ คือ 1.การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ขึ้นอยู่กับ “คณะกรรมการค่าจ้าง” ที่ประกอบด้วย 3 ส่วนคือ กระทรวงแรงงานตัวแทนภาครัฐ จำนวน 5 คน , สถานประกอบการตัวแทนนายจ้าง จำนวน 5 คน และ ภาคแรงงานตัวแทนลูกจ้าง จำนวน 5 คน แต่ที่ผ่านมา ฝ่ายนายจ้างและภาครัฐ เป็นผู้กำหนดเพราะอำนาจการตัดสินใจลงคะแนนหรือโหวต 10ต่อ5 เสียง เพิ่มอัตราค่าจ้างฝ่ายภาครัฐและนายจ้างเป็นฝ่ายชนะมาโดยตลอด

และ 2.การกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ กำหนดโดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน แต่พบว่าเมื่อน้อง ๆ ได้รับการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานไปแล้ว กลายเป็นสิทธิ์สถานประกอบการในฐานะนายจ้างยังคงจ่ายตามอัตราค่าแรงขั้นต่ำ 357 บาทต่อวัน แม้สถานประกอบกิจการแห่งนั้นจะมีศักยภาพทางการเงินสามารถจ่ายค่าแรงตามทักษะฝีมือแรงงานแก่น้อง ๆ เหล่านี้ได้ 500-700 บาทต่อวัน ขณะที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ไม่สามารถบังคับหรือขอความร่วมมือให้นายจ้างหรือสถานประกอบการ จ่ายค่าแรงแก่น้อง ๆ ตามอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ จึงทำให้น้อง ๆ เหล่านี้ แม้จะได้รับการอัพสกิลทักษะแรงงาน ยังคง “ติดกับดักค่าแรงขั้นต่ำ” มีรายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ตัวอย่างน้องคนหนึ่ง ทำงานในโรงงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน ได้รับค่าจ้างเดือนละ 7,500 บาทต่อเดือน ซึ่งไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ต้องทำงานล่วงเวลาเพื่อให้ได้รับค่าจ้างเฉลี่ยเดือนละ 12,000 บาทต่อเดือน

และโรงงานแห่งหนึ่งในเขตนิคมอุตสาหกรรมกบินทร์บุรี มีแรงงานไทยเกือบพันคน เฉพาะเยาวชนแรงงาน จำนวน 300 คน ที่ยังได้รับค่าจ้างเทียบเท่าค่าแรงขั้นต่ำ แม้จะมีทักษะฝีมือแรงงาน และ ได้รับการพัฒนาศักยภาพทักษะฝีมือแรงงานจากโครงการ “กสศ.” ไปแล้ว จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้อัตราการลาออก เปลี่ยนงานบ่อยหรือจำใจต้องทนทำงานต่อไปเพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัว

แนวทางการขับเคลื่อนเพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง ทาง “กสศ.” เตรียมจัดเวทีสาธารณะเดือนตุลาคมนี้ ระหว่างผู้นำแรงงาน และเยาวชนแรงงานมาร่วมกันส่งเสียงสะท้อนของปัญหาให้ฝ่ายต่าง ๆ ได้รับรู้ โดยจะดึงนักวิชาการแรงงานเข้ามาร่วมรับฟังเพื่อสกัดเป็นข้อเสนอเชิงนโยบาย อาทิ รศ.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นต้น

- 006

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top