กทม.ใส่ใจสุขภาพแม่และเด็ก รุกป้องกันภาวะคลอดก่อนกำหนด ตั้งเป้าลดเหลือไม่เกิน 8% ในปี 70
วันที่ 4 ก.ย.68 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานการประชุมหัวหน้าหน่วยงานของกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 9/2568 ณ ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกทม. (เสาชิงช้า) ในที่ประชุม สำนักอนามัยได้รายงาน เรื่อง โครงการสร้างเสริมสุขภาพเชิงรุกเพื่อลดภาวะคลอดก่อนกำหนด กรุงเทพมหานคร ภายใต้โครงการเครือข่ายสุขภาพมารดาและทารกเพื่อครอบครัวไทยในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ปี พ.ศ. 2568 - 2570 ดังนี้
วัตถุประสงค์หลักของโครงการฯ ประกอบด้วย 1. เพื่อลดอัตราการคลอดก่อนกำหนดของหญิงตั้งครรภ์ที่เข้ารับบริการในสถานพยาบาลสังกัดกรุงเทพมหานคร 2. เพื่อพัฒนาอาสาสมัครสาธารณสุข (อสส.) และเครือข่ายในชุมชน ในการเฝ้าระวังภาวะคลอดก่อนกำหนด 3. เพื่อยกระดับการสอนในคลินิกฝากครรภ์ของโรงพยาบาลและศูนย์บริการสาธารณสุขของกรุงเทพมหานคร สร้างความตระหนักเรื่องอันตรายของการคลอดก่อนกำหนดและสัญญาณเตือนที่ต้องมาโรงพยาบาลแก่หญิงตั้งครรภ์ทุกราย 4. เพื่อพัฒนาระบบตรวจคัดกรองโรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ/ช่องคลอด โรคฟันผุ รวมทั้งจัดทำแผนการดูแลรักษา 5 กลุ่มโรคเสี่ยงในหญิงตั้งครรภ์ ได้แก่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง/ครรภ์เป็นพิษ ภาวะซีด โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ และโรคติดเชื้อในช่องคลอด 5. เพื่อพัฒนากระบวนการรักษาภายในโรงพยาบาลเพื่อให้หญิงเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดได้รับยายับยั้งคลอดเร็วที่สุด และ 6. เพื่อพัฒนาระบบการติดตามเยี่ยมบ้านมารดาและทารกที่เกิดก่อนกำหนดเพื่อติดตามการเจริญเติบโตและพัฒนาการ
เป้าหมายของโครงการฯ คือ ภายในปี 2570 สามารถลดอัตราการคลอดก่อนกำหนดให้เหลือไม่เกินร้อยละ 8 และลดอัตราการเสียชีวิตของทารกคลอดก่อนกำหนดลงร้อยละ 50 ซึ่งมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข
การดำเนินงานตามโครงการฯ ประกอบด้วย แผนงานหลัก 2 แผนงาน คือ 1. การพัฒนาในสถานพยาบาลหรือ Hospital based มุ่งเน้นการพัฒนาระบบตรวจคัดกรองและการรักษาโรค ยกระดับวิธีการสอนในคลินิกฝากครรภ์ เพื่อให้หญิงตั้งครรภ์ได้รับคำแนะนำและเข้ารับการรักษาทันทีเมื่อมีอาการเจ็บครรภ์คลอด และพัฒนาการให้ยา progesterone และ corticosteroid ตามมาตรฐาน เพื่อป้องกันและดูแลภาวะคลอดก่อนกำหนด รวมทั้งพัฒนาระบบการรักษาในโรงพยาบาลที่สามารถให้ยายับยั้งคลอดได้รวดเร็ว รวมถึงเสริมศักยภาพ NICU ในการดูแลทารกที่เกิดก่อนกำหนดให้ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
2. การพัฒนาในชุมชนหรือ Community based เน้นการค้นหาหญิงตั้งครรภ์รายใหม่ในชุมชนและส่งเสริมให้ฝากครรภ์ตั้งแต่ก่อน 12 สัปดาห์ พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เกี่ยวกับอันตรายและสัญญาณเตือนของภาวะคลอดก่อนกำหนดในชุมชนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงติดตามเยี่ยมบ้านหญิงตั้งครรภ์เพื่อเฝ้าระวังและป้องกันภาวะคลอดก่อนกำหนด นอกจากนี้ยังให้การช่วยเหลือและสงเคราะห์หญิงตั้งครรภ์ที่ต้องการความช่วยเหลือ มีการพัฒนาศักยภาพบุคลากรสาธารณสุขและครู เพื่อถ่ายทอดความรู้ด้านการป้องกันภาวะคลอดก่อนกำหนดให้แก่อาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร และติดตามเยี่ยมมารดาและทารกที่เกิดก่อนกำหนด ตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึง 2 ปี เพื่อให้ได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง
นพ.สุนทร สุนทรชาติ รองปลัดกรุงเทพมหานคร กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันอัตราการคลอดก่อนกำหนดเฉลี่ยในกรุงเทพมหานครอยู่ที่ร้อยละ 12.6 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ โดยค่าเฉลี่ยของประเทศอยู่ที่ประมาณร้อยละ 10 จึงเป็นความท้าทายที่ต้องอาศัยความร่วมมือของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการลดอัตราการคลอดก่อนกำหนดเหลือไม่เกินร้อยละ 8
ทั้งนี้ มติที่ประชุมรับทราบและมอบหมายให้สำนักอนามัย สำนักการแพทย์ และสำนักงานเขต ร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้องขับเคลื่อนโครงการให้สำเร็จตามเป้าหมาย โดยผู้ว่าฯกทม.ได้เน้นย้ำให้นำ อสส. ร่วมเป็นเครือข่ายในการดำเนินงาน และกำชับให้วิเคราะห์ข้อมูลของกลุ่มเสี่ยงว่าเป็นกลุ่มใด เช่น วัยรุ่น หรือชาวต่างชาติ/แรงงานข้ามชาติ เพื่อให้เข้าใจลักษณะของผู้คลอดก่อนกำหนดและวางแผนการช่วยเหลือได้อย่างตรงจุด
-037-
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี