'กรมฝนหลวง'เร่งแก้แล้ง! ยันน้ำฝนหลวงมีคุณภาพ ไม่แตกต่างจากฝนธรรมชาติ

'กรมฝนหลวง'เร่งแก้แล้ง! ยันน้ำฝนหลวงมีคุณภาพ ไม่แตกต่างจากฝนธรรมชาติ

วันอาทิตย์ ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2568, 11.49 น.

กรมฝนหลวงเร่งแก้แล้ง แก้ปัญหาภัยร้าย ส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรไทย ยืนยัน น้ำจากฝนหลวงมีคุณภาพไม่แตกต่างจากน้ำฝนธรรมชาติ สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งการอุปโภคบริโภคและด้านการเกษตร

7 กันยายน 2568 นายราเชน ศิลปะรายะ อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เปิดเผยว่า ปัจจุบันไทยเป็นที่ 1 ของโลกเรื่องการดัดแปรสภาพอากาศเพื่อให้กลายเป็นฝน หลายประเทศให้ความสนใจและเข้ามาเรียนรู้ แต่การนำไปใช้ยังมีน้อย เนื่องจากการขึ้นบินเพื่อทำฝนหลวงแต่ละครั้งต้องใช้ความเชี่ยวชาญและมีปัจจัยสภาพอากาศ ความชื้นสัมพัทธ์ ก้อนเมฆในขณะนั้นด้วย หากเห็นก้อนเมฆแล้วต้องรีบโจมตี เพื่อไม่ให้ก้อนเมฆสลาย


ทั้งนี้การทำฝนหลวงจะใช้เครื่องบินอย่างน้อย 3 ลำ การขึ้นบินครั้งแรก คือการก่อกวน ต่อมาการขึ้นบินเพื่อเลี้ยงเมฆให้อ้วน และการขึ้นบินครั้งที่ 3 คือการโจมตีก้อนเมฆเพื่อให้เกิดฝน ดังนั้นหากมีเครื่องบินเพียงลำเดียวก็ต้องขึ้นบิน 3 เที่ยว ซึ่งเปอร์เซนต์ได้ฝนก็จะลดลงเมื่อเทียบกับการใช้เครื่องบิน3 ลำที่สามารถโจมตีได้เร็วขึ้นซึ่งการขึ้นบินแต่ละครั้งจะมีเจ้าหน้าที่ประจำเครื่องอย่างน้อย 7 คน ประกอบด้วยนักบิน 2 คน นักวิทยาศาสตร์ 1 คน เจ้าหน้าที่ผสมสาร 2 คนและ เจ้าหน้าที่โปรยสาร 2 คน สารที่ใช้ในกระบวนการทำฝนหลวงเช่น เกลือทะเล เกลือสินเธาว์ สารประกอบแคลเซียม ยูเรีย น้ำแข็งแห้ง และซิลเวอร์ไอโอไดด์ ซึ่งจะใช้ในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อให้กระบวนการเกิดฝนตกได้จริง โดย การก่อกวน สารที่ใช้คือเกลือแกง (NaCl) หรือโซเดียมคลอไรด์เป็นเกลือที่พบทั่วไปในธรรมชาติและใช้ประกอบอาหาร ปริมาณที่ใช้ไม่มาก ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

การเลี้ยงให้อ้วน สารที่ใช้ คือแคลเซียมคลอไรด์ (Calcium Chloride) และแคลเซียมออกไซด์ (Calcium Oxide) ซึ่งไม่ได้เป็นสาเหตุของการปนเปื้อนโลหะหนักในน้ำฝน และปริมาณที่ใช้ไม่มาก ในขั้นของการโจมตีแบบแซนวิช สารที่ใช้คือเกลือแกง (NaCl), ยูเรีย (Urea) ซึ่งในส่วนของยูเรีย เป็นปุ๋ยที่ใช้ทางการเกษตรอยู่แล้ว ในการปฏิบัติการฝนหลวงใช้ในปริมาณที่น้อยเมื่อเทียบปริมาณเมฆที่ทำการปฏิบัติการในขั้นของการโจมตี สารที่ใช้คือ น้ำแข็งแห้ง แม้จะเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ระเหิดจะคืนสู่ชั้นบรรยากาศ แต่จะไม่กระทบกับชั้นบรรยากาศ เพราะปริมาณที่ใช้ในการปฏิบัติการฝนหลวงน้อยมาก เมื่อเทียบกับ คาร์บอนไดออกไซด์จากกิจกรรมอื่น จึงไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในการโจมตีเมฆเย็นด้วย Agl สารที่ใช้เป็นพลุ (Silver Iodide, AgI) ซึ่งมีการถกเถียงมากที่สุด เนื่องจากพลุเป็นสารอนินทรีย์ที่ไม่ละลายน้ำ และมีฤทธิ์เป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิตบางชนิดในปริมาณสูงโดยปริมาณที่ใช้ในการทำฝนหลวงถือว่าน้อยมาก หลักกรัมต่อรอบปฏิบัติการ กระจายตัวกว้างในชั้นบรรยากาศ ทำให้ระดับความเข้มข้นที่ตกสู่พื้นดินต่ำมากจนแทบไม่ก่ออันตรายและในขั้นการโจมตีแบบซุปเปอร์แซนวิช เป็นการปฏิบัติการในขั้นตอนที่ 3,4,5 พร้อมกันและทำให้เกิดฝน

สำหรับน้ำฝนที่ได้จากการทำฝนหลวง หลายฝ่ายมีความกังวลว่าจะเป็นอันตรายต่อการอุปโภคบริโภคและสิ่งแวดล้อมนั้น จากผลการศึกษาผลตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำฝน พบว่า น้ำฝนจากการปฏิบัติการฝนหลวง มีคุณภาพไม่แตกต่างจากน้ำฝนธรรมชาติและอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพน้ำบริโภคขององค์การอนามัยโลก (WHO) มาตรฐานคุณภาพน้ำเพื่อการเกษตรขององค์การอาหารและการเกษตร แห่งสหประชาชาติ (FAO)และมาตรฐานของหน่วยงานในประเทศไทย มาตรฐานน้ำบริโภคของไทย มาตรฐานน้ำบริโภคในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิทตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข และมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมน้ำบริโภคตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม จึงสามารถนำไปใช้อุปโภคบริโภค ตลอดจนกิจกรรมต่างๆ เหมือนน้ำฝนธรรมชาติทั่วไป ไม่มีสารตกค้างในปริมาณที่เป็นพิษภัยต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตามในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม รวมทั้งกิจกรรมของประชาชนแตกต่างจากอดีต จึงจำเป็นต้องเฝ้าระวังคุณภาพน้ำฝนจากการปฏิบัติการฝนหลวงอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนและสังคมในการใช้น้ำฝนจากการปฏิบัติการฝนหลวง ในการอุปโภคบริโภคและการใช้ประโยชน์ทางการเกษตร

“น้ำฝนหลวงสามารถดื่มได้แน่นอนเนื่องจากกรมฝนหลวงและการบินเกษตรระบุว่าได้มีการตรวจวิเคราะห์แล้วว่าน้ำมีความบริสุทธิ์อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานน้ำดื่มน้ำใช้ขององค์การอนามัยโลกและไม่มีอันตรายต่อคน สัตว์ และพืช สารที่ใช้ในการทำฝนหลวงเป็นสารธรรมชาติที่ไม่มีอันตรายและใช้ในปริมาณน้อยมากจึงไม่ก่อให้เกิดพิษภัยต่อสิ่งมีชีวิตและสภาพแวดล้อม” นายราเชน กล่าว

สำหรับผลปฏิบัติการตั้งแต่วันที่ 23 กุมภาพันธ์ – 26 สิงหาคม 2568ได้ปฏิบัติการฝนหลวง จำนวน 161 วัน 2,065 เที่ยวบิน 2,908 ชั่วโมง 29 นาทีปริมาณสารที่ใช้ปฏิบัติการฝนหลวง จำนวน 1,635.15 ตัน และ พลุ (Flare) จำนวน 965 นัดมีฝนตกจากการปฏิบัติการฝนหลวง 95.65% โดยการปฏิบัติการฝนหลวงแก้ปัญหาภัยแล้ง สามารถช่วยเหลือพื้นที่การเกษตรได้ 141.94 ล้านไร่ มีฝนตกในพื้นที่ 63 จังหวัด

ทั้งนี้เพื่อความแม่นยำในการทำฝนหลวง ขณะนี้กรมฝนหลวงอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานผลิตน้ำแข็งแห้ง 5 แห่ง กำลังการผลิต 1ตันต่อชั่วโมง ซึ่งจะส่งผลให้ทำฝนหลวงได้สะดวกขึ้น จากเดิมที่ต้องรับบริจาค จากบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) โดยมีที่ตั้ง ที่ จ.ตาก พิษณุโลก ขอนแก่น บุรีรัมย์และเพชรบุรี คาดว่าจะแล้วเสร็จในต้นเดือน ต.ค.นี้

ขณะที่การพัฒนาของฝนหลวง ปัจจุบันหลายประเทศ เช่น จีน การใช้จรวดดัดแปรสภาพอากาศ(Weather Modification Rockets) เพื่อการโปรยสารเคมีเข้าสู่กลุ่มเมฆแทนการใช้เครื่องบิน ซึ่งมีข้อดี คือมีต้นทุนต่ำกว่าเครื่องบิน ทำงานได้แม้ในพื้นที่เสี่ยงภัยการบิน เช่น เขตภูเขาสูง หรือสภาพอากาศเลวร้าย เข้าถึงพื้นที่ได้รวดเร็ว สามารถยิงจากสถานีภาคพื้นดินแต่วิธีการนี้การควบคุมตำแหน่งแม่นยำ น้อยกว่าเครื่องบินโดยจรวดเมื่อยิงขึ้นไปแล้ว ไม่สามารถปรับเส้นทางเหมือนเครื่องบินได้ ข้อจำกัดด้านกฎหมายและความปลอดภัยต้องระวังพื้นที่ยิงจรวด เพราะอาจตกกระทบประชาชนหรือทรัพย์สิน ต้องใช้กับสภาพภูมิประเทศที่เป็นพื้นที่ราบกว้างเหมาะสม แต่พื้นที่ประเทศไทยซับซ้อนและมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศอาจมีข้อจำกัด

โดยการใช้จรวดในการดัดแปรสภาพอากาศของประเทศไทยยังคงต้องพัฒนาต่อไป ก่อนที่จะนำมาใช้จริง เนื่องจากประเทศไทยมีภูมิประเทศที่ซับซ้อน มีบ้านเรือนประชาชนอาศัยอยู่เกือบทุกพื้นที่ ต้องพัฒนาระบบการควบคุมตำแหน่งให้มีความแม่นยำสูง เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อประชาชน และกระทบต่อความมั่นคงของประเทศต่อประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้นวิธีการนี้เป็นอีกทางเลือกเสริมการปฏิบัติการฝนหลวงด้วยเครื่องบิน ไม่ได้มาแทนที่การใช้เครื่องบินฝนหลวงทั้งหมด.

012

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top