"นฤมล" สั่ง "สพฐ." ดูข้อกฏหมาย นายกสมาคมครูชนบทชัยภูมิ แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ เป็นการแจ้งเท็จ หมิ่นประมาทหรือไม่
9 กันยายน 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงของ สพฐ และประเด็นการร้องเรียนการปรับหลักสูตรการศึกษาเพื่อรองรับการเช่าซื้อสื่อดิจิทัล ณ ห้องประชุม สพฐ.1 อาคาร สพฐ.4 ชั้น 2 กระทรวงศึกษาธิการ
โดย นายพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเลขาธิการ กพฐ. และนายวิษณุ ทรัพย์สมบัติ ที่ปรึกษาด้านมาตรฐานการศึกษา สพฐ. และว่าที่ รองเลขาธิการ กพฐ. ได้รับมอบหมายจาก ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการ กพฐ. แถลงกรณี นายกสมาคมครูชนบทชัยภูมิ เข้าแจ้งความที่ สถานีตำรวจนครบาลดุสิต เมื่อวันที่ 8 ก.ย.ที่ผ่านมา ร้องทุกข์กล่าวโทษว่าการปรับหลักสูตรการศึกษาเพื่อรองรับการเช่าซื้อสื่อดิทัล โดยได้ร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานระดับสูงของรัฐตามมาตรา 157 กระทำผิดฐานละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ในการกระทำหรืองดเว้นต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการในการปรับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อรองรับการเช่าซื้อสื่อดิจิทัล นั้น ตนขอชี้แจงเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน ว่า ในประเด็นที่หนึ่ง ที่กล่าวหาว่า สพฐ. ได้ปรับปรุงหลักสูตรระดับปฐมวัย และหลักสูตรระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานเฉพาะ ป. 1 -ป.3 เอื้อประโยชน์กับคนใดบุคคนหนึ่ง นั้น ซึ่งในประเด็นนี้ ตนขอให้นายวิษณุ ในฐานะมีหน้าที่รับผิดชอบตรงนี้ได้ชี้แจงในประเด็นดังกล่าว
นายวิษณุ กล่าวว่า เนื่องจากตนเป็นหนึ่งในรายชื่อทีาถูกร้อง ซึ่งขณะนั้นตนดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องของหลักสูตรใหม่ 2568 จึงขอชี้แจงในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตร ว่า ได้ทำหลักสูตรเป็นไปตามบทบาทอำนาจหน้าที่หรือไม่ ซึ่งถ้าดูใน พรบ.การศึกษาแห่งชาติ 2542 ในมาตรา 27 กำหนดให้คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีบทบาทหน้าที่ในการพัฒนาหลักสูตรแกนกลาง ที่ตอบสนองความเป็นไทย ความเป็นพล ความเป็นเอกภาพของชาติ และการพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุคุณภาพ และถ้าดูในท้ายของมาตรา ได้มอบอำนาจให้สถานศึกษามีหน้าที่ทำหลักสูตรสถานศึกษาเป็นแกนสาระเพิ่มเติมของโรงเรียนทให้สอดรับกับหลักสูตรแกนกลาง และสอดคล้องกับบริบทความต้องการ ความจำเป็น และจุดเน้นของสถานศึกษาได้ ดังนั้น คณะกรรมการ กพฐ. จึงมีหน้าที่ในการพัฒนาตัวหลักสูตร สำหรับหลักสูตรใหม่เมื่อประกาศใช้ในปี 2568 ให้กับโรงเรียนที่ทดลองใช้ในปี 2568 คณะกรรมการ กพฐ. ได้มีมติให้ สพฐ.
โดยสำนักวิชาการฯ มีหน้าที่คิดออกแบบหลักสูตรฉบับใหม่ขึ้นมา ซึ่งเราทำใน 2 ช่วงชั้น คือ ระดับชั้นอนุบาล (อายุ3-6 ปี) กลับระดับชั้นประถมฯต้น (ป.1-ป.3)โดยมติของคณะกรรมการ กพฐ.ขณะนั้น เนื่องจากสภาวการณ์ที่ต้องการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้มุ่งตอบสนองช่วงวัยของผู้เรียน และมีสมรรถนะที่จำเป็นเกิดการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น เป้าหมายคุณภาพของผู้เรียนต้องตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ก็เห็นควรให้มีการคิดหลักสูตรที่อิงหลักสูตรฐานสมรรถนะ แล้วให้ประกาศใช้กับกลุ่มโรงเรียนที่มีความพร้อมและสมัครใจ จะเห็นว่าในปี 2568 มีการใช้หลักสูตรฉบับใหม่ภายใต้บทบาทหน้าที่ของ กพฐ. และภายใต้อำนาจของสำนักวิชาการฯ ซึ่งเขียนไว้ในกฎกระทรวงว่ามีหน้าที่ในการพัฒนาหลักสูตรที่สอดคล้องกับสภาวการณ์ และในการพัฒนาหลักสูตรฉบับนั้น ผ่านคณะทำงานหลายฉบับและหลายชุดมาก ตามคำสั่งซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการลงนามในคณะขับเคลื่อนในการทำหลักสูตร ที่มีทั้งคณะกรรมการยกระดับคุณภาพ คณะกรรมการ กพฐ. คณะทำงานของ สพฐ. ที่เกิดจากการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายในการขับเคลื่อน
“ในการทำหลักสูตรฉบับนี้ นอกจากเป็นไปตามอำนาจ เป็นไปตามบทบาทหน้าที่มและความรับผิดชอบ ส่วนที่มีประเด็นกล่าวหาว่า หลักสูตรนี้ไปเอื้อให้เกิดการใช้การเช่าแท็บเล็ต นั้น ซึ่งถ้าเรามองในหลักสูตรฉบับใหม่ ที่ประกาศใช้ ครูสามารถเลือกใช้สื่อได้จากทุกแหล่งเรียนรู้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ มีการสอนเรื่องทักษะเทคโนโลยี แต่ส่วนใหญ่เน้นการอ่าน เขียน คิดคำนวณ ครูจะมีหน้าที่ที่จะหยิบสื่อต่างๆหลากหลาย ดังนั้น จึงไม่ได้ไปตอบสนองตอบสนองใครคนใดคนหนึ่ง แล้วจะเห็นได้ว่าหลักสูตรใหม่นี้ เราใช้กับเด็กอนุบาลและชั้นประถมต้น ในขณะที่โครงการ Anyway Anytime เป็นนโยบายส่งเสริมกับนักเรียนในระดับชั้นมัธยมฯ ดังนั้น จึงเป็นคนละกลุ่มเป้าหมาย และสิ่งที่ สพฐ.ทำ ไปตามบทบาทหน้าที่ และคำนึงถึงผู้เรียน คำนึงถึงคุณภาพผู้เรียน ไม่มีอะไรที่มิชอบ หรือทำผิดเกินบทบาทหน้าที่“ นายวิษณุ กล่าว
นายพัฒนะ กล่าวถึงในประเด็นที่ 2 ที่ถูกกล่าวหาว่า การเช่าแท็บเล็ต โน๊ตบุ๊ก โครมบุ๊ค ทำให้เกิดความเสียหายต่อนักเรียนจำนวนถึง 13 ล้านคน นั้น ตนขอชี้แจงว่า นักเรียนในสังกัด สพฐ. ตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล อายุ 3 ขวบ ถึง อายุ 18 ปีบริบูรณ์ จากข้อมูล 10 มิถุนายน 2568 สพฐ.มี นักเรียนในสังกัดเพียง 6,300,000 กว่าคน และโครงการเช่าอุปกรณ์การเรียนการสอนนั้น สพฐ. เช่าให้เฉพาะนักเรียน ม.ปลาย หรือ ม.4-ม.6เท่านั้น ซึ่งมีอยู่ประมาณ 600,000 คน ดังนั้น ข้อมูลการกล่าวหา สพฐ.นั้น จึงไม่ถูกต้อง ส่วนงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร ก็อยู่ใน พรบ.งบประมาณ ประจำปี 2568 ซึ่งในการจัดซื้อจัดจ้าง ทาง สพฐ. ก็ได้จัดสรรงบประมาณไปให้ทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ทั้ง 118 เขตพื้นที่ฯ โดยให้แต่ละสำนักงานเขตพื้นที่ฯ ประกาศเชิญชวนบริษัทต่างๆเข้าระบบอีบีดดิ้ง ซึ่งทางส่วนกลางไม่ได้ระบุให้เขตพื้นที่ว่าจะต้องเช่าซื้อกับบริษัทใดบริษัทหนึ่ง และสถานประกอบการในแต่ละจังหวัด ก็มีไม่เหมือนกัน จึงเป็นอำนาจของเขตพื้นที่ฯ ในการดำเนินการสรรหาหรือหาผู้รับเหมารับจ้างเป็นผู้ให้การเช่าอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ให้กับนักเรียน และจะเห็นได้ว่าปัจจุบันนี้นักเรียน ที่อยู่ในเมือง ในกรุงเทพ ฯ หรือปริมณฑล ส่วนใหญ่ร้อยละ 90 ผู้ปกครองได้ซื้ออุปกรณ์การเรียนให้กับนักเรียนแทบจะทุกคนอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ สพฐ. ทำ เป็นการเติมช่อง ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้กับนักเรียน โดยเฉพาะเด็กที่อยู่ต่างจังหวัด หรือตามอำเภอที่ผู้ปกครองมีฐานะยากจน เด็กไม่มีโอกาสมีอุปกรณ์เหล่านี้มาใช้ในการเรียนการสอนได้ เราจึงจัดหาเพื่อให้นักเรียนสามารถนำไปใช้นอกจากใช้ในการเรียนการสอนในห้องเรียนแล้ว นักเรียนยังสามารถนำกลับไปใช้ที่บ้านได้เพื่อค้นคว้าหาความรู้ในการจัดการการศึกษาได้ตามโครงการ Anyway Anytime ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการจัดการศึกษากับนักเรียน เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในภาพรวมของประเทศชาติ ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งเลย
“สพฐ. และ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศธ. มีความห่วงใย ว่าโครงการนี้ เราจะดำเนินการต่อเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติอย่างแท้จริง และในส่วนของ สพฐ. และ รมว.ศธ. ได้มอบหมายให้ สพฐ. ไปดูระเบียบข้อกฎหมายว่าสิ่งที่ผู้ร้อง ที่ไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ กับสถานีตำรวจนครบาล ดุสิต นั้น ว่ามีข้อความ เป็นการแจ้งเท็จหรือไม่ หมิ่นประมาทหรือไม่ หรือว่าเป็นการนำเอาข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งขณะนี้ เลขาธิการ กพฐ.ได้มอบหมายให้สำนักนิติการ สพฐ.ไปดูระเบียบข้อกฎหมายต่างๆว่าจะดำเนินการอย่างไรกับผู้ที่ไปร้องทุกข์กล่าวโทษต่อไป“
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี