มช.สร้างโมเดลต้นแบบ 'Sustainovation' ต่อยอดสู่เป้าหมาย Net Zero

มช.สร้างโมเดลต้นแบบ 'Sustainovation' ต่อยอดสู่เป้าหมาย Net Zero

วันพฤหัสบดี ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 17.44 น.

มช. เดินหน้าร่วมมือกับภาคเอกชน สร้างโมเดลต้นแบบ “Sustainovation” ผสานพลังองค์ความรู้ เทคโนโลยี และชุมชน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนและนวัตกรรมเพื่อสังคม ต่อยอดสู่เป้าหมาย Net Zero

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ตอกย้ำบทบาทผู้นำด้านการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน ร่วมกับ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) (CPN) บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่างสถาบันการศึกษาและภาคเอกชนชั้นนำ มุ่งใช้ศักยภาพงานวิจัยของ มช. ต่อยอดสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์และสร้างธุรกิจเพื่อสังคม ผ่านการสร้าง ‘ระบบนิเวศนวัตกรรม (Sustainable Ecosystem)’ ที่เชื่อมโยงความยั่งยืนในทุกมิติอย่างเป็นรูปธรรม


มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “การส่งเสริมการนำองค์ความรู้งานวิจัยไปใช้ประโยชน์ ในเชิงพาณิชย์และการสร้างธุรกิจเพื่อพัฒนาสังคมแห่งความยั่งยืน” มุ่งส่งเสริมการนำผลงานวิจัยและองค์ความรู้ของ มช. ไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ควบคู่กับการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสังคมและสิ่งแวดล้อม ผ่านการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษา ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน ภายใต้แนวคิด“Sustainovation” หรือ “นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน” ซึ่งมุ่งเชื่อมโยงองค์ความรู้ทางวิชาการกับการประยุกต์ใช้จริงในระดับพื้นที่ สร้างระบบนิเวศนวัตกรรม (Sustainable Ecosystem) ที่สามารถขยายผลไปสู่ระดับประเทศ โดยมีผศ.ดร.ธัญญานุภาพ อานันทนะ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมด้วย นายวุฒิเกียรติ เตชะมงคลาภิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ร่วมลงนามเป็นผู้แทนของทั้งสองฝ่าย พร้อมด้วยผู้บริหาร หน่วยงานพันธมิตร และสื่อมวลชนเข้าร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีอย่างคับคั่ง ณ Exhibition Hall อาคารอำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ภาคเหนือ (จังหวัดเชียงใหม่)

ภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว มช.โดยอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (STeP) ได้ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักในการสนับสนุนและเชื่อมโยงการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมกับภาคเอกชน ด้วยการบูรณาการการทำงานร่วมกับสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ (ERDI–CMU) และสถาบันวิจัยพหุศาสตร์ (MRDI–CMU) เพื่อขับเคลื่อนโครงการนำร่องใน 3 ด้านสำคัญ ได้แก่ 1) การคัดแยกและจัดการเศษอาหารด้วย BCG Model (Circular Economy Waste Management Model) 2) การสร้างถนนรักษ์โลกจากพลาสติกรีไซเคิล (Green Road) และ 3) การเสริมศักยภาพผู้ประกอบการนวัตกรรมเพื่อสังคม (Start-up & SME Empowerment) ซึ่งถือเป็นการบูรณาการองค์ความรู้ทางวิชาการของมหาวิทยาลัยสู่การใช้ประโยชน์จริงในเชิงเศรษฐกิจและสังคมอย่างสมบูรณ์

ด้าน ผศ.ดร.ธัญญานุภาพ อานันทนะ รองอธิการบดีมช. ระบุว่า ความร่วมมือครั้งนี้นั้น ได้สะท้อนบทบาทของมช. ในฐานะสถาบันการศึกษาที่มุ่งสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมเพื่อรับใช้สังคม ผ่านการมุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในภาคเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งความร่วมมือกับภาคเอกชนอย่างเซ็นทรัลพัฒนาฯ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการนำงานวิจัยออกจากห้องทดลอง สู่การสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชนและขับเคลื่อนประเทศสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามแนวทาง BCG และ Net Zero ดังนั้น ความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) จึงเป็นต้นแบบของการบูรณาการองค์ความรู้ เทคโนโลยี และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ทั้งเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคมอย่างยั่งยืน ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้ มช. เดินหน้าตามพันธกิจการเป็น “มหาวิทยาลัยแห่งนวัตกรรมเพื่อสังคม” ที่พร้อมผลักดันผลงานวิจัยไทยสู่การใช้ประโยชนอย่างแท้จริง

นายวุฒิเกียรติ เตชะมงคลาภิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เซ็นทรัลพัฒนาให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยั่งยืนผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะสถาบันการศึกษาอย่าง มช. ซึ่งมีศักยภาพด้านวิจัยและเทคโนโลยีที่สามารถต่อยอดสู่การใช้งานจริง โดยการลงนามในครั้งนี้นั้นนับเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างระบบนิเวศที่เชื่อมโยงระหว่างธุรกิจ ชุมชน และงานวิจัย เพื่อผลักดันโมเดล Sustainovation ให้เกิดขึ้นในทุกภูมิภาคของประเทศ ด้วยการบูรณาการความรู้และนวัตกรรมเข้ากับการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบ สู่กลไกสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมไทยให้ก้าวสู่ความยั่งยืนต่อไปในอนาคต

โดย มช. ได้มีการริเริ่มนำร่องโครงการต่างๆ อย่างเช่น Circular Economy Waste Management Modelซึ่งได้รับความร่วมมือระหว่าง สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มช. (ERDI–CMU) และเครือข่ายธุรกิจเพื่อการจัดการสภาพภูมิอากาศประเทศไทย (ThaiCBN) โดยมุ่งปิดวงจรขยะเศษอาหารจากศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต เข้าสู่กระบวนการผลิตก๊าซชีวภาพ (CBG) เพื่อนำไปใช้ผลิตไฟฟ้าและเชื้อเพลิงทดแทน พร้อมนำกากตะกอนจากการผลิตกลับมาใช้เป็นปุ๋ยอินทรีย์เพื่อเพาะปลูกข้าวคาร์บอนต่ำ ผลผลิตที่ได้จะถูกนำกลับมาจำหน่ายใน “กาดหลวง” ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต ซึ่งถือเป็นการสร้างคุณค่าร่วมในทุกขั้นตอน และเป็นต้นแบบของการจัดการขยะอย่างยั่งยืนที่เกิดขึ้นจริงในระดับชุมชน

 

อีกหนึ่งโครงการที่สะท้อนความร่วมมือข้ามภาคส่วน คือ “Green Road – ถนนรักษ์โลกจากพลาสติกรีไซเคิล” ซึ่งเกิดจากการร่วมมือระหว่าง สถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มช. (MRDI–CMU) และเทศบาลเมืองกระบี่ โดยได้นำขยะพลาสติก จำนวน 2.5 ตันและ ไบโอชาร์ (Biochar) 5.8 ตัน ที่ผลิตจากชีวมวลพืชเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน มาเป็นส่วนผสมหลักในการก่อสร้างซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 25.89 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือเทียบเท่าการปลูกต้นไม้ใหญ่  1,250 ต้นต่อปี ถือเป็นต้นแบบของการใช้เทคโนโลยีและองค์ความรู้ด้านวิศวกรรมของมหาวิทยาลัย เพื่อยกระดับคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสังคมไปพร้อมกัน

ยิ่งไปกว่านั้น โครงการ Start-up & SME Empowerment ยังเป็นอีกความร่วมมือสำคัญที่ STeP ได้เข้ามามีบทบาทหลักในการสนับสนุนผู้ประกอบการนวัตกรรมรายย่อย ให้เข้าถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ การพัฒนาทักษะด้านธุรกิจและการบริหารจัดการ รวมถึงการยกระดับคุณภาพการให้บริการ เพื่อสร้างระบบนิเวศธุรกิจที่เข้มแข็งและเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งยังเป็นกลไกสำคัญในการกระจายรายได้และส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากในระดับท้องถิ่น ผศ.ดร.ธัญญานุภาพ กล่าวทิ้งท้าย

-(016)

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top