ชาวอุบลฯค้านกรมชลเตรียมสร้างคลองผันน้ำมูลยักษ์ แต่ยังไม่ทำอีไอเอ หวั่นละลายงบ-ไม่แก้ปัญหาน้ำท่วม ยื่นหนังสือร้องผู้ตรวจการแผ่นดินช่วยตรวจสอบ
เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2568 ที่ จ.อุบลราชธานี ตัวแทนเครือข่ายชุมชนตำบลไร่ไต้ อ.พิบูลมังสาหาร ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินพร้อมแนบรายชื่อประชาชนที่จะได้รับผลกระทบจากโครงการคลองผันน้ำเลี่ยงเมืองอุบลราชธานี เพื่อขอให้ทบทวนและตรวจสอบความชอบธรรมของโครงการนี้ เนื่องจากไม่มีการจัดทำรายงานการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคม(อีไอเอ)
หนังสือร้องเรียน ระบุว่า ตามที่กรมชลประทานได้ดำเนินการผลักดัน “โครงการคลองผันน้ำเลี่ยงเมืองอุบลราชธานี” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันน้ำท่วมเขตเศรษฐกิจในตัวเมืองอุบลราชธานี ผ่านการขุดคลองผันน้ำจากเขื่อนหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ มายังแม่น้ำมูลบริเวณท้ายแก่งสะพือ อำเภอพิบูลมังสาหาร ซึ่งคลองดังกล่าวจะพาดผ่านพื้นที่เกษตรกรรมและชุมชนจำนวนมาก รวมถึงพื้นที่ตำบลไร่ใต้ ที่เป็นพื้นที่ตั้งถิ่นฐานของประชาชนมาช้านานนั้น
เครือข่ายชุมชนตำบลไร่ใต้เห็นว่า โครงการดังกล่าวมีผลกระทบโดยตรงต่อวิถีชีวิต สิทธิในที่ดินทำกิน ระบบนิเวศ และความมั่นคงของชุมชน ซึ่งยังไม่มีการประเมินผลกระทบอย่างรอบด้าน โปร่งใส และมีส่วนร่วมจากประชาชนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะการละเมิดสิทธิชุมชนและการขาดกระบวนการมีส่วนร่วม แม้หน่วยงานผู้รับผิดชอบจะอ้างว่าจะมีการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชน แต่ในทางปฏิบัติ เวทีดังกล่าวไม่ได้เปิดพื้นที่ให้ชาวบ้านในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบได้แสดงความคิดเห็นอย่างเท่าเทียม การสื่อสารข้อมูลไม่ครบถ้วน ขาดการให้ข้อมูลทางเทคนิคและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอย่างเข้าใจง่าย ส่งผลให้ชาวบ้านจำนวนมากไม่ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ของตน
“การตัดสินใจในลักษณะนี้ถือเป็น การละเมิดสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 43 และ 57 ซึ่งให้ประชาชนมีสิทธิในการจัดการ รักษา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ของตนอย่างยั่งยืน รวมทั้งมีสิทธิเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและมีส่วนร่วมในการพัฒนาใด ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อชุมชน”หนังสือระบุ
หนังสือร้องเรียนยังระบุอีกว่า โครงการดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและวิถีชีวิตชุมชน เนื่องจากตำบลไร่ใต้เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำติดลำโดมใหญ่ ซึ่งมีน้ำหลากในฤดูฝนอยู่แล้ว การขุดคลองผันน้ำขนาดใหญ่ตัดผ่านพื้นที่นี้อาจทำให้ปริมาณน้ำท่วมสูงขึ้นและระบายน้ำได้ช้าลง สร้างผลกระทบซ้ำซ้อนต่อเกษตรกรที่พึ่งพาการทำไร่นาและสวนผลไม้ ทั้งยังเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศในพื้นที่ที่เคยอุดมสมบูรณ์พื้นที่กว่า 8,800 ไร่ และบ้านเรือนกว่า 300 หลังคาเรือน อยู่ในแนวเขตเวนคืนและพื้นที่เสี่ยงต่อการได้รับผลกระทบโดยตรง ซึ่งหมายถึงการสูญเสียที่ดินทำกิน ที่อยู่อาศัย และฐานเศรษฐกิจของครอบครัวจำนวนมาก
น.ส.นัฐชฎา มาลี ตัวแทนเครือข่ายชุมชนไร่ใต้ กล่าวว่า จะมีการขุดคลองผันน้ำกว้าง 300 เมตร ยาว 97 กม. ผ่านที่นาของชาวบ้าน พื้นที่ชุมชน วัด พื้นที่บรรพบุรุษหายไป ต้องมีการอพยพและเวรคืนที่ดิน ชาวบ้านก็กังวล บางคนมีที่นาแค่ผืนเดียวซึ่งอาจจะถูกแบ่งครึ่ง โครงการนี้ไม่มีการทำอีไอเอ เพราะอยู่ในลุ่มน้ำเดียว อยากให้มีการพิจารณาการทำอีไอเอและสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมและเป็นเจ้าของที่มีการแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมที่แท้จริง ไม่ใช่ใช้ระบบตัวแทนเพียงคนๆเดียว ทางชุมชนได้มีการคุยปรึกษาหารือกันมา จึงได้มายื่นหนังสือต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน
“ขอเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ตรวจการแผ่นดิน ดำเนินการตรวจสอบความชอบธรรมของโครงการ คลองผันน้ำเลี่ยงเมืองอุบลราชธานี ควรมีการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นในทุกพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างรอบด้านและครอบคลุมทุกพื้นที่ ตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยมีตัวแทนจากภาคประชาชน นักวิชาการ และองค์กรท้องถิ่น เพื่อร่วมกันพิจารณาแนวทางการจัดการน้ำที่เหมาะสมกับภูมิสังคม ให้ความคุ้มครองสิทธิในที่ดินและทรัพยากรของชาวบ้าน รวมถึงการชดเชยอย่างเป็นธรรม หากมีการเวนคืนหรือผลกระทบเกิดขึ้น”น.ส.นัฐชฎา กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี