วันศุกร์ ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2568
นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วย น.ส.พิมพ์พร ชีวานันท์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. น.ส.วราภรณ์ รุ่งตระการ รองปลัดกระทรวง อว. ให้การต้อนรับและหารือร่วมกับ Mr.TANAKA Akihiko ประธานองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency: JICA) โฮตากะ มาชาโตะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย และคณะ ในโอกาสเยือนประเทศไทย ณ ห้องประชุม 3B อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวง อว. (โยธี)
นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมว.อว. กล่าวว่า ประเทศไทยและญี่ปุ่นมีการดำเนินความร่วมมือทางวิชาการมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปี พ.ศ.2570 ที่จะครบรอบ 140 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและญี่ปุ่นซึ่งจะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้กระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและญี่ปุ่นให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ในฐานะหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมรอบด้าน ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลญี่ปุ่น JICA และสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นได้ส่งเสริมและสนับสนุนความร่วมมือกับประเทศไทยมาโตยตลอด โดยเฉพาะความร่วมมือในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี ภายใต้โครงการจัดตั้งสถาบันโคเซ็นในประเทศไทย ทั้งสถาบันโคเซ็นแห่งสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และสถาบันโคเซ็นแห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ที่มุ่งจัดการศึกษาเชิงปฏิบัติการเพื่อผลิตกำลังคนด้านวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งนักศึกษาโคเซ็นสองรุ่นที่สำเร็จการศึกษาไปแล้ว ได้เข้าทำงานในภาคอุตสาหกรรมและได้รับทุนศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าระบบการศึกษาแบบโคเซ็นได้ช่วยผลิตกำลังคนที่มีคุณภาพให้แก่ประเทศไทย
โครงการนี้ควรจะขยายผลไปยังสถาบันอุดมศึกษาอื่นๆ และจัดตั้ง KOSEN Education Center (KEC) เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ในการขยายการศึกษาแบบโคเช็นออกไปอย่างกว้างขวาง รวมถึงการพัฒนาหลักสูตรเพื่อผลิตกำลังคนสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมเซมิคอนตักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง (Semi-conductor & Advanced Electronics) อีกโครงการหนึ่งคือ AUN/SEED-Net ที่รัฐบาลญี่ปุ่นและ JICA ได้มุ่งมั่นให้การสนับสนุนโครงการอย่างต่อเนื่องมากว่า 20 ปี ซึ่งช่วยสร้างบุคลากรด้านวิศวกรรมศาสตร์ของไทยให้มีศักยภาพ และยังช่วยสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านวิศวกรรมศาสตร์ระหว่างสถาบันอุดมศึกษาของไทยแลยและประเทศสมาชิกอาเซียน กับสถาบันอุดมศึกษาของญี่ปุ่นอีกด้วย นอกจากนี้ยังมี โครงการสร้างเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอน ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ในพื้นที่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation - EEC) ซึ่งน่ายินดีที่รัฐบาลญี่ปุ่นและ JICA จะช่วยสนับสนุนและให้ความร่วมมือในโครงการนี้เพื่อพัฒนาการวิจัย และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีขั้นสูงของไทย ขณะนี้ฝ่ายไทยอยู่ระหว่างเตรียมเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา และทาง อว. จะได้แจ้งความคืบหน้าให้ทาง JICA และสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นทราบต่อไป
ด้าน น.ส.วราภรณ์ รุ่งตระการ รองปลัดกระทรวง อว. กล่าวว่า การจัดตั้ง KOSEN Education Center (KEC) ซึ่งเป็นส่วนต่อขยายของโครงการจัดตั้งสถาบันไทยโคเซ็น มีจุดประสงค์เพื่อให้สามารถผลิตกําลังคนที่มีปริมาณสอดคล้องกับความต้องการภาคอุตสาหกรรม และรักษาคุณภาพมาตรฐานในการผลิตกําลังคน โดยต่อยอดการจัดการศึกษาเฉพาะทางร่วมกับภาคอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการในประเทศไทยและภูมิภาค ทั้งในรูปแบบของการเป็นศูนย์อบรมบุคลากรทางการศึกษา ศูนย์อบรมบุคลากรในภาคอุตสาหกรรม ศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อภาคอุตสาหกรรมและภาคการศึกษา และศูนย์ที่รับผิดชอบการพัฒนาหลักสูตรและการจัดตั้งสถาบันการศึกษา/ห้องเรียนที่ใช้การศึกษาที่ร่วมกับภาคอุตสาหกรรมอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงการสร้างเครือข่ายเพื่อเป็นช่องทางในการถ่ายทอด องค์ความรู้อย่างทั่วถึงในประเทศไทยและพัฒนาสู่ภูมิภาคอาเซียน โดยการจัดตั้ง KEC เป็นวัตถุประสงค์หลักในการดำเนินโครงการระยะที่ 2 ซึ่งในปัจจุบันนี้สำนักงานปลัดกระทรวง อว. ได้เร่งประเมินผลการดําเนินงานโครงการระยะที่ 1 และศึกษาความเหมาะสมในการดําเนินงานและความสอดคล้องต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรม โดยจะนําเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อเห็นชอบการขยายโครงการและขอเสนอรับการสนับสนุนโครงการด้านความร่วมมือกับรัฐบาลญี่ปุ่นต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี