วันศุกร์ ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2568
ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ดร.อโศก พลบำรุง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและนวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ ผศ.ดร.พันทิพย์ ปิยะทัศนานนท์รักษาการแทนผู้อำนวยการเทคโนธานี ผศ.ดร.กำไร เบือนสันเทียะ หัวหน้าโครงการจัดตั้งสำนักงานเศรษฐกิจโคราช เทคโนธานี พร้อมด้วย นายกิตติศักดิ์ ธีระวัฒนา รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครราชสีมา กลุ่มสมาคมผู้ผลิตและประกอบการมันสำปะหลังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมเครือข่ายธุรกิจชุมชนร่วมและเกษตรกรในพื้นที่ ร่วมงานพิธีเปิด “ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีมันสำปะหลังไทย-จีน” หรือ Thailand–China Cassava Technology Transfer Center ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา
ผศ.ดร.กำไร เบือนสันเทียะ หัวหน้าโครงการจัดตั้งสำนักงานเศรษฐกิจโคราช (Korat Economic Agency : KEA) เทคโนธานี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี กล่าวว่า ศูนย์ฯเกิดจากความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ มทส. ได้ร่วมกับสถาบันวิจัย Chinese Academy of Tropical Agricultural Sciences (CATAS) และสถาบันต่างๆ ในประเทศจีน ที่มุ่งเน้นผลักดันเรื่องของการเป็น “ศูนย์กลางแห่งการแลกเปลี่ยนความรู้ วิจัย และถ่ายทอดเทคโนโลยีมันสำปะหลังครบวงจร” จนทำให้เกิด “ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีมันสำปะหลัง ไทย–จีน” เพื่อเป็นกลไกกลางเชื่อมงานวิจัย เทคโนโลยี ทุน และตลาด สู่การใช้จริงในพื้นที่ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากด้วยโมเดล “4 เสา” ได้แก่ Cluster, SIE, Industry และ Korat Sandbox มุ่งพัฒนาโคราชเป็นต้นแบบเมืองนวัตกรรมเกษตรครบวงจร ถ่ายทอดเทคโนโลยีมันสำปะหลังตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ สร้างคลัสเตอร์เกษตรกร–ธุรกิจชุมชน เชื่อมอุตสาหกรรมชีวภาพและนวัตกรรมไทย–จีน สู่การขยายผลในลุ่มน้ำโขง ภายใต้แนวทาง BRI และเศรษฐกิจ BCG
นายกิตติศักดิ์ ธีระวัฒนา รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ประธานในพิธีเปิดศูนย์ฯ กล่าวว่า ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของความร่วมมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากผ่านองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมทางการเกษตร ที่จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพการผลิตและการแปรรูปมันสำปะหลังของไทยอย่างมาก และในโครงการ “สะพานนวัตกรรมไทย–จีน” ยังสามารถเชื่อมโยงเศรษฐกิจ BCG ประเทศไทย เข้ากับโครงการ Belt and Road Initiative นั้น ยิ่งทำให้ภาพของการพัฒนาจังหวัดนครราชสีมา ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้านเกษตรอัจฉริยะและอุตสาหกรรมชีวภาพของภูมิภาคลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ที่ผ่านกลไกความร่วมมือดังกล่าว
ด้าน ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการ บพท. กล่าวว่า ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีมันสำปะหลังไทย–จีน แห่งนี้ เป็นหนึ่งใน 5 ศูนย์วิจัย ภายใต้ 6 กรอบความร่วมมือไทย–จีน มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาและยกระดับการแก้ไขปัญหาความยากจนผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมชนบทซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของทั้งสองประเทศ ที่มุ่งเน้นการพัฒนา ห่วงโซ่คุณค่าการผลิตมันสำปะหลัง ครอบคลุมตั้งแต่การปรับปรุงพันธุ์คุณภาพสูง การจัดการดินและน้ำ การใช้ปุ๋ยชีวภาพ การป้องกันโรคใบด่าง การแปรรูปผลิตภัณฑ์ตามมาตรฐานสากล ไปจนถึงการบริหารจัดการของเสียและการพัฒนาตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่เกษตรกรและภาคอุตสาหกรรมต่อเนื่องในพื้นที่
โดยศูนย์ฯ แห่งนี้จะมีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีสู่หน่วยงานภาครัฐ สถาบันวิชาการ และเกษตรกรในพื้นที่ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์เชิงรูปธรรมในการยกระดับรายได้ขจัดความยากจน และลดความเหลื่อมล้ำของประชาชนอย่างยั่งยืนพร้อมแสดงความมั่นใจว่าความร่วมมือครั้งนี้จะเป็น “จุดเริ่มต้นของการขยายเครือข่ายวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม” ที่นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก การสร้างคุณค่าใหม่ทางสังคม และการเสริมสร้างมิตรภาพอันแน่นแฟ้นระหว่างไทยและจีนในระยะยาว
ในโอกาสนี้ยังตรงกับวาระครบรอบ 50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของการต่อยอดความร่วมมือระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นและยั่งยืนยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ศูนย์ฯ แห่งนี้จะเป็นต้นแบบของ “ความร่วมมือเพื่อการพัฒนา (Cooperation for Development)” ที่นำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งสองประเทศอย่างแท้จริง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี