คลินิกสิ่งแวดล้อม: 7 พฤศจิกายน 2568

คลินิกสิ่งแวดล้อม: 7 พฤศจิกายน 2568

วันศุกร์ ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

ทำความรู้จักพระราชบัญญัติ คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ.2568 

ในประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 60 กลุ่ม เช่น กะเหรี่ยง ลาฮู่ ลีซู อาข่า ม้ง และไทลื้อ ซึ่งอาศัยอยู่กระจายทั่วประเทศ โดยอาจแบ่งตามลักษณะที่อยู่อาศัย ได้แก่ กลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง กะเหรี่ยง ได้แก่ลาฮู่ (มูเซอ) ลีซู (ลีซอ) อาข่า ม้ง กลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่ราบ ไทลื้อ ไทใหญ่ (ฉาน, เงี้ยว) ไทดำ (ลาวโซ่ง) ภูไท มอญ กลุ่มชาติพันธุ์ที่ตั้งถิ่นฐานตามชายฝั่งหรือหมู่เกาะ (ชาวเล) มอแกน และกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยในป่า มานิ (ซาไก) มลาบรี (ผีตองเหลือง)


แม้เดิมกลุ่มชนชาติพันธุ์ จะถูกรับรองไว้ตามรัฐธรรมนูญ ในเรื่องเกี่ยวกับสิทธิชุมชนและสิทธิมนุษยชนตามมาตรา 4 และ 43 ก็ตาม แต่สภาพแห่งสิทธิ์และความคุ้มครองยังคงไม่ชัดเจนเรื่อยมา

เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2568 เว็บไซต์ราชกฤษจานุเบกษาได้ประกาศ พระราชบัญญัติ คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ.2568

หัวข้อสำคัญของกฎหมายดังกล่าวแบ่งเป็น

บททั่วไป  กำหนดวัตถุประสงค์และสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ รวมถึงสิทธิในการใช้ภาษาของตนเอง สิทธิในที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม และสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและบริการของรัฐ

คณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ กำหนดองค์ประกอบ หน้าที่ และอำนาจของคณะกรรมการ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน

สภาคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์แห่งประเทศไทย จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางในการประสานงาน ส่งเสริม อนุรักษ์ และฟื้นฟูมรดกทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์

ข้อมูลวิถีชีวิตและประวัติศาสตร์กลุ่มชาติพันธุ์ กำหนดให้มีการจัดทำข้อมูลเพื่อใช้เป็นฐานในการกำหนดนโยบาย การรับรองสถานะบุคคล สิทธิในที่ดิน และการประกาศพื้นที่คุ้มครอง

พื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ กำหนดให้มีพื้นที่คุ้มครองเพื่อให้กลุ่มชาติพันธุ์สามารถดำรงวิถีชีวิตบนฐานภูมิปัญญาและวัฒนธรรม โดยมีการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุลและยั่งยืน

โดยเนื้อหาสำคัญที่น่าสนใจได้แก่ มาตรา 6 ระบุว่า

กลุ่มชาติพันธุ์ต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิในเกียรติยศ ชื่อเสียง และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ห้ามมิให้มีการกระทำใด ๆ ที่ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม การกำหนดนโยบาย กฎ ระเบียบ มาตรการ โครงการ หรือวิธีปฏิบัติของหน่วยงานของรัฐ องค์กรเอกชน หรือองค์กรใด ๆ ที่มีลักษณะดังกล่าวข้างต้น ก็เป็นสิ่งต้องห้ามเช่นกัน

และ มาตรา 9  ระบุถึงสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ในที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่จำเป็นต่อการดำรงชีพหรือกิจกรรมสาธารณะของชุมชน โดยมีรายละเอียดดังนี้

สิทธิในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ กลุ่มชาติพันธุ์มีสิทธิในการจัดการ อนุรักษ์ ฟื้นฟู บำรุงรักษา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ความหลากหลายทางชีวภาพ พันธุกรรมพืชและสัตว์ ซึ่งเป็นมรดกทางภูมิปัญญาและระบบนิเวศ

อย่างสมดุล เป็นธรรม และยั่งยืน รวมถึงการดำรงความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมกับที่ดิน น้ำ ป่าไม้ ทะเล และชายฝั่งทะเล

สิทธิในการดำรงวิถีชีวิตตามวัฒนธรรมและประเพณีดั้งเดิม: กลุ่มชาติพันธุ์มีสิทธิในการดำรงวิถีชีวิตตามภูมิปัญญาที่สืบทอดมาเพื่อการดำรงชีพ โดยไม่ทำลายความสมดุลหรือเป็นอันตรายต่อระบบนิเวศ

สิทธิในการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี กลุ่มชาติพันธุ์มีสิทธิในการดำรงชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ ปลอดภัย ปลอดจากมลพิษและวัตถุอันตรายใด ๆ และได้รับการแก้ไขเยียวยาอย่างเป็นธรรมหากได้รับผลกระทบจากนโยบาย แผนงาน หรือโครงการของภาครัฐหรือเอกชน

สิทธิในการปกป้องจากการถูกพรากที่ดินและทรัพยากร กลุ่มชาติพันธุ์มีสิทธิในการปกป้องและได้รับการคุ้มครองจากการกระทำใด ๆ ที่ทำให้ถูกพรากจากที่ดิน เขตแดน ทรัพยากรธรรมชาติ และที่อยู่อาศัยของตน โดยปราศจากการรับรู้ล่วงหน้าเพื่อการโต้แย้งตามกฎหมาย และมีสิทธิได้รับการแก้ไขเยียวยาอย่างเป็นธรรม รวมถึงการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา

สิทธิในการจัดการพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มชาติพันธุ์มีสิทธิในการจัดการพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์

นอกจากนี้ในกฎหมายดังกล่าวได้มีการ กำหนดให้มีสภาคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชนชาติพันธุ์แห่งประเทศไทย ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายหลายประการรวมถึง รับเรื่องราวร้องทุกข์การละเมิดสิทธิ์ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของกลุ่มชนชาติพันธุ์ตามมาตรา 20(5)

กฎหมายดังกล่าวแม้ ไม่มีสภาพบังคับเป็นโทษทางอาญาโดยตรง แต่เมื่อมีการจัดตั้งสภาคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชนชาติพันธุ์แห่งประเทศไทย ซึ่งจะถือว่าเป็นตัวแทนของกลุ่มชนชาติพันธุ์ในการติดตาม การบังคับใช้กฎหมายที่ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิมนุษยชนของกรมชนชาติพันธุ์ ผู้เขียนคิดว่ากฎหมายฉบับนี้น่าจะเป็นประโยชน์ในจุดเริ่มต้นของการคุ้มครองกลุ่มชนชาติพันธุ์ในประเทไทยได้เป็นอย่างดี

-037-

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top