วันพฤหัสบดี ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ผบ.ตร.ไม่หวั่นไหวต่อข่าวโจมตี สั่งตำรวจ ก้มหน้าทำงาน พิสูจน์ตนเอง ย้ำไม่ตอบโต้ โอดองค์กรบอบช้ำมากแล้ว
วันนี้ (6 พ.ย.) ที่โรงแรมแกรนด์ไฮแอท เอราวัณ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้สัมภาษณ์อย่างหนักแน่นภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมหัวหน้าตำรวจอาเซียน (ASEANAPOL) ครั้งที่ 43 โดยมุ่งเน้นทั้งความสำเร็จในการปราบปรามคอลเซ็นเตอร์ในระดับอาเซียน และตอบโต้กระแสการวิพากษ์วิจารณ์และกล่าวหาต่อองค์กรตำรวจในประเทศอย่างตรงไปตรงมา ว่าแนวคิดการปราบปรามคอลเซ็นเตอร์-สแกมเมอร์ของตำรวจไทยได้รับความร่วมมือจากที่ประชุมอย่างดีเยี่ยม ทุกประเทศเห็นตรงกันว่าอาชญากรรมนี้เป็น "ภัยคุกคามที่กระทบต่อพี่น้องประชาชนอย่างรุนแรง" โดยความร่วมมือจะเน้นไปที่การแชร์ข้อมูลขอความร่วมมือระหว่างกัน,การบังคับใช้กฎหมายและการพิสูจน์ทราบบุคคลที่เกี่ยวข้อง,การแลกเปลี่ยนการฝึกอบรมผู้ปฏิบัติงานและการตั้งเครื่องมือประสานงานที่รวดเร็ว
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวยืนยันว่า หน้าที่ของตำรวจสากลคือการร่วมมือกันส่งพยานหลักฐานและข้อมูลระหว่างกัน โดยตำรวจไทยใช้กองการต่างประเทศเป็นศูนย์กลางการประสานงาน
เมื่อถามเกี่ยวกับมาตรการต่อประเทศสมาชิกที่ไม่ร่วมมือในการจัดการปัญหาคอลเซ็นเตอร์-สแกมเมอร์ ผบ.ตร. ชี้แจงว่าเป็นเรื่องระหว่างประเทศที่ "ละเอียดอ่อน" การใช้บทลงโทษเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก เนื่องจากเกี่ยวข้องกับกฎหมายของแต่ละประเทศ, กฎหมายระหว่างประเทศ, บันทึกข้อตกลง, วิธีการทางการทูต และกระทรวงต่างประเทศ
“เราคิดว่าการแสวงหาความร่วมมือร่วมกันเรื่องการปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมาย และตัวผู้กระทำผิดที่เราจะต้องมีการประสานและนำตัวส่งกันในวิธีการที่ถูกต้องเป็นเรื่องที่จำเป็นมากกว่า” ผบ.ตร.กล่าวและว่า ผลการประชุมอาเซียนนี้ การจะพูดว่าประเทศใดดีหรือไม่ดี เป็นเรื่องของมารยาทที่ต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน
สำหรับปัญหาภายในประเทศเกี่ยวกับกลุ่มบุคคลที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์หรือคอลเซ็นเตอร์นั้น ผบ.ตร.ได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.จินภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร.เป็นผู้รับผิดชอบจัดการ พร้อมยืนยันถึงกรณีที่มีการกล่าวหาว่ามีตำรวจหรือนักการเมืองเกี่ยวข้องตามที่มีการพูดต่อกัน
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวอีกว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติเรามีหน้าที่ในการสืบสวนสอบสวน หากมีพยานหลักฐาน ก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการสอบสวน และยืนยันอย่างมั่นใจว่าเราจะดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นบุคคลใดหรือข้าราชการตำรวจรายใด แต่ถ้ามีหลักฐานเราพร้อมที่จะดำเนินการตามกฎหมายเพื่อดำเนินคดี
ส่วนในประเด็นเสียงวิจารณ์นอกองค์กรที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของเจ้าหน้าที่ ผบ.ตร. กล่าวว่า คำพูดที่กล่าวหาอาชีพตำรวจและองค์กรนั้น "กระทบต่อความรู้สึกและจิตใจของข้าราชการตำรวจมาก" แม้จะมีอดีตข้าราชการตำรวจระดับสูงออกมาเคลื่อนไหวเพราะรู้สึกกระทบกระเทือนใจ แต่ตนในฐานะผู้นำจะต้องนำพาองค์กรด้วยความหนักแน่น
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวต่อว่า ได้บอกกับตำรวจทั้งหมดว่าจงใช้วิจารณญาณ และก้มหน้าก้มตาทำงานตามหน้าที่ตามหน้าที่เรามี เรามีหน้าที่เกิดเป็นตำรวจที่ต้องทำงานให้พี่น้องประชาชนไทยอาชญากรรมที่รุนแรงยกระดับอย่างไรเราก็ทำไป ทำเพื่อให้ผลงานนั้นออกมาพิสูจน์ตัวตนความเป็นตำรวจ... จะตำหนิผมว่าผม ผมจะไม่ตอบโต้ ผมเกิดมาเพื่อทำงาน ผมจะไม่หวั่นไหวต่อข่าวสารที่ปล่อยออกมา... ตนจะไม่เป็นคู่ขัดแย้ง และจะไม่ออกมาโต้ตอบอะไรใดๆทั้งสิ้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติพอแล้ว บอบช้ำมากๆ"
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวทิ้งท้ายว่า เราจะทำงาน ตนไม่ต้องการแฟนคลับ ต้องการทำงานจนกว่าอายุราชการจะหมดในวันที่ 30 กันยายน 2569 ไม่เคยรู้ว่าอะไรก็เกิดขึ้นกับตน แต่ทุกวินาทีและลมหายใจทำเพื่อประเทศชาติ พี่น้องประชาชน และตำรวจ ภายในบ้านของตน และตนรักบ้านของตน
015
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี