วันพุธ ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ตามที่ คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการจัดตั้ง สำนักงานเร่งรัดการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มความสามารถการแข่งขันและการพัฒนาพื้นที่ (องค์การมหาชน) หรือ รวพ. โดยออกเป็นร่างพระราชกฤษฎีการจัดตั้งสำนักงานดังกล่าว และให้อยู่ในกำกับดูแลของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของโครงสร้างระบบวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ โดยเฉพาะในด้านกลไกการให้ทุนและการส่งต่อผลงานวิจัย
ดร.สุรชัย สถิตคุณารัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) กล่าวถึงที่มาของการจัดตั้ง รวพ. โดยย้อนความถึงความจำเป็นว่า กระบวนการปฏิรูประบบวิจัยและนวัตกรรมของประเทศได้เริ่มต้นอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2557 ซึ่งหนึ่งในการปฏิรูปที่เห็นได้ชัด คือการจัดตั้งกระทรวง อว. รวมถึงการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องอีกหลายฉบับ เพื่อวางโครงสร้างระบบวิจัยใหม่ทั้งประเทศ โดยหัวใจสำคัญของการปฏิรูปครั้งนั้น คือการแยกบทบาทการทำงานของหน่วยงานในระบบวิจัยให้ชัดเจน เพื่อป้องกันความซ้ำซ้อน ลดผลประโยชน์ทับซ้อน และทำให้การบริหารจัดการงบประมาณด้านวิจัยมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ดังนั้นโครงสร้างใหม่จึงถูกออกแบบในลักษณะลำดับขั้นจากบนลงล่าง ได้แก่ สอวช. เป็นหน่วยงานที่อยู่ในระดับนโยบาย ทำหน้าที่กำหนดทิศทางและนโยบายของประเทศ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) อยู่ในระดับวางแผนและจัดสรรงบประมาณ โดยรับนโยบายจากสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ เพื่อนำไปสู่การจัดทำแผนและจัดสรรงบประมาณ หน่วยบริหารจัดการทุนทั้ง 3 แห่ง ที่ถูกจัดตั้งขึ้นใหม่ คือ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.: PMU A) หน่วยบริหารจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.: PMU B) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.: PMU C) ทำหน้าที่รับการจัดสรรงบและให้ทุนต่อไปยังหน่วยปฏิบัติ โดยไม่มีหน้าที่ในการทำวิจัยเอง และสุดท้าย ระดับปฏิบัติการ ได้แก่ มหาวิทยาลัย หน่วยวิจัย และหน่วยปฏิบัติงานในพื้นที่ ที่ได้รับทุนไปดำเนินงานและส่งผลลัพธ์กลับสู่ผู้ใช้ประโยชน์
“นี่คือหลักการสำคัญของการปฏิรูประบบวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ คือการแยกบทบาทให้ชัดเจนระหว่างการกำหนดนโยบาย การทำแผน จัดสรรงบประมาณ การให้ทุน และการทำวิจัย เพื่อให้ทั้งระบบเดินไปข้างหน้าอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ” ผู้อำนวยการ สอวช. กล่าวและว่า ก่อนการปฏิรูประบบวิจัย ประเทศไทยมีแหล่งให้ทุนวิจัยหลักเพียงไม่กี่หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ทั้ง 2 หน่วยงานนี้ ทำหน้าที่ให้ทุนวิจัยโดยตรงเป็นหลัก ขณะที่บางหน่วยงาน เช่น สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแหล่งชาติ (สวทช.) ก็มีบทบาทให้ทุนด้วยเช่นกัน
.jpg)
“แต่หลักการสำคัญของการปฏิรูประบบวิจัยคือ ใครมีหน้าที่ไหน ต้องทำหน้าที่นั้นอย่างเดียว ไม่ทับซ้อนกัน จึงมีการปรับบทบาทครั้งใหญ่ โดย วช. เปลี่ยนบทบาทมาเป็น หน่วยบริหารจัดการทุน ทำหน้าที่ให้ทุนอย่างเดียว ส่วน สกว. ถูกเปลี่ยนบทบาทเป็น สกสว. ซึ่งเปลี่ยนจากผู้ให้ทุน มาเป็นผู้จัดทำแผนและจัดสรรงบประมาณระดับประเทศแทนการให้ทุน เช่นเดียวกับ สวทช. ก็ถูกยุติบทบาทการให้ทุนเช่นกัน จึงเกิดคำถามว่า แล้วหน่วยงานไหนจะทำหน้าที่ให้ทุนแทนหน่วยงานที่ถูกปรับบทบาท นี่คือที่มาของการจัดตั้ง หน่วยบริหารจัดการทุน ทั้ง 3 แห่ง เพื่อสานงานเดิมให้เดินหน้าต่ออย่างไม่สะดุด” ดร.สุรชัย กล่าว
ประเด็นนี้ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางจากประชาคมวิจัย เนื่องจากเป็นการรวม 3 หน่วยบริหารจัดการทุน ซึ่งมีงบประมาณรวมปีละกว่า 5,000–6,000 ล้านบาท มาอยู่ภายใต้หน่วยงานเดียว เพื่อให้เกิดเอกภาพในการบริหารจัดการทุน และลดปัญหางานวิจัยส่งต่อไม่ถึงปลายน้ำ เนื่องจากก่อนหน้านี้เป็นหน่วยงานแยกกัน
“มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าเป็นการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ แต่ความจริงคือการ ‘รวม 3 เป็น 1’ เพื่อลดความซ้ำซ้อน และทำให้การให้ทุนวิจัยรองรับกันเป็นห่วงโซ่เดียว ตั้งแต่งานต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ ทำให้งานวิจัยไปถึงการใช้ประโยชน์ได้จริงมากขึ้น” ดร.สุรชัย กล่าว ซึ่งการรวมหน่วยบริหารจัดการทุนเข้าด้วยกัน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการให้ทุน สร้างความเป็นเอกภาพในการกำหนดทิศทางการวิจัย และยังช่วยแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเรื่องสถานะบุคลากร ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่หน่วยบริหารจัดการทุน ต้องปฏิบัติงานโดยไม่มีสถานะเป็นนิติบุคคล อัตรากำลังไม่สามารถขอเพิ่มได้ แต่ รวพ. จะทำให้บุคลากรทุกคนมีสถานะที่ชัดเจนขึ้น และมีเส้นทางพัฒนาอาชีพที่มั่นคง
.jpg)
ทั้งนี้ รวพ. จะประกอบด้วย 4 งานหลัก โดยหน่วยบริหารจัดการทุนเดิม 3 หน่วย ได้แก่ บพท., บพค. และ บพข. จะทำงานต่อเนื่องตามแผน ววน. ปี 2565–2570 และจะมีอีก 1 งานใหม่ที่เพิ่มเข้ามา เพื่อตอบโจทย์ภารกิจ ด้านศิลปกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีที่เหมาะสม เติมเต็มช่องว่างงานวิจัยด้านคุณค่าทางวัฒนธรรมและสังคม ซึ่งมีความสำคัญต่อ soft power และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศ ทั้งนี้ หลังการประกาศจัดตั้ง รวพ. แล้ว คณะกรรมการอำนวยการ สอวช. (กอวช.) จะทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการกำกับชั่วคราว เช่นเดียวกับ ผู้อำนวยการ สอวช. ก็ต้องทำหน้าที่ รักษาการผู้อำนวยการ รวพ. ชั่วคราว จนกว่าจะสรรหาผู้อำนวยการ รวพ. ให้แล้วเสร็จภายใน 240 วัน
ดร.สุรชัย ย้ำว่า ชื่อ รวพ. บ่งบอกเจตนารมณ์ชัดเจน คือ เร่งรัดให้ทุนวิจัยไปเกิดผลจริงให้เร็วที่สุด ตรงจุด ตรงเป้าของประเทศ โดยได้สื่อสารอย่างชัดเจนว่านักวิจัยยังสามารถยื่นขอทุนจากบพท., บพค. และ บพข. ได้เหมือนเดิมทุกประการ โดยจะมีระบบสนับสนุนที่มีเอกภาพและเชื่อมต่อกันมากขึ้น
“การขับเคลื่อนครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของระบบวิจัยและนวัตกรรมของไทย ทั้งในเชิงประสิทธิภาพการบริหารจัดการทุน และในมิติการสนับสนุนเส้นทางอาชีพของบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยให้ระบบวิจัยและนวัตกรรมตอบโจทย์ประเทศได้ดีขึ้น” ผู้อำนวยการ สอวช. กล่าวทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี