วันอังคาร ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ศาลอาญาสั่งจำคุก"อัจฉริยะ" 1 ปี คดีหมิ่น"รองอธิบดีกรมปศุสัตว์" โทษจำรอ 2 ปี ส่วนอีก 2 คดียกฟ้อง
เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2568 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีดำ อ.1983/2566 ที่ พล.ต.ต.วัชรินทร์ พูสิทธิ์ ผบก.ปทส.เป็นโจทก์ฟ้อง นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมฯ เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาท , แจ้งความเท็จฯ
โจทก์ฟ้องสรุปความว่า เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2566 จำเลยได้เดินทางไปที่กองบังคับการกองปราบปรามกองบัญชาการสอบสวนกลาง (บก.ป.บช.ก.) โดยมีการจัดแถลงข่าวต่อหน้าสื่อมวลชนและไลฟ์สดออกอากาศผ่านแอพพลิเคชั่นยูทูป ใช้ชื่อคลิปว่า "?อัจฉริยะร้องสอบผู้การทางหลวงหักหัวคิวลูกน้อง?" โดยในคำพูดที่จำเลยแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนนั้นมีข้อความที่เป็นการใส่ความ หมิ่นประมาทโจทก์โดยการโฆษณา จากนั้นจำเลยได้ยื่นหนังสือร้องเรียนและร้องทุกข์กล่าวโทษต่อผู้บังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา ทั้งที่จำเลยรู้หรือควรจะรู้อยู่แล้วว่ามิได้มีการกระทำความผิดอาญาเกิดขึ้น ดำเนินคดีโจทก์กับพวกในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการสั่งไม่ฟ้องผู้บริหารเหมืองทองอัครา จำนวน 15 คดี อันเป็น การกระทำของจำเลยเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้โจทก์ได้รับโทษทางอาญา และการใส่ความโจทก์ นอกจากจะได้รับความอับอายถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชังจากประชาชนทั่วไปแล้วยังทำให้โจทก์ถูกผู้บังคับบัญชาไม่ไว้วางใจ ขอเรียกร้องค่าเสียหาย 10 ล้านบาท ขอให้ลงโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172, 173, 174, 326, 328 ประกอบมาตรา 90, 91, 92 จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การแถลงข่าวของจำเลยนั้นเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะและข้อความที่จำเลยยื่นร้องเรียน ไม่เป็นความเท็จ พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาไม่อาจรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัย จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 227 วรรคแรก พิพากษายกฟ้อง
ต่อมาศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ.33/2567 ที่ นายบุญญกฤช ปิ่นประสงค์ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ เป็นโจทก์ฟ้อง นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมฯ เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทฯ
โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2566 เวลากลางวัน จําเลยโดยทุจริตได้บังอาจ กระทําความผิด ได้บังอาจใส่ความโจทก์ โดยประการที่น่าจะทํา ให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง โดยจําเลยได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนและนักข่าวจํานวนมาก ที่บริเวณกองบังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปทส.) ใส่ความโจทก์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ โดยระบุชื่อจริงของโจทก์ ใช้อํานาจหน้าที่ในตําแหน่งของโจทก์โดยมิชอบ กล่าวหาว่าโจทก์อนุญาตให้หน่วยงานเอกชนดําเนินการนําเนื้อวัวที่หมดอายุแล้วจากประเทศอุรุกวัย อิตาลี และเยอรมันนี จํานวน 3 ตู้คอนเทนเนอร์ น้ำหนักรวม 75 ถึง 80 ตัน เข้ามาในราชอาณาจักรไทย โดยผ่านทางท่าเรือแหลมฉบัง และท่าเรือกรุงเทพฯ เพื่อให้หน่วยงาน
เอกชนนําไปจําหน่ายให้ประชาชนบริโภค จําเลยแจ้งความร้องทุข์กล่าวโทษพนักงานสอบสวนกองบังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปท.) ให้ดําเนินคดีกับโจทก์ ซึ่งข้อความที่จําเลยใส่ความโจทก์ดังกล่าวนั้นล้วนเป็นความเท็จทั้งสิ้น เนื่องจากความจริงแล้ว ในช่วงเวลาปี 2563 ถึงปี 2564 ในขณะที่โจทก์ดํารงตําแหน่งผู้อํานวยการสํานักควบคุม ป้องกัน และบําบัดโรคสัตว์ โจทก์ไม่มีอํานาจหน้าที่และความรับผิดชอบในตําแหน่งตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการอนุญาต หรือไม่อนุญาตให้หน่วยงานเอกชนนําเข้าเนื้อวัวจากต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อมาจําหน่ายให้ประชาชนบริโภคแต่อย่างใด การกระทําดังกล่าวของจําเลยเป็นการกระทําโดยประการที่ทําให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง จากประชาชนทั่วไป ผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชา และเพื่อนร่วมงาน ขอให้จําเลยชดใช้ค่าเสียหายให้กับโจทก์เป็นเงิน 5 ล้านบาท ขอให้ลงโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา (ฉบับที่ 11) จำเลยปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่จำเลยแถลงข่าวและเปิดเอกสารโดยมีการชี้ชื่อบุคคลภายในเอกสาร ย่อมหมายถึงโจทก์ โดยการนำเข้า การออกใบอนุญาตเป็นหน้าที่กองสารวัตร และกักกัน ฟังได้ว่าสำนักควบคุมไม่มีอำนาจในการออกใบอนุญาตในการเคลื่อนย้ายเนื้อวัว และไม่ปรากฏว่าโจทก์ออกใบสั่งการดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการย้ายเนื้อวัวหมดอายุ ที่จำเลยแถลงข่าวเป็นถ้อยคำที่ขัดต่อความจริง แม้เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะก็ตาม แต่การแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนต้องไม่เป็นการดูหมิ่น ดูแคลนโจทก์ การกระทำของจำเลยไม่ได้รับการยกเว้นตามมาตรา 329 จึงเป็นการกระทำผิดตามฟ้อง
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326, 328 ลงโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 1 แสนบาท จำเลยไม่เคยรับโทษมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษเป็นเวลา 2 ปี และให้ชดใช้ค่าสินไหมแก่โจทก์ 5 แสนบาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2566
ต่อมา ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีดำ อ.1631/2567 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ และ พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม โจทก์ร่วม ยื่นฟ้อง นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมฯ เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทฯ
จากกรณีที่ พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 (ผบก.สส.ภ.1) ขณะนั้นเป็นรองหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีการเสียชีวิตของ น.ส.ภัทรธิดา หรือ แตงโม อดีตนักแสดงชื่อดัง ยื่นฟ้องนายอัจฉริยะ ที่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหลายครั้ง และจัดแถลงข่าวกล่าวหาในทำนองว่า คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนบิดเบือนพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงในคดีการเสียชีวิตของแตงโม จำเลยปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า กรณีช่วงเกิดเหตุที่ น.ส.ภัทรธิดา หรือ แตงโม ตกจากเรือ โจทก์เป็นรองหัวหน้าคณะทำงานสืบสวนสอบสวนในคดีดังกล่าว ส่วนจำเลยเป็นประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้เข้ามาตรวจสอบและวิพากษ์วิจารณ์คดี รวมถึงให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนหลายครั้ง โดยมีเนื้อหาลักษณะว่าคณะพนักงานสอบสวนได้ทำพยานหลักฐานเท็จ บิดเบือนข้อเท็จจริงและเรียกรับสินบนเพื่อช่วยผู้ต้องหาในคดี การที่จำเลยไม่ได้พูดชื่อจริงของโจทก์ออกมาตามตรง แต่พูดถึงตำแหน่งและตัวย่อของชื่อเล่น ซึ่งในคณะทำงานหรือองค์กรตำรวจก็มีโจทก์แต่เพียงผู้เดียว ถ้อยคำของจำเลยจึงทำให้เข้าใจได้ว่าโจทก์รวมอยู่ในกลุ่มคณะพนักงานสอบสวนที่มีการช่วยเหลือบิดเบือนการทำคดี
อย่างไรก็ตาม จำเลยได้รับข้อมูลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ไม่มีส่วนในคดีถึงเรื่องรอยบาดแผลบนขาของแตงโมที่ไม่ใช้การเกิดจากใบพัดเรือ รวมถึงตั้งข้อสงสัยเรื่องการเก็บหลักฐานในคดีหลายๆ อย่าง เช่น การเก็บเรือลำที่เกิดเหตุในอู่ของเอกชนแทนของราชการ การเก็บเส้นผม ลายนิ้วมือ ฯลฯ จำเลยจึงคิดว่าการสืบสวนอาจมิชอบ
จากนั้นจำเลยได้นำเรื่องคดีดังกล่าวเข้าไปร้องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ รับพิจารณาเป็นคดี โดยภายหลังกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ออกมาระบุว่าคดีดังกล่าวมีแนวโน้มที่ถูกบิดเบือนหลักฐาน ดังนั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต พิพากษายกฟ้อง
ภายหลัง นายอัจฉริยะ เปิดเผยว่า วันนี้ศาลพิพากษายกฟ้อง 2 คดี ของทั้ง พล.ต.ต.วัชรินทร์ พูสิทธิ์ เนื่องจากศาลมองว่าการแถลงข่าวในครั้งนั้นเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ และอีกคดีของตน และ พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม ศาลก็พิพากษายกฟ้องเช่นเดียวกัน เนื่องจากเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต แต่ในส่วนคดีของตนกับรองอธิบดีกรมปศุสัตว์ ที่ศาลพิพากษาจำคุก 1 ปี ให้รอลงอาญา 2 ปี พร้อมทั้งชำระค่าเสียหายทางแพ่ง 5 แสนบาท ตนน้อมรับคำพิพากษาของศาล แต่อาจจะใช้สิทธิ์อุทธรณ์ ทั้งนี้ ตนขอขอบคุณไปยังศาลที่ให้ความยุติธรรมกับตนเองมาโดยตลอด หลังจากนี้ให้เป็นไปตามกระบวนการต่อสู้ ตนไม่ได้วิตกกังวลอะไรอยู่แล้ว
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี