วันจันทร์ ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ย้อนไปเมื่อเดือน เม.ย. 2568 สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) และภาคีเครือข่ายอีกหลายองค์กร จัดงานแถลงข่าว “ปราจีนยืนหนึ่ง ถนนปลอดภัย อุ่นใจด้วยการประกันภัย” ภายใต้ “โครงการสร้างพื้นที่ต้นแบบด้านความปลอดภัยทางถนน และการรณรงค์ประกันภัยรถภาคบังคับ ปี 2568” ซึ่งในเวลานั้น “ทีมงาน นสพ.แนวหน้า” ได้นำเสนอข่าวมาแล้วครั้งหนึ่ง (สกู๊ปแนวหน้า : ลดความสูญเสียบนถนน เป้าที่ท้าทายของ‘ปราจีนบุรี’ , หน้า 5 ฉบับวันเสาร์ที่ 26 เม.ย. 2568)
สืบเนื่องจาก จ.ปราจีนบุรี เป็นอีกหนึ่งเส้นทางเชื่อมสำคัญระหว่างภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) กับภาคตะวันออก ที่เป็นทั้งแหล่งอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว อีกทั้งใน จ.ปราจีนบุรี เองยังเป็นที่ตั้งของ “นิคมอุตสาหกรรม 304” หรือสวนอุตสาหกรรม 304 ตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.ศรีมหาโพธิ ปริมาณการสัญจรผ่านไป – มาจึงค่อนข้างหนาแน่น โดยเฉพาะ “ภาคการขนส่ง” ทั้งส่งสินค้าและส่งผู้โดยสาร ทำให้ “ความปลอดภัยทางถนน” เป็นประเด็นที่ทางจังหวัดให้ความสำคัญ
ล่าสุดเมื่อช่วงปลายเดือน พ.ย. 2568 ที่ผ่านมา คณะทำงานโครงการดังกล่าวได้จัดแถลงข่าว “ปราจีนยืนหนึ่ง สรุป และต่อยอดถนนปลอดภัย” โดย สุเมธ องกิตติกุล ผู้อำนวยการวิจัยด้านนโยบายการขนส่งและโลจิสติกส์ TDRI ฉายภาพสถานการณ์เสี่ยงใน จ.ปราจีนบุรี ว่า หลังสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 คลี่คลาย ผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยในปี 2567 มีผู้เสียชีวิตเกินกว่าเป้าที่ตั้งไว้ถึงร้อยละ 19
“อุบัติเหตุหลักๆ ถ้าเราวิเคราะห์ก็จะพบว่าในปราจีนบุรี อำเภอที่มีเหตุค่อนข้างมากอยู่ 4 อำเภอหลัก ก็คือ อ.เมือง อ.ศรีมหาโพธิ อ.กบินทร์บุรี และ อ.นาดี ซึ่งถ้าเรามาเชื่อมโยงกับข้อมูลด้านการประกันภัย เราก็จะพบว่าอุบัติเหตุส่วนใหญ่ผู้เสียชีวิตที่มีมากกว่า 39% ไม่มีประกันภัย ซึ่งตรงนี้ก็เป็นภาระที่คิดว่าเราคงต้องมีการดำเนินงานมาตรการต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหากลุ่มเสี่ยง รถจักรยานยนต์ และกลุ่มเสี่ยงรถเชิงพาณิชย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันให้ได้” ผอ.วิจัยด้านนโยบายการขนส่งและโลจิสติกส์ TDRI ระบุ
เมื่อวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย 1.เยาวชนผู้ใช้จักรยานยนต์ โดยมากเป็นระดับมัธยมและอาชีวศึกษา (อายุ 15 – 19 ปี) พบว่าน้อยคนที่จะมีใบขับขี่และทำประกันภัย 2.กลุ่มแรงงานในนิคมอุตสาหกรรม โดยเฉพาะบริเวณใกล้กับสวนอุตสาหกรรม 304 (นิคม 304) มีจุดที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งและมีผู้เสียชีวิตค่อนข้างมาก และ 3.กลุ่มผู้ประกอบการขนส่ง เพราะ จ.ปราจีนบุรี เป็นทางผ่านเชื่อมต่อระหว่างเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) กับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
การดำเนินการเบื้องต้น เช่น “สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย” มีทั้งการประชาสัมพันธ์ผ่าน Spot Radio (สถานีวิทยุกระจายเสียง) เผยแพร่เสียงประชาสัมพันธ์ครอบคลุม 3 อำเภอ เน้นพื้นที่หนาแน่นและมีการสัญจรสูง เช่น สถานศึกษา สวนอุตสาหกรรม 304 และตลาด 304 พลาซ่า การจัดรถแห่ประชาสัมพันธ์วิ่งประชาสัมพันธ์ใน อ.เมืองปราจีนบุรี และศรีมหาโพธิ สัปดาห์ละ 2 วัน (อาทิตย์-จันทร์) เวลา 08.00-16.00 น. สื่อสารตรงถึงประชาชน และผู้ใช้รถใช้ถนน
จัดกิจกรรม Road Safety Week (RSW) ในสถานศึกษา 5 แห่ง 3 อำเภอ อบรมเชิงปฏิบัติการตามฐาน ประกอบด้วย (1) ไขรหัส พ.ร.บ. (2) Blind Spot (3) หมวกนิรภัย (4) บูธประกันภัย และ (5) วงเสวนา มีการจัดกิจกรรม Road Safety Day โรงงานขับขี่ปลอดภัยกับสวนฯ 304 อบรมเชิงปฏิบัติการ (1) กิจกรรมวงเสวนา จากวิทยากร ผู้เชี่ยวชาญ และ (2) Workshop สร้างสรรค์แคมเปญกิจกรรมใน โรงงาน ผ่านกรณี Road Safety และประกันภัย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน
ประกอบด้วย เทศบาลเมืองปราจีนบุรี ที่ว่าการอำเภอศรีมหาโพธิ สํานักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดปราจีนบุรี และสถานศึกษาเป้าหมาย 5 แห่ง สวนอุตสาหกรรม 304 สวนอุตสาหกรรมโรจนะ และตลาด 304 พลาซ่า ผลที่พบคือ 1.การจดจําและเข้าใจ ผู้เข้าร่วมใน 3 อำเภอ (5 สถานศึกษา และ 1 สวนอุตสาหกรรม) สามารถจดจําข้อความและ เข้าใจเนื้อหาสื่อประชาสัมพันธ์ได้เป็นอย่างดี
2.การตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ผู้เข้าร่วมรับทราบสื่อและพร้อมเปลี่ยนแปลง พฤติกรรม มีการประเมินเห็นผลการเปลี่ยนแปลงจริงในสถานศึกษา และ 3.การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กิจกรรม Road Safety Week และ Road Safety Day สร้างการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้เข้าร่วมและผู้เชี่ยวชาญ ได้ความรู้ ความตระหนัก และความสนุก ขณะที่เมื่อเจาะเป็นกลุ่มเป้าหมาย “กลุ่มนักเรียน - นักศึกษา” ร้อยละ 95 ผ่านเกณฑ์ประเมินความรู้ ด้านความปลอดภัยใน การเดินทางและประกันภัย พ.ร.บ.
มีการสวมหมวกนิรภัย เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 และมีความตั้งใจจะเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมการหมวกนิรภัยในอนาคตเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 อีกทั้งการทํา พ.ร.บ. ใน 5 สถานศึกษาเพิ่มขึ้น มีผู้ทำ พ.ร.บ. เพิ่มทั้งหมดร้อยละ 39 ซึ่งจริงๆ แล้วราคาประกันภัยภาคบังคับก็ไม่แพง แต่ที่ไม่ทำก็เพราะอาจขาดความตระหนักรู้ ส่วน “กลุ่มคนวัยทำงาน” พนักงานในสถานประกอบการมีความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน วางแผนที่จะถ่ายทอดความรู้ผ่านการ บอกต่อ สื่อสาร และประชาสัมพันธ์ พนักงานในสถานประกอบการที่รับสื่อโครงการฯ จดจําข้อความได้ ทําให้แนวโน้มการเปลี่ยน พฤติกรรมการขับขี่ดีขึ้น สวมหมวกนิรภัยขณะขับขี่ ไม่ใช้ความเร็วเกินกำหนดในเขตชุมชน
ส่วน “มาตรการในอนาคต” ที่คณะทำงานอยากส่งต่อให้ผู้เกี่ยวข้องดำเนินการในปี 2569 – 2570 อาทิ 1.สนับสนุนการทำใบขับขี่ในกลุ่มนักเรียน – นักศึกษา เนื่องจากพบว่า เยาวชนอายุ 15 – 19 ปีที่เกิดอุบัติเหตุ ร้อยละ 90 ไม่มีใบขับขี่ 2.ชะลอความเร็วในจุดเสี่ยง โดยเฉพาะบริเวณ “ศาลเจ้าพ่อปู่โทน” บนถนน 304 ฝั่งขาล่อง เนื่องจากพบว่า ร้อยละ 82 ของรถบัสและรถบรรทุกมักเกิดอุบัติเหตุที่จุดนี้ , ถนน 304 บริเวณ “หน้านิคมฯ กบินทร์บุรี” ที่มีการตัดการจราจรค่อนข้างสูง , “ถนนปราจีนอนุสรณ์” อ.เมือง จุดที่ผ่านหน้าสถานศึกษา มักเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง
สำหรับข้อเสนอเชิงนโยบายและแผนใน 2 ปีถัดไป 1.บูรณาการเข้ากับแผนจังหวัด เสนอให้จังหวัดปราจีนบุรีบรรจุโครงการฯ เข้ากับนโยบายและ ยุทธศาสตร์ความปลอดภัยทางถนนระดับจังหวัดอย่างเป็นทางการหรือผ่านศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) และ คณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) จังหวัดปราจีนบุรี 2.สร้างเครือข่ายความร่วมมือรัฐ-เอกชน ภาคธุรกิจประกันภัยเดินหน้ากิจกรรม CSR ด้านความปลอดภัย ทางถนนในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง โดยมี คปภ. เป็นผู้ประสานระหว่าง ธุรกิจประกันภัยและจังหวัด
3.ใช้กลไกกองทุนทดแทนผู้ประสบภัยจากรถสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุ เสนอให้ปรับหลักเกณฑ์การใช้เงินกองทุนทดแทนฯ เพื่อสามารถสนับสนุนมาตรการป้องกันอุบัติเหตุได้มากขึ้น และ 4.พัฒนาระบบข้อมูลและนวัตกรรมเพื่อร่วมกันแก้ปัญหา สนับสนุนการบูรณาการฐานข้อมูลอุบัติเหตุ ข้อมูลกรมธรรม์ และข้อมูลเคลมประกันภัยเข้าด้วยกัน เพื่อประโยชน์ต่อการ วิเคราะห์แก้ไขปัญหาที่ตรงจุดและแม่นยำ
“ถ้าทำเสร็จตามแผนที่เราคาดการณ์ไว้ ในปี 2569 และ 2570 เราคาดว่าจะลดผู้เสียชีวิตได้ตลอด 3 ปีของโครงการอย่างน้อยประมาณ 126 คน ซึ่งก็จะทำให้บรรลุเป้าหมายได้ การบาดเจ็บควรต้องลดลง และแน่นอนมูลค่าความสูญเสียตลอด 3 ปีน่าจะลดได้หลักหลายร้อยล้านบาท เพราะชีวิตหนึ่งทาง TDRI เคยประเมินไว้ 1 ชีวิตมูลค่าต้องไม่น้อยกว่า 7 – 8 ล้านบาท ฉะนั้นนี่คือผลที่เราคาดหวัง” สุเมธ กล่าว
เสียงสะท้อนจากคนทำงานในพื้นที่และผู้สนับสนุน ธนพล จรัลวณิชวงศ์ หัวหน้าสำนักงานจังหวัดปราจีนบุรี กล่าวว่า หลังได้รับทราบข้อมุลและดำเนินการแก้ไขจุดเสี่ยงต่างๆ พบสถิติการเกิดอุบัติเหตุลดลง ทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือและพร้อมขับเคลื่อนการเป็นจังหวัดต้นแบบ โดยมีตัวชี้วัด 4 ด้าน 1.พฤติกรรม อัตราการสวมหมวกนิรภัยเพิ่มขึ้น ขับขี่ชะลอความเร็วในเขตชุมชน 2.ผลลัพธ์ในภาพรวมของโครงการ อัตราการเกิดอุบัติเหตุลดลง อัตราการเสียชีวิตและบาดเจ็บจากอุบัติเหตุลดลง พื้นที่เสี่ยงได้รับการปรับปรุงแก้ไขทางกายภาพ
“เรื่องที่ 3 เกี่ยวกับการบูรณาการการทำงานร่วมกัน ที่ผ่านมาโครงการนี้ก็เกิดการกระตุ้นทำให้เกิดการทำงานร่วมกันมากขึ้นในทุกภาคส่วนของจังหวัด ทั้งส่วนกลางแล้วก็จังหวัดเอง แล้วก็อำเภอและท้องถิ่น ซึ่งก็เป็นการประสานการทำงานใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้นเพื่อที่จะร่วมสร้างถนนที่ปลอดภัย มีการนำฐานข้อมูลต่างๆ ที่มีมาบูรณาการแล้วก็มาวิเคราะห์ร่วมกันว่าเราจะแก้ปัญหาอย่างไร แล้วก็ในประเด็นสุดท้ายก็จะเป็นเรื่องของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ทุกคนก็ตระหนักถึงความสำคัญของการลดปัญหาอุบัติเหตุ และมองว่าการทำ พ.ร.บ.ภาคบังคับเป็นเรื่องปกติ” ธนพล กล่าว
เอกชัย ศรีสุยิ่ง รองผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคปราจีนบุรี เปิดเผยว่า จากจำนวนนักศึกษา 3,500 คน ใช้จักรยานยนต์ถึงร้อยละ 30 หรือราว 1,000 คัน ซึ่งทางวิทยาลัยฯ และภาคีเครือข่ายส่งเสริมเรื่องการสวมหมวกนิรภัย และมีผลตอบรับที่ดีขึ้นจากนักศึกษา ส่วนเรื่องการทำใบขับขี่ จุดนี้มีข้อจำกัดเรื่องอายุเนื่องจากบางส่วนยังอายุไม่ถึง 15 ปี ในอนาคตอาจต้องหาแนวทางดูแลกลุ่มนี้เป็นพิเศษ ส่วนเรื่องการชะลอความเร็ว ต้องหารือกับเครือข่ายเพราะเป็นสภาพแวดล้อมภายนอก และการทำ พ.ร.บ. จะเน้นเรื่องการประชาสัมพันธ์เพิ่มขึ้น
“ในเบื้องต้นที่เราดำเนินการอยู่ก็จะมีคุณครูที่ Standby (เตรียมพร้อม) ในการสังเกตพฤติกรรม ในการตรวจคัดกรองทุกประเภท อาจไม่ใช่แค่หมวกกันน็อกอย่างเดียว รวมทั้งสิ่งที่เรามองว่ามันจะมีผลต่อเรื่องของความปลอดภัยของนักเรียน - นักศึกษาด้วย ตรงนี้ก็ให้ความสำคัญ ในอนาคตแน่นอนอาจมองว่าระบบเทคโนโลยีอาจต้องมีส่วนเข้ามาดำเนินการ เช่น กล้องตรวจจับการสวมหมวก การเปิดไม้กั้นเพื่อเข้าจอดรถได้ ตรงนี้อาจมีเพิ่มเติม” รอง ผอ.วิทยาลัยเทคนิคปราจีนบุรี กล่าว
พงษ์ศักดิ์ ชีวรัตนพงษ์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ คปภ. กล่าวว่า เมื่อมีการสูญเสีย หากมีประกันย่อมได้รับการคุ้มครอง แต่มองให้ยั่งยืนกว่านั้นคือหากไม่สูญเสียก็ไม่ต้องมาใช้ประกัน เพราะประกันคือทางสุดท้ายที่เมื่อเกิดแล้วยังได้รับการเยียวยา ซึ่งการลงพื้นที่ จ.ปราจีนบุรี ต้องขอบคุณผู้ว่าราชการจังหวัดที่เห็นความสำคัญ นับตั้งแต่การแถลงข่าวเมื่อเดือน เม.ย. 2568 ก็ทำงานร่วมกันมาตลอด ขณะเดียวกันก็ใช้วิธีการสื่อสารแบบสองทาง (Two-way) เพื่อให้เกิดแรงกระเพื่อม
“กิจกรรมที่ TDRI ออกแบบให้เรานั้นเป็นกิจกรรมที่เป็นลักษณะของการสิ่อสารปฏิสัมพันธ์ การลงไปทำกิจกรรมเราไม่ได้บอกท่านต้องสวมหมวกกันน็อก เราไมได้บอกว่าท่านต้องซื้อประกัน พ.ร.บ. แต่เราบอกก่อนว่าถ้าวันนี้ท่านมีหมวกกันน็อกแล้วท่านเกิดอุบัติเหตุ การบาดเจ็บท่านก็จะลดน้อยถอยลงไป หรือวันนี้ท่านประสบอุบัติเหตุแล้วท่านมีประกัน ท่านก็จะได้รับการเยียวยาความคุ้มครองเ เราไปสร้างความเข้าใจแล้วให้เขาเข้าภึงสภาพปัญหาที่แท้จริง เราถึงมาแก้ปัญหาให้ตรงจุดแล้วเกิดความยั่งยืน” พงษ์ศักดิ์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี