กว่า 10 ปีที่ผ่านมา กับ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 กฎหมายฉบับนี้ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมไทยทั้งการควบคุม และลดผลกระทบด้านสังคมเศรษฐกิจ ตลอดจนช่วยป้องกันเด็ก และเยาวชนไทยให้ห่างไกล รู้เท่าทันสื่อ พร้อมทั้งตระหนักถึงพิษภัยของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้น
แต่ถึงวันนี้ภารกิจยังคงไม่สิ้นสุด เส้นทางการทำงานยังอีกยาวไกล เครือข่ายภาคประชาชนยังคงต้องรณรงค์ และสร้างความเข้าใจพร้อมชี้ให้เห็นโทษภัยของแอลกอฮอล์มากขึ้น
เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ เครือข่ายเฝ้าระวังธุรกิจสุรา เครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ ได้จัดเวทีเสวนา “10 ปีพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อสังคมไทย” ซึ่งเป็นการเปิดพื้นที่ระดมความคิดเห็น ทบทวนการทำงานที่ผ่านมา และประสิทธิผลของการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และลดผลกระทบที่เกิดจากการดื่มสุรา ตลอดจนทบทวน พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 โดยมีภาคีเครือข่ายจากทั่วประเทศเข้าร่วม
แลกเปลี่ยนกว่า 150 คน
ดร.นพ.บัณฑิต ศรไพศาล รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวถึง ผลสำรวจจากข้อมูลศูนย์วิจัยปัญหาสุรา เพื่อประมวลผล พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ซึ่งสำรวจใน ปี พ.ศ.2551 ว่า ในปีแรกเน้นให้ประชาชนรับรู้กฎหมาย และขอความร่วมมือ จากร้านค้า บริษัท เมื่อเกิดความร่วมมือขึ้นแล้วเป้าหมายต่อไป คือทำให้โฆษณา และการเข้าถึงสุราลดลง และนำไปสู่การบังคับใช้ ซึ่งหลักๆ มี 4 มาตรา ประกอบด้วย
- มาตรา 27 การห้ามจำหน่ายในสถานที่สาธารณะตามกำหนด เช่น วัด ปั๊มน้ำมัน เป็นต้น โดยผลสำรวจในปี 2551 พบว่า ประชาชนไม่ซื้อในสถานที่ห้ามจำหน่าย 79% และในปี 2561 ไม่ซื้อ
ในสถานที่ห้ามจำหน่ายเพิ่มขึ้นเป็น 96% นั่นหมายความว่าประชาชนให้ความร่วมมือในการงดซื้อเพิ่มขึ้น 22%
- มาตรา 29 ห้ามจำหน่ายแก่เด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี พบว่าในปี 2551 มีเยาวชนที่ไม่ได้ซื้อสุรา 57% และในปี2561 เยาวชนไม่ซื้อสุราเพิ่มขึ้นเป็น 73% เห็นได้ว่าเยาวชนร่วมมือที่จะไม่ซื้อเพิ่มขึ้น 28%
- ส่วนมาตรา 30 ห้ามส่งเสริม ลด แลกแจก แถม โดยในปี 2551 มี 23% และในปี 2561ลดลงเหลือ 13% ซึ่งดีขึ้น 43% ถือว่ามาตรการนี้ภาคธุรกิจยังให้ความร่วมมือดี
- มาตรการ 32 การควบคุมโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเรื่องนี้มีแนวโน้มที่น่าเป็นห่วง โดยในปี 2551 มีประชาชนที่พบเห็นโฆษณาแอลกอฮอล์ 53% และลดลงในปี 2553 เหลือ 36% แต่ในปี 2561 เพิ่มขึ้นเป็น 39% โดยรวมเพิ่มขึ้น 11% และสำรวจลึกลงไปถึงสื่อที่มีอิทธิพลมากที่สุดในขณะนี้ คือ สื่ออินเตอร์เนต โดยถ้านับจากปี 2551 มีประชาชนพบเห็นโฆษณาแอลกอฮอล์ 3.8% แต่ในปี 2561 เพิ่มขึ้นเป็น 8.9% นั่นหมายความว่าสื่ออินเตอร์เนตเป็นสาเหตุทำให้ประชาชนพบเห็นโฆษณาแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น ซึ่งตัวเลขนี้น่าเป็นห่วงอย่างมาก
ในด้านการสำรวจ การตัดสินใจไปซื้อแอลกอฮอล์ โดยใช้เวลาต่ำกว่า 5 นาที เป็นเกณฑ์ เห็นได้ว่าการตัดสินใจไปซื้อภายใน 5 นาที ในปี 2551 มี 68% และในปี 2561 ลดลงเหลือ 63%
สรุปได้ว่า ประชาชนตัดสินใจซื้อแอลกอฮอล์น้อยลง 7-8% สุดท้าย คือ เรื่องทัศนคติโดยรวมที่เกิดจากการบังคับใช้กฎหมาย และการรณรงค์ ซึ่งในปี 2551 เห็นว่า แอลกอฮอล์มีโทษ 75%
และในปี 2561 เพิ่มขึ้นเป็น 95% สรุปได้ว่า ประชาชนเห็นโทษของแอลกอฮอล์มากกว่าประโยชน์ เพิ่มขึ้น 27%
และความจำเป็นในการบังคับใช้กฎหมายในปี 2551 ประชาชนเห็นว่ามีความจำเป็นที่ต้องบังคับใช้กฎหมาย 78% และในปี 2561 ลดลงเหลือ76% ดังนั้นจึงสะท้อนให้เห็นว่านอกจากการรณรงค์ให้เห็นโทษภัยของแอลกอฮอล์แล้วยังต้องให้เห็นประโยชน์ของมาตรการควบคุมแอลกอฮอล์มากขึ้นด้วย
“ผลสรุปจากการสำรวจ และโอกาสในการพัฒนาต่อไปภายใต้ พ.ร.บ.การควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ที่ครบ 10 ปี ในวันที่ 14กุมภาพันธ์ พ.ศ.2561 ที่ผ่านมา โดยรวมแล้วประชาชนให้ความร่วมมือไม่กระทำผิดกฎหมายในด้านสถานที่ และด้านอายุพร้อมทั้งเห็นโทษภัยของสุรามากขึ้น ในส่วนร้านค้าผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่ให้ความร่วมมือที่จะไม่ส่งเสริมการขายและไม่จำหน่ายในสถานที่ห้ามจำหน่ายเพิ่มขึ้นยกเว้นตามหอพักที่ยังไม่ร่วมมือเท่าที่ควร ส่วนเรื่องโฆษณาตามสื่อต่างๆ ยังมีมากอยู่ ดังนั้น สิ่งที่ สสส.จะผลักดันต่อไปคือ การรณรงค์และเน้นไปที่ หอพัก อายุ และการโฆษณา เพื่อลดจำนวนการดื่มสุราให้ลดลงและช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุจากการดื่มสุราได้มากขึ้น” ดร.นพ.บัณฑิต กล่าวทิ้งท้าย
ด้านดร.บุญอยู่ ขอพรประเสริฐ อาจารย์นิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกริกกล่าวถึงมุมมองเกี่ยวกับการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทยว่า ในปัจจุบันผู้ประกอบการจะเน้นการทำตราสัญลักษณ์ที่คล้ายกันไปจดทะเบียนเป็นน้ำดื่ม โซดา เพื่อให้โฆษณาได้ ส่งผลให้ผู้ที่ดูโฆษณาดังกล่าวเกิดความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสุราเพราะสัญลักษณ์มีความคล้ายกันอย่างมาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ผู้ประกอบการกระทำเช่นนี้ได้ เพราะเกิดจากช่องว่างของกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับหน่วยงานในภาคธุรกิจ
“ปัจจุบันโฆษณามีการทำแพ็กเกจ ลด แลก แจก แถม เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนดื่มกันมากขึ้น โดยใช้สื่อโฆษณาเป็นตัวกลางในการสร้างแรงจูงใจ ใช้เวลาเป็นตัวกำหนด เช่น ซื้อภายในวันนี้ลดราคา หรืออาศัยช่วงเทศกาลเป็นตัวกระตุ้นอารมณ์พร้อมจัดโปรโมชั่นสุดคุ้มต่างๆ เมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจว่า การดื่มสุราเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้ผิดอะไร แท้จริงแล้วปัญหาที่ตามมามีมากมายทั้งเรื่องอาชญากรรม การเกิดอุบัติเหตุทางถนน การทำร้ายร่างกาย ข่มขืน ชิงทรัพย์นี่คือผลกระทบที่แท้จริงซึ่งเกิดขึ้นในสังคมไทยจนนับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้นอยากให้กฎหมายมีความเข้มงวด เพื่อลดช่องว่างในการใช้วิธีลักลอบกระทำต่อการโฆษณา และไม่ให้ผู้ประกอบการหลีกเลี่ยงต่อข้อกฎหมายได้อีกต่อไป” ดร.บุญอยู่กล่าวทิ้งท้าย
ทางด้านดร.นพ.ทักษพล ธรรมรังสีผู้อำนวยการอนามัยโลก ประจำภูมิภาคเอเชียใต้-ตะวันออก (The WHO Regional Office for South–East Asia Region : WHO/SEARO) กล่าวถึงยุทธศาสตร์ และการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระดับโลกรวมถึงสถานการณ์ในประเทศไทยว่า สถานการณ์ประเทศไทยในตอนนี้เกี่ยวกับปัญหาแอลกอฮอล์ อยู่ในระดับที่ยังไม่มีนโยบายออกมาใหม่ยังใช้นโยบายเดิมในการขับเคลื่อน
ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่ต้องขยับนโยบายขึ้นเช่น การรณรงค์ให้มากขึ้น และเพิ่มเครือข่ายที่เกี่ยวข้องให้มาทำงานร่วมกันพร้อมทั้งเรียนรู้ระบบการทำงาน เป้าหมาย วัตถุประสงค์ให้มากขึ้น และสิ่งที่ประเทศไทยควรทำต่อไป คือ 1.การลงทุนในด้านพัฒนาศักยภาพ เน้นสร้างคนสร้างพื้นที่ 2.หาภาคส่วนเพิ่มขึ้นจากภาคเอกชน 3.ใช้สื่อโซเชียลมีเดียในการขับเคลื่อน และ 4.ต้องทำงานด้วยเครือข่ายมากขึ้น เพราะตอนนี้ประเทศไทยมีการพูดถึงเชิงนโยบายมากว่าการทำงานอย่างจริงจัง อย่าปล่อยการทำงานโดดเด่นแต่ในประเทศแต่ไม่ชัดเจนในพื้นที่” ดร.นพ.ทักษพล กล่าวเน้นย้ำ
โดย ปานมณี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี