คุณรู้ไหมว่า ประเทศไทย เรียกเก็บภาษีจากยาสูบ ภายหลังจากที่ เกิด พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 ที่บังคับใช้ เมื่อวันที่ 16 ก.ย. 2560 เป็นเงินรวมทั้งหมด 6.8 หมื่นล้านบาท แยกเป็นบุหรี่ในประเทศเก็บภาษีได้ 4.6 หมื่นล้านบาทบุหรี่นำเข้าเก็บได้ 2.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น3 พันล้านบาท จากปี 2559
ทั้งนี้เนื่องจากมีการเปลี่ยนฐานการคำนวณภาษีและอัตราภาษีให้สอดคล้องกับสภาพสังคม โดยภาษีสรรพสามิตในปัจจุบันมีการจัดเก็บแบบผสม ที่จัดเก็บทั้งอัตราตามปริมาณและมูลค่า และคำนวณอัตราภาษีจากราคาขายปลีก
คุณอยากทราบไหมว่า ยาสูบในเมืองไทย มีปริมาณการหมุนเวียนจากผู้ผลิตถึงผู้บริโภคอย่างไรบ้างเริ่มจากบุหรี่ซิกาแรตยอดนิยมที่ผลิตในประเทศ มีสัดส่วนภาษีประมาณร้อยละ 77 ของราคาขายปลีก ส่วนบุหรี่ซิกาแรตยอดนิยมที่นำเข้ามีสัดส่วนภาษีประมาณร้อยละ 75 ของราคาขายปลีก
อย่าเพิ่งสรุปว่า ทุกวันนี้ มีการสูบบุหรี่เพิ่มมากขึ้นอย่างนั้นหรือ?
มีตัวเลขที่น่ายินดีว่า คนไทยสูบบุหรี่น้อยลง และคนที่เลิกบุหรื่ได้ และไม่สูบบุหรี่ ตามสถิติพบว่า เกิดในหมู่ของคนที่มีการศึกษามากกว่า ผู้ขาดการศึกษา...แสดงว่า การศึกษาสร้างปัญญาได้จริงๆ
ทพญ.ศิริวรรณ พิทยรังสฤษฎ์ ผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) มหาวิทยาลัยมหิดล ได้มีการจัดเก็บสถิติเป็นตัวเลขไว้ใน สามหัวข้อที่สำคัญ คือ1.สถานการณ์ด้านพฤติกรรมการบริโภคยาสูบ 2. สถานการณ์การบริโภคยาสูบระดับจังหวัด 3.ปริมาณยาสูบและยาเส้น
1.สถานการณ์ด้านพฤติกรรมการบริโภคยาสูบ พบว่า ปี 2560 จำนวนประชากรที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป มีทั้งสิ้น 55.9 ล้านคน เป็นผู้สูบบุหรี่ 10.7 ล้านคน หรือร้อยละ 19.1 ลดลงจาก ช่วงปี 2534-2560 ที่เคยอยู่ร้อยละ 95 ลดลงเหลือร้อยละ 88.28 แต่จำนวนผู้สูบบุหรี่เป็นครั้งคราวกลับมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากปี 2534 ที่มี 5.9 แสนคน เพิ่มขึ้นเป็น 1.2 ล้านคน ภายในรอบ 26 ปี บ่งบอกว่าอุตสาหกรรมยาสูบมีกลยุทธ์การตลาดรูปแบบใหม่ๆ ที่อาจส่งผลให้มีผู้ทดลองสูบบุหรี่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย
จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า เพศชายมีอัตราการเปลี่ยนแปลงที่ลดลงน้อยกว่าเพศหญิง ส่วนระดับการศึกษาพบว่า ผู้ที่มีระดับการศึกษาประถมศึกษามีการสูบบุหรี่มากที่สุด ร้อยละ 22 รองลงมาคือกลุ่มมัธยมต้นร้อยละ 21.5 ผู้ที่ไม่เคยเรียนและมัธยมปลาย ร้อยละ 18 แต่ทุกระดับการศึกษามีการสูบบุหรี่ลดลงทั้งหมด ส่วนการแบ่งตามภูมิภาคพบว่า ภาคใต้ยังมีการสูบบุหรี่สูงสุด ตามด้วยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคเหนือ และกรุงเทพหมานคร
สำหรับปริมาณยาสูบที่บริโภคต่อวัน พบว่า ปี 2560 ลดลงจากทุกปีที่ผ่านมา คือ 10 มวนต่อวัน จากปี 2557 ที่สูบถึง 11.5 มวนต่อวัน ขณะที่ระยะเวลาที่สูบบุหรี่มวนแรกหลังตื่นนอน พบว่า สูบภายใน 5 นาทีแรกหลังตื่นนอนมี 17.76% สูบ 6-30 นาทีหลังตื่นมี 42.81% สูบ 31-60 นาที หลังตื่นมี 17.01% สูบ 60 นาที หลังตื่น มี 22.42% ส่วนค่าใช้จ่ายเพื่อซื้อผลิตภัณฑ์ยาสูบพบว่า เฉลี่ยที่ 546 บาทต่อเดือน โดยกลุ่มอายุ 25-44 ปี มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 630 บาทต่อเดือน
2.สถานการณ์การบริโภคยาสูบระดับจังหวัด พบว่า 10 จังหวัดที่มีอัตราการสูบบุหรี่สูงสุดในปี 2560 คือ กระบี่ นครศรีธรรมราช สตูล สกลนคร ระนอง สงขลา อุดรธานี สุราษฎร์ธานี พัทลุง และตรัง ตามลำดับ จากสถิติสองปี (2554 กับ 2560) จะเห็นว่า มี 5 จังหวัดที่สามารถลดอัตราการสูบบุหรี่ลงจนหลุดพ้นจาก 10 จังหวัดที่มีอัตราการสูบบุหรี่สูงสุดของประเทศไทย ประกอบด้วย จ.แม่ฮ่องสอน จากอันดับ 1 อัตราสูบบุหรี่ที่ 30.59% เหลืออันดับที่ 48 อัตราสูบบุหรี่อยู่ที่ 18.25%, ปัตตานี จากอันดับที่ 3 อัตราการสูบบุหรี่อยู่ที่ 29.1% เหลืออันดับที่ 13 อัตราการสูบบุหรี่อยู่ที่ 23.37%, ขอนแก่น จากอันดับ 7 อัตราการสูบบุหรี่อยู่ที่ 26.72% ลดลงเหลืออันดับ 57 อัตราการสูบบุหรี่อยู่ที่ 17.53%, กาญจนบุรี จากอันดับ 8 อัตราการสูบบุหรี่อยู่ที่ 26.64% ลดลงเหลืออันดับ 56 อัตราการสูบบุหรี่อยู่ที่ 17.63% และหนองบัวลำภู จากอันดับ 10 อัตราการสูบบุหรี่อยู่ที่ 26.39% ลดลงเหลืออันดับ 17 อัตราการสูบบุหรี่อยู่ที่ 22.84%” .... (ขอปรบมือให้ด้วยความจริงใจ จากปานมณี เจ้าค่ะ)
3.ปริมาณยาสูบและยาเส้น พบว่า บุหรี่ซิกาแรต มีการผลิตในประเทศมากถึง 1.47 พันล้านซอง ขายในประเทศ 1.96พันล้านซอง นำเข้า 486 ล้านซอง ส่วนยาเส้นปรุงมีการผลิตในประเทศถึง 844 กิโลกรัม ขณะที่ยาเส้น มีการผลิตในประเทศมากถึง 12.58 ล้านกิโลกรัม โดยทั้งยาเส้นปรุงและยาเส้นเป็นการผลิตและขายภายในประเทศเองอย่างเดียว สำหรับใบยาสูบมีการผลิตในประเทศ 41 ล้านกิโลกรัมส่งออก 9.6 ล้านกิโลกรัม ขณะที่ส่วนแบ่งตลาดบุหรี่ในปี 2560 พบว่า บุหรี่โรงงานยาสูบอยู่ที่ 65.2% บุหรี่นำเข้าอยู่ที่ 32.53%โดยสัดส่วนของบุหรี่นำเข้าถือว่าเพิ่มขึ้นจากปี 2559 ที่นำเข้า 22.92%
ภาษิตไทยบอกว่า “ให้ตีเหล็กขณะที่ร้อน” เมื่อการรณรงค์ของ สสส.และเครือข่าย สามารถทำให้การสูบบุหรี่ลดน้อยลงได้อย่างเป็นผลเช่นนี้ ทพญ.ศิริวรรณ จึงมีข้อเสนอแนะให้ รีบฉวยโอกาสในขณะที่เหล็กร้อน ด้วยการจัดทำใน 4 ประการดังนี้ 1.ควรมีการลงทุนโครงการจังหวัดปลอดบุหรี่เข้มข้นควบคู่กับการวิจัยประเมินผลในจังหวัดที่มีอัตราการบริโภคยาสูบสูง อย่างจริงจังต่อไป 2.ควรเร่งบังคับใช้มาตรการต่างๆ ภายใต้ พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ.2560 ซึ่งจะมีผลช่วยในการควบคุมการโฆษณาและส่งเสริมการขายบุหรี่ซิกาแรต 3.ต้องมีการขึ้นภาษียาเส้นขายปลีกควบคู่ไปกับการขึ้นภาษีบุหรี่ซิกาแรตด้วย เพราะยาเส้นจะถูกใช้แทนบุหรี่ซิกาแรตเมื่อมีการขึ้นภาษี และ 4.ส่งเสริมสนับสนุนผู้สูบบุหรี่ให้เลิกบุหรี่ด้วยมาตรการทางสังคมในชุมชน เพื่อความยั่งยืนในการควบคุมยาสูบ ซึ่งหากสามารถดำเนินการในเรื่องเหล่านี้ได้ ก็จะช่วยลดอัตราการสูบบุหรี่ของประเทศไทยลงได้อีกอย่างแน่นอน
โดย ปานมณี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี