เป็นเวลากว่า 7 ปีแล้ว หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 12 เม.ย. 2554 ให้ไทยยกเลิกนำเข้าและใช้แร่ใยหินไครโซไทล์ แต่จวบจนทุกวันนี้ก็ยังไม่สามารถห้าม (แบน) ได้อย่างเด็ดขาด
อุตสาหกรรมที่ใช้แร่ใยหิน ส่วนใหญ่จะเป็นอุตสาหกรรมกระเบื้องมุงหลังคา เบรกและคลัตช์รถยนต์ ซึ่งมีข้อมูลว่า เหลืออยู่เพียงรายเดียวในประเทศที่ยังไม่ยอมเลิกใช้ ทำให้ไม่สามารถแบนได้อย่างเด็ดขาดเสียที ทั้งที่อุตสาหกรรมรายใหญ่ก็ปรับเปลี่ยนเลิกใช้แร่ใยหินแล้ว เพราะหากยังใช้อยู่คงไม่สามารถส่งสินค้าไปต่างประเทศได้ เนื่องจากกว่า 60 ประเทศทั่วโลก ต่างก็แบนไปก่อนแล้ว
เมื่อเร็วๆ นี้ มีการเรียกร้องให้ยกเลิกการใช้แร่ใยหินอย่างหนักอีกครั้งหนึ่งเพราะอันตรายจากแร่ใยหินมีผลกระทบต่อสุขภาพอย่างมหาศาลกับผู้สัมผัส โดยประเด็นแร่ใยหินถูกนำมาจุดประกายอีกครั้ง ในเวทีประชุมวิชาการองค์กรผู้บริโภคคุณภาพ: “ทิศทาง บทบาท และการสนับสนุน”เพื่อต้องการสร้างกระแสความตื่นตัวให้แก่คนในสังคมให้มากขึ้น
ผศ.ดร.นพ.ณรงค์ภณ ทุมวิภาต แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคปอด คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลผ่านเวทีดังกล่าวว่า มีข้อมูลว่าขณะนี้ประเทศไทยเริ่มนำเข้าแร่ใยหินมากขึ้นอีกแล้ว โดยเมื่อปี 2560 นำเข้าประมาณ 4 หมื่นกว่าตัน ส่วนปี 2561 ประมาณครึ่งปีก็มากกว่า 2.7 หมื่นตันแล้ว และมีแนวโน้มนำเข้ามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสวนทางกับประเทศต่างๆ ที่พยายามยกเลิกการใช้แร่ใยหิน อย่างแคนาดาและบราซิล ซึ่งเป็นประเทศใหญ่ที่ส่งออกแร่ใยหินก็ยกเลิกการใช้แล้ว เพราะคนในประเทศเขาออกมาเรียกร้อง ขณะที่อีก 60 กว่าประเทศทั่วโลกก็แบนแล้วเช่นกัน รวมไปถึงประเทศเพื่อนบ้านไทยที่กำลังประกาศยกเลิก คือ ลาว ประกาศยกเลิกในปี 2020 และเวียดนามที่ประกาศยกเลิกในปี 2023 เพราะทุกประเทศมีผลการศึกษาที่ชัดเจนว่า เกิดผลกระทบต่อสุขภาพอย่างแน่นอน ซึ่งจะต้องรีบยกเลิกการนำเข้าและใช้ให้เร็วที่สุดเพราะมีข้อมูลว่า หลังจากวันที่ยกเลิกการใช้ ต้องใช้เวลาถึง 20 ปี กว่าอุบัติการณ์ของโรคที่เกิดจากแร่ใยหินจะลดลง อย่างประเทศแถบสแกนดิเนเวีย แบนประมาณปี 1980 กว่าๆ โรคจากแร่ใยหินเพิ่งจะลดลงเมื่อปี 2010 ที่ผ่านมา ส่วนอังกฤษโรคน่าจะลดลงในปี 2020 หากประเทศไทยแบนได้ในตอนนี้ ก็จะเกิดประโยชน์และเป็นผลดีต่อคนในรุ่นลูกรุ่นหลานในอนาคต
สำหรับโรคที่เกิดจากแร่ใยหิน มีอยู่หลายโรค แต่โดยมากแล้วจะเกิดขึ้นที่ปอด เพราะมาจากการหายใจเอาตัวแร่ใยหินเข้าไป ได้แก่ ภาวะผิดปกติที่เยื่อหุ้มปอด เช่นมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด ปอดแฟบเป็นก้อน เยื้อหุ้มปอดหนาตัวเป็นหย่อม เยื้อหุ้มปอดหนาตัวทั่วไป เกิดพังผืดในปอดจากแร่ใยหิน รวมไปถึงโรคอันตราย เช่น มะเร็งปอด มะเร็งเยื่อเลื่อม (เมโสเธลิโอมา) ประกอบด้วย มะเร็งเยื่อหุ้มปอด มะเร็งเยื่อบุช่องท้อง และมะเร็งเยื่อหุ้มหัวใจ รวมไปถึงมะเร็งกล่องเสียง และมะเร็งรังไข่
ผศ.ดร.นพ.ณรงค์ภณ บอกว่า ปัญหาที่ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถแบนแร่ใยหินได้นั้น มีการให้ข้อมูลผิดๆ จากกลุ่มที่สนับสนุนให้ใช้แร่ใยหิน โดยอ้างว่า คนที่ป่วยด้วยโรคจากแร่ใยหินต่างๆ ไม่ได้มีประวัติสัมผัสแร่ใยหินเลย ซึ่งประเด็นนี้ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง หากไม่มีการสัมผัส คงไม่เกิดโรคขึ้น เพียงแต่ที่ไม่ปรากฏข้อมูลในประวัติของผู้ป่วย เพราะยังมีอุปสรรคในการวินิจฉัยอยู่ คือ 1.รอยโรคปอดจากแร่ใยหินมีความคล้ายกับโรคปอดชนิดอื่น อาจทำให้แพทย์คาดไม่ถึงว่า เกิดจากแร่ใยหิน 2.โรคที่เกิดขึ้นมีระยะฟักตัวของโรคนานมากกว่า 10 ปีขึ้นไป เช่น พังผืด
ในปอดจากแร่ใยหินใช้เวลา 20-40 ปี มะเร็งปอดมากกว่า 15 ปี มะเร็งเยื่อหุ้มปอดยิ่งน่ากลัว เพราะใช้เวลามากกว่า 40 ปี และยังหาการสัมผัสแร่ใยหินขั้นต่ำที่ทำให้เกิดโรคไม่ได้ จนทำให้ผู้ป่วยหลงลืม ทำให้ไม่สามารถซักประวัติโดยละเอียดได้ เพราะคนที่เคยสัมผัสแร่ใยหินอาจมีการเปลี่ยนงานมานาน 3.ผู้ป่วยอาจมีพฤติกรรมเสี่ยงจากปัจจัยอื่น เช่น สูบบุหรี่ ทำให้ไม่ได้รับการวินิจฉัยที่ชัดเจนว่าโรคปอดที่เกิดขึ้นมาจากบุหรี่หรือแร่ใยหินกันแน่ ยกตัวอย่าง โรคมะเร็งปอดจากแร่ใยหิน ลักษณะโรคและอาการ รวมถึงตำแหน่งไม่ต่างจากโรคมะเร็งปอดจากการสูบบุหรี่หรือสาเหตุอื่นเลย ซึ่งคนปกติจะเสี่ยงเกิดมะเร็งปอด 70 ต่อแสนประชากร แต่หากสัมผัสแร่ใยหินจะเพิ่มความเสี่ยงจากอัตราดังกล่าวเป็น5 เท่า สูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยง 10 เท่า แต่หากสัมผัสทั้งแร่ใยหินและสูบบุหรี่ด้วยจะเพิ่มโอกาสมากขึ้นเป็น 50-90 เท่า
ศ.นพ.สุรศักดิ์ บูรณตรีเวทย์ จากโครงการพัฒนาระบบเฝ้าระวังโรคเหตุแร่ใยหิน ซึ่งได้อาศัยข้อมูล Health Data Center ของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ปี 2558-2559 กล่าวว่า การไม่มีประวัติสัมผัสไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีการสัมผัสมาก่อน เพราะการซักประวัติอาจไม่ละเอียดพอ ทำให้ไม่มีการบันทึกในข้อมูลผู้ป่วย มีการรายงานจำนวนผู้ป่วยโรคเหตุแร่ใยหิน 385 ราย พบว่า มีผู้ป่วยโรคเหตุใยหินจริง28 ราย แบ่งเป็นมะเร็งเยื่อเลื่อม 26 ราย (มะเร็งเยื่อเลื่อมแบ่งเป็น มะเร็งเยื่อหุ้มปอด 21 ราย มะเร็งเยื่อบุช่องท้อง 3 ราย มะเร็งเยื่อหุ้มหัวใจ 1 ราย และมะเร็งที่อัณฑะ 1 ราย) นอกจากนี้ ยังพบพังผืดในปอดจากแร่ใยหิน 1 ราย และเยื่อหุ้มปอดหนาตัวเป็นหย่อม 1 ราย ส่วนใหญ่เกิดจากการสัมผัสแร่ใยหินจากการประกอบอาชีพ เรียกว่า คนไทยป่วยจากโรคจากแร่ใยหินแล้ว 28 ราย
หากประชาชนเกิดความตื่นตัวและออกมาเรียกร้องให้มากขึ้น โดยอาจรวมพลังกับการแบนสารเคมี ก็อาจทำให้เกิดกระแสที่ดังขึ้นและแรงขึ้นกว่าเดิม อย่างน้อยไม่แร่ใยหิน ก็ต้องเป็นสารเคมีที่ควรจะต้องมีการแบนให้ได้สำเร็จ เพื่อเป็นเคสตัวอย่างให้เกิดการแบนต่อไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี