กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (สวท.) ได้ร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือเพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนใน “สถานรองรับเด็กของ ดย.” ด้วยปณิธานที่มุ่งมั่นจะเตรียมความพร้อมให้เด็กและเยาวชนมีสุขภาวะที่ดี ทั้งกาย จิตใจ สังคม และปัญญา เพื่อออกสู่สังคมอย่างเป็นสุข เพราะเด็กและเยาวชนใน “สถานรองรับ”ถือเป็นอีกกลุ่มเด็กเยาวชนที่มีความเปราะบาง ขาดโอกาสในชีวิต ทำให้เด็กขาดความเชื่อมั่นเมื่อต้องก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัยไปสู่การใช้ชีวิตในสังคมภายนอกด้วยตัวเอง
การจะพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะการสร้างเสริมให้เด็กและเยาวชนมีสุขภาวะที่ดี ทั้งกาย จิตใจ สังคมและปัญญา ไม่สามารถทำได้เพียงลำพัง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เนื่องจากปัญหาของเด็กและเยาวชนจะแตกต่างกันไป ตามสภาพปัจจัยและสภาพแวดล้อมที่เขาเผชิญ ดังนั้นการร่วมมือกันทั้งสามหน่วยงานดังกล่าว จึงเป็นโครงการที่จะพัฒนาให้ เด็กและเยาวชนในสถานรองรับ ได้มีโอกาสเช่นเดียวกับเด็กอื่นๆ ทั่วไป
ดร.สมคิด สมศรี อธิการบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน หรือ ดย. กล่าวว่า “สถานรองรับเด็ก” คือชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ แต่คนจะรู้จักกันในชื่อของ “สถานสงเคราะห์” ซึ่งที่นี่จะดูแลเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 18 ปีบริบูรณ์ โดยรัฐบาลให้งบประมาณสนับสนุน ปัจจุบันทั่วประเทศมีสถานรองรับเด็ก 30 แห่ง มีเด็กและเยาวชนอยู่ในการอุปการะ 6,513 คน และถ้ารวมกับบ้านพักเด็กอีก 76 บ้าน รวมทั้งหมด จะมีเด็กกว่า 8,000 คน ที่ผ่านมา ดย.ในฐานะมีบทบาทและหน้าที่ในการดูแลและคุ้มครองเด็ก พยายามให้การดูแลและคุ้มครองเด็กและเยาวชนให้เป็นไปตามกฎหมายและอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก แต่เด็กและเยาวชนที่เข้ามาสู่สถานรองรับเด็ก มาจากหลายปัจจัย ทั้งกำพร้า พิการ ครอบครัวยากจน ครอบครัวขาดความพร้อมด้านสภาพแวดล้อมและไม่เอื้อต่อการดำรงชีวิตของเด็ก เด็กติดเชื้อเอชไอวี เป็นต้น โดยเฉพาะบางรายมีความเปราะบางและเสี่ยงต่อการตกเป็นเหยื่อทางสังคมได้ง่าย ปัญหาที่พบร่วมกันของเด็กกลุ่มนี้ คือ เด็กขาดความภาคภูมิใจในตนเอง ขาดแรงบันดาลใจและการตั้งเป้าหมายในชีวิต และขาดการฝึกฝนทักษะชีวิตในหลายๆ ด้าน
ดร.สมคิด บอกถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหา ว่า ดย.ได้ดำเนินตามแผนกลยุทธ์กรมกิจการเด็กและเยาวชน ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2560-2564)ที่มุ่งเสริมสร้างทักษะชีวิต เด็กและเยาวชนตามช่วงวัย โดยเน้นการ เสริมสร้างทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต มุ่งให้เกิดวินัยและคุณธรรม มีความรับผิดชอบ เรื่องการดูแลสุขภาพทางเพศ และมีความรู้ ความเข้าใจเรื่องเพศศึกษา มีการส่งเสริมทักษะอาชีพ การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ผ่านมาปัญหาที่พบ คือเมื่อเด็กอายุ 18 ปีบริบูรณ์ก็ต้องออกจากสถานรองรับไปเพราะรัฐบาลจะไม่สนับสนุนเงินในการดูแลเด็กแล้ว แต่ปรากฏว่าหลายคนออกไปไม่ได้ หลายสถานรองรับเด็กต้องหาทางช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้ เช่น พยายามส่งเด็กให้ไปเป็นบุตรบุญธรรมเร็วที่สุด หรือการเพิ่มความรู้ อบรมทักษะอาชีพให้ แต่ในความจริงเด็กกลุ่มนี้ไปสู่อาชีพได้ประมาณ 10% และเด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่ไม่อยากเรียนรู้ ดย.จึงเห็นว่าต้องเร่งแก้ไขปัญหานี้จึงเกิดความร่วมมือดังกล่าวขึ้นด้วยการร่วมกับ สสส.และ สวท. โดยได้คัดเลือกสถานรองรับนำร่อง 5 แห่ง ได้แก่ 1.สถานสงเคราะห์เด็กชายบ้านปากเกร็ด 2.สถานสงเคราะห์เด็กหญิงอุดรธานี 3.สถานสงเคราะห์เด็กชายบ้านราชสีมา 4.สถานสงเคราะห์เด็กชายบ้านเชียงใหม่ และ 5.สถานสงเคราะห์เด็กปัตตานี ภายใต้กรอบความร่วมมือ 3 ปี ตั้งแต่เดือนกันยายน 2561-สิงหาคม 2564 โดยตั้งเป้าให้ทั้ง 5 แห่งเป็นต้นแบบในการจัดสวัสดิการด้านเด็กและเยาวชนและเป็นศูนย์การเรียนรู้ และสามารถขยายผลการดำเนินงานไปสู่สถานรองรับเด็กอื่นๆทั้ง 16 แห่ง ในประเภทสถานรองรับเด็กอายุ 6-18 ปี ทั้งหญิงและชาย จำนวน 2,620 คน รวมถึงการพัฒนาสมรรถนะบุคลากรและระบบบริหารจัดการองค์กรที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม
ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการ สสส. เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา สสส.ให้การสนับสนุนกิจกรรมที่จะพัฒนาเด็กและเยาวชนร่วมกับ ดย.มาตลอด สำหรับเด็กกลุ่มนี้ สสส.และ สวท.มีเป้าหมายพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนในสถานรับรองให้มีคุณภาพ โดยจะสนับสนุนทั้งในเชิงวิชาการด้วยการสร้างเครื่องมือเทียบระดับ (BENCHMARKING) ตลอดจนรับโจทย์จากสถานรองรับต้นแบบทั้ง 5 แห่งที่ต้องการให้แก้ไขมากำหนดแนวทางการพัฒนาเด็กในสถานรองรับเด็ก รวมถึงจะมีการอบรมพัฒนาบุคลากร ขณะเดียวกัน จะเชื่อมโยงความร่วมมือไปสู่ชุมชนโดยรอบเพื่อให้เข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลเด็กและเยาวชนในสถานรับรองเด็กเพื่อให้เติบโตออกสู่สังคมอย่างเป็นสุข เพื่อขยายผลการดำเนินงานไปสู่สถานรองรับเด็กอื่นๆ ต่อไป
ศ.นพ.สุรศักดิ์ ฐานีพานิชสกุล นายก สวท. กล่าวว่า สวท.จะดำเนินการตามแผนงาน ภายใต้กรอบความร่วมมือ 3 ปี เพื่อเตรียมความพร้อมเด็กเยาวชนออกสู่สังคม พร้อมพึ่งพาตนเองได้ ตลอดจนนำรูปแบบดำเนินการในสถานรองรับต้นแบบ 5 แห่งขยายผลในสถานรองรับ 16 แห่งในระยะต่อไป ซึ่งแผนการทำงานมี 3 เรื่อง คือ 1. พัฒนากระบวนการและชุดความรู้สำหรับการพัฒนาระบบคุณภาพสถานรองรับเด็ก 2.พัฒนาบุคลากรผู้รับผิดชอบการปฏิบัติงานในระบบบริการหลักของสถานรองรับเด็ก และ3. สนับสนุนให้สถานสงเคราะห์ต้นแบบ 5 แห่ง เป็นสถานสงเคราะห์เปิด ทำงานแบบมีส่วนร่วมกับภาคส่วนต่างๆ เกิดนวัตกรรม เครื่องมืเทียบระดับ (BENCHMARKING) 2 ชุด คู่มือเทียบระดับและคู่มือระบบคุณภาพสถานสงเคราะห์ ที่ครอบคลุมเรื่องการประเมินตนเอง(SELFASSESSMENT TOOLS) และคู่มือการพัฒนาบุคลากรในระบบบริการหลัก (PROGRAMMING TOOLS) 5 โปรแกรม และมีบุคลากรดูแลเด็กที่มีศักยภาพตามตัวชี้วัดในระบบหลักทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านการเรียนรู้,ด้านการดูแลสวัสดิภาพและความปลอดภัย, ด้านนันทนาการ และด้านการศึกษาและวิชาชีพ
นับเป็นโอกาสที่ดี ที่เด็กและเยาวชนเหล่านี้ มิได้ถูกทอดทิ้งให้อยู่ตามลำพังบนโลกใบนี้แต่เพียงผู้เดียว และตราบใดที่ทุกคนในสังคมต่างร่วมมือช่วยเหลือเกื้อกูลต่อกันโลกทั้งโลกก็จะเป็น โลกที่สดใสทุกคนต่างสุขสันต์กันโดยถ้วนหน้า
โดย ปานมณี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี