วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีผ่านระบบ Video Conference ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างกฎ ก.พ.อ. การได้รับเงินประจำตำแหน่งผู้บริหารและข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาของสถาบันวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎ ก.พ.อ. การได้รับเงินประจำตำแหน่งผู้บริหารและข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาของสถาบันวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้ง ให้ อว. รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ อว. เสนอว่า
1. โดยที่พระราชบัญญัติสถาบันวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. 2558 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2558 ให้ยกสถานะสำนักบริหารงานวิทยาลัยชุมชนและวิทยาลัยชุมชนเป็น สถาบันวิทยาลัยชุมชน และมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว บัญญัติให้สภาสถาบันวิทยาลัยชุมชนมีอำนาจหน้าที่ในการบริหารงานบุคคลของสถาบันตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาและกฎหมายอื่นโดยอนุโลมและเพื่อประโยชน์ในการดำเนินการดังกล่าว ให้คณะกรรมการข้าราชการ พลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) มีอำนาจออกกฎ ระเบียบ หรือข้อบังคับเพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ และที่ผ่านมาหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขสำหรับการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการในสถาบันวิทยาลัยชุมชนทุกประเภทตำแหน่ง รวมทั้งตำแหน่งผู้บริหาร ก.พ.อ. ได้มีมติเห็นชอบให้สภาสถาบันวิทยาลัยชุมชนนำมาตรา 17 แห่งพระราชกฤษฎีกาการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการและผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารซึ่งไม่เป็นข้าราชการ พ.ศ. 2538 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการและผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารซึ่งไม่เป็นข้าราชการ (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2549 และมาตราที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งผู้บริหารในสถาบันอุดมศึกษา มาใช้บังคับโดยอนุโลมไปพลางก่อน จนกว่า ก.พ.อ. จะได้กำหนดหลักเกณฑ์ขึ้น
2. ดังนั้น เพื่อเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขสำหรับการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการในสถาบันวิทยาลัยชุมชนทุกประเภทตำแหน่ง รวมทั้งตำแหน่งผู้บริหารซึ่งเป็นข้าราชการพลเรือน และผู้ดำรงตำแหน่งประเภทผู้บริหารซึ่งไม่เป็นข้าราชการและผู้ดำรงตำแหน่งประเภทผู้บริหารในสถาบันวิทยาลัยชุมชน อว. จึงได้ดำเนินการยกร่างกฎ ก.พ.อ. การได้รับเงินประจำตำแหน่งผู้บริหารและข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาของสถาบันวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. .... ขึ้น
3. ต่อมาในคราวประชุม ก.พ.อ. ครั้งที่ 5/2563 เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2563 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบร่างกฎ ก.พ.อ. ตามข้อ 2 และให้ดำเนินการต่อไปได้
จึงได้เสนอร่างกฎ ก.พ.อ. การได้รับเงินประจำตำแหน่งผู้บริหารและข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาของสถาบันวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างกฎ ก.พ.อ.
1. กำหนดให้ข้าราชการและผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารซึ่งไม่เป็นข้าราชการในสถาบันวิทยาลัยชุมชน อาจได้รับเงินประจำตำแหน่งตามบัญชีอัตราเงินประจำตำแหน่งท้ายกฎ ก.พ.อ. นี้
2. กำหนดให้นำหลักเกณฑ์และวิธีการการจ่ายเงินประจำตำแหน่งตาม พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการการจ่ายเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการและผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารซึ่งไม่เป็นข้าราชการ พ.ศ. 2539 มาใช้บังคับกับการจ่ายเงินประจำตำแหน่งตามกฎ ก.พ.อ. นี้ โดยอนุโลม
3. กำหนดตำแหน่งประเภทผู้บริหารของสถาบันวิทยาลัยชุมชนที่จะได้รับเงินประจำตำแหน่ง และกำหนดให้การได้รับเงินประจำตำแหน่งของผู้ดำรงตำแหน่งประเภทผู้บริหารของสถาบันวิทยาลัยชุมชนดังกล่าว ให้เป็นไปตามบัญชีอัตราเงินประจำตำแหน่งผู้บริหารและข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาของสถาบันวิทยาลัยชุมชน ท้ายกฎ ก.พ.อ. นี้
4. กำหนดการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาของสถาบันวิทยาลัยชุมชนที่ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาชีพเฉพาะหรือตำแหน่งประเภทเชี่ยวชาญเฉพาะตามมาตรฐานกำหนดตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา และอัตราเงินประจำตำแหน่ง ให้เป็นไปตามกฎ ก.พ.อ. การได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2556
5. กำหนดให้การกำหนดตำแหน่งและจำนวนตำแหน่งที่จะให้ได้รับเงินประจำตำแหน่งของตำแหน่งประเภทผู้บริหารและตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาของสถาบันวิทยาลัยชุมชนที่ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาชีพเฉพาะ หรือตำแหน่งประเภทเชี่ยวชาญเฉพาะต้องได้รับความเห็นชอบจาก ก.พ.อ. ก่อน
6. กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการได้รับเงินประจำตำแหน่งซึ่งสอดคล้องกับพระราชกฤษฎีกาการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการและผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารซึ่งไม่เป็นข้าราชการ พ.ศ. 2538 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และไม่เป็นการ
กระทบสิทธิประโยชน์ที่ข้าราชการและผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารในสถาบันวิทยาลัยชุมชนได้รับอยู่เดิม
7. กำหนดให้ข้าราชการและผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารซึ่งไม่เป็นข้าราชการผู้ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง อยู่ก่อนวันที่กฎ ก.พ.อ. ฉบับนี้มีผลใช้บังคับและได้รับเงินประจำตำแหน่งตามตำแหน่งและอัตราเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการและผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารในสถาบันอุดมศึกษา ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการ พลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาและกฎหมายอื่นโดยอนุโลม เป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งตาม กฎ ก.พ.อ. นี้
2. เรื่อง หลักการของร่างกฎหมายว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกัน และร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม พ.ศ. …. คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบดังนี้
1. เห็นชอบหลักการของร่างกฎหมายว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกัน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) เสนอ โดยให้เพิ่มรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นผู้รักษาการตามร่างกฎหมายนี้ และให้ สคก. รับร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม พ.ศ. …. ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) รวมทั้งความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปประกอบการยกร่างกฎหมายว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกัน ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
2. มอบหมายให้ พม. และกระทรวงมหาดไทยร่วมกันเป็นหน่วยงานเจ้าของเรื่องในการนำหลักการของร่างกฎหมายตามข้อ 1. ไปดำเนินการรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากร่างกฎหมาย ตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 และให้ส่งผลการดำเนินการดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการยกร่างกฎหมายดังกล่าวต่อไป
ทั้งนี้ สคก. เสนอว่า
1) โดยที่ปัจจุบันได้มีการจัดตั้งองค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกันขึ้นในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ซึ่งบางส่วนจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะ และบางส่วนดำเนินการในรูปคณะบุคคลที่มิได้จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ทำให้การกำกับดูแลของรัฐไม่สามารถทำได้โดยทั่วถึง และมีองค์กรจำนวนมากที่อ้างว่าเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกัน แต่กลับดำเนินการในลักษณะที่เป็นการหารายได้มาแบ่งปันกันในระหว่างผู้ร่วมดำเนินการโดยหลีกเลี่ยงการเสียภาษีซึ่งเป็นการหลอกลวงประชาชน รวมทั้งมีองค์กรจำนวนมากที่รับเงินหรือทรัพย์สินของบุคคลธรรมดา นิติบุคคล หรือคณะบุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทยหรือมิได้จดทะเบียนจัดตั้งในราชอาณาจักรไทยมาใช้ในการดำเนินกิจกรรม ที่อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน หรือส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยในราชอาณาจักรเอง
2) นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้ สคก. ศึกษากฎหมายว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกันของต่างประเทศ เพื่อหาหลักการที่เหมาะสมมาใช้ในการยกร่างกฎหมายในทำนองเดียวกันของประเทศไทย แล้วนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา ซึ่งต่อมารองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ได้จัดประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาแนวทางที่เหมาะสมในการยกร่างกฎหมายดังกล่าว และได้มอบให้ สคก. จัดทำและเสนอหลักการของร่างกฎหมายดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป
สคก. จึงได้เสนอหลักการของร่างกฎหมายว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกัน มาเพื่อดำเนินการ
พม. เสนอว่า
1) โดยที่ปัญหาที่เกิดขึ้นกับสังคมไทยในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การสาธารณสุข ความเหลื่อมล้ำ หรือปัญหาในด้านอื่น ๆ มีความซับซ้อนมากขึ้นกว่าในอดีตเป็นอย่างมาก ทำให้หน่วยงานของรัฐไม่สามารถจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคสำคัญในการบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โดยในประเทศที่พัฒนาแล้วภาครัฐจะให้ความสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านงบประมาณของหน่วยงานของรัฐในการดำเนินงานด้านต่าง ๆ
2) โดยที่ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคมในภาพรวมเป็นการเฉพาะ ประกอบกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 43 บัญญัติให้บุคคลและชุมชนย่อมมีสิทธิอนุรักษ์ ฟื้นฟู หรือส่งเสริมภูมิปัญญา ศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม และจารีตประเพณี อันดีงาม ทั้งของท้องถิ่นและของชาติ จัดการ บำรุงรักษา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสมดุลและยั่งยืน เข้าชื่อกันเพื่อเสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐให้ดำเนินการใดอันจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนหรือชุมชน หรืองดเว้นการดำเนินการอันใดอันจะกระทบต่อความเป็นอยู่อย่างสงบสุขของประชาชนหรือชุมชน และได้รับแจ้งผลการพิจารณาโดยรวดเร็ว และจัดให้มีระบบสวัสดิการของชุมชน และมาตรา 78 บัญญัติให้รัฐพึงส่งเสริมให้ประชาชนและชุมชนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ การจัดทำบริการสาธารณะทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ รวมตลอดทั้งการตัดสินใจทางการเมือง และการอื่นใดบรรดาที่อาจมีผลกระทบต่อประชาชนหรือชุมชน ดังนั้น เพื่อให้องค์กรภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนร่วมกับภาครัฐและภาคส่วนอื่น โดยการส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพ และสร้างความเข้มแข็งขององค์กรภาคประชาสังคม ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน รวมทั้งเพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยดังกล่าว จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีกฎหมายเกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคมเป็นการเฉพาะ
พม. จึงได้เสนอร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม พ.ศ. …. มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญ
1. สาระสำคัญของหลักการของร่างกฎหมายว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกัน มีดังนี้
1.1 ให้มีกฎหมายกลางในระดับพระราชบัญญัติขึ้นเพื่อกำกับการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกันในประเทศไทยให้เป็นไปอย่างถูกต้องทำนองคลองธรรม เปิดเผย โปร่งใส เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง ปราศจากไถยจิตแอบแฝงอันเป็นการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ ตลอดจนรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
1.2 กำหนดให้อธิบดีกรมการปกครองเป็นผู้รับจดแจ้งองค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกัน
1.3 กำหนดให้องค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกันจะดำเนินกิจกรรมในประเทศไทยได้ต่อเมื่อได้จดแจ้งต่อผู้รับจดแจ้ง และเมื่อได้รับจดแจ้งแล้วให้องค์กรดังกล่าวมีสิทธิได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินการจากรัฐตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น
1.4 กำหนดให้องค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกันที่จดแจ้งต้องดำเนินการตามกฎหมายเกี่ยวกับการจัดตั้งและการดำเนินกิจการขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้ หรือกำไรมาแบ่งปันกันแต่ละแห่ง และที่บัญญัติไว้ในร่างพระราชบัญญัตินี้เป็นการเฉพาะแล้ว ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกำหนดตามพระราชบัญญัตินี้ด้วย
1.5 ให้เป็นหน้าที่ขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกัน ที่ต้องเปิดเผยแหล่งที่มาและจำนวนของเงินหรือทรัพย์สินที่ใช้ในการดำเนินกิจกรรมในแต่ละปี และต้องยื่นแบบรายการภาษีเงินได้ทุกปีด้วย
1.6 กำหนดให้องค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกัน จะรับเงินหรือทรัพย์สินจากบุคคลธรรมดา นิติบุคคล หรือคณะบุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทยหรือมิได้จดทะเบียนจัดตั้งในราชอาณาจักรไทย มาใช้ในการดำเนินกิจกรรมในประเทศไทยได้เฉพาะกิจกรรมที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกำหนด และต้องรายงานผลการรับและใช้จ่ายเงินหรือทรัพย์สินดังกล่าว รวมทั้งกิจกรรมที่ดำเนินการในแต่ละปีด้วย
1.7 กำหนดให้องค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกัน ต้องเสนอรายงานการสอบบัญชีโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาตต่อผู้รับจดแจ้งภายในหกสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี และให้ผู้รับจดแจ้งเผยแพร่รายงานการสอบบัญชีดังกล่าวในระบบสารสนเทศของกรมการปกครอง
1.8 กำหนดบทลงโทษอาญาแก่ผู้ดำเนินการองค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกันในประเทศไทยโดยมิได้จดแจ้งต่อผู้รับจดแจ้ง
1.9 สมควรกำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
1.10 สมควรมีกฎหมายส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินการขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกันที่ได้จดแจ้งตามพระราชบัญญัตินี้ เพื่อให้การส่งเสริมและสนับสนุนองค์กรที่ดำเนินการอันเป็นประโยชน์แก่สังคมโดยรวม
2. สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม พ.ศ. …. สรุปได้ดังนี้
2.1 กำหนดให้มีคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม ประกอบด้วยกรรมการโดยตำแหน่ง จำนวนหกคน ได้แก่ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน และเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กรรมการผู้แทนองค์กรภาคประชาสังคม จำนวนเจ็ดคน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวนสี่คน และมีผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคมเป็นกรรมการและเลขานุการ
2.2 กำหนดให้คณะกรรมการตามข้อ 2.1 มีอำนาจหน้าที่ต่าง ๆ เช่น กำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนงานการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม เสนอความเห็นและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคมต่อรัฐมนตรี ส่วนราชการ หน่วยงาน และองค์กรภาคประชาสังคม จัดทำข้อเสนอแนะในการพัฒนาหรือปรับปรุงกฎหมาย กฎ หรือระเบียบที่เกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคมต่อรัฐมนตรีหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
2.3 กำหนดให้มีสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีฐานะเป็นนิติบุคคล และอยู่ในกำกับของ พม. รวมทั้งกำหนดให้มีผู้อำนวยการคนหนึ่งซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบการปฏิบัติหน้าที่ของสำนักงานฯ โดยสำนักงานฯ มีหน้าที่สนับสนุนการดำเนินงานของคณะกรรมการตามข้อ 2.1
2.4 กำหนดให้องค์กรภาคประชาสังคมที่จะได้รับการสนับสนุนตามร่างพระราชบัญญัตินี้จะต้องจดแจ้งต่อสำนักงานฯ ก่อน
3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับประเภท ลักษณะ ขนาด การให้บริการ หรือธุรกรรมของผู้มีหน้าที่รายงาน พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับประเภท ลักษณะ ขนาด การให้บริการ หรือธุรกรรมของผู้มีหน้าที่รายงาน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) ตรวจพิจารณาแล้วตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
กำหนดให้บุคคลผู้มีหน้าที่รายงานตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติการปฏิบัติการตามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อความร่วมมือในการปรับปรุงการปฏิบัติตามการภาษีอากรระหว่างประเทศ พ.ศ. 2560 เป็นผู้มีหน้าที่รายงานตามร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ ได้แก่
1. สถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน
2. บริษัทหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
3. สถาบันการเงินของรัฐที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น
4. ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันชีวิตตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต และผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยตามกฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัย
5. ผู้ประกอบธุรกิจสัญญาชื้อขายล่วงหน้าตามกฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
6. ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาตามกฎหมายว่าด้วยการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
7. ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 ลงวันที่ 26 มกราคม พุทธศักราช 2515
8. บุคคลอื่นใดที่ประกอบธุรกิจรับฝากหลักทรัพย์ รับฝากเงิน หรือดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการลงทุน
ทั้งนี้ เว้นแต่บุคคลที่ไม่มีหน้าที่รายงานตามความตกลงฯ หรือไม่มีหน้าที่รายงานหรือได้รับยกเว้นไม่ต้องรายงานตามประเภท ลักษณะ ขนาด หรือที่มีการให้บริการหรือธุรกรรมตามที่ระบุไว้ในเอกสารแนบท้ายความตกลง 2 หรือตามระเบียบข้อบังคับของกระทรวงการคลังของประเทศสหรัฐอเมริกา
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตท่าเรือตำมะลัง เขตท่าเรือเจ๊ะบิลัง เขตท่าเรือปากบารา เขตจอดเรือและเขตควบคุมการเดินเรือ จังหวัดสตูล พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตท่าเรือตำมะลัง เขตท่าเรือเจ๊ะบิลัง เขตท่าเรือปากบารา เขตจอดเรือและเขตควบคุมการเดินเรือ จังหวัดสตูล พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้งให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ คค. เสนอว่า
1. ปัจจุบันบริเวณทะเลอันดามัน ในพื้นที่จังหวัดสตูล โดยเฉพาะบริเวณร่องน้ำตำมะลัง ร่องน้ำเจ๊ะบิลัง และร่องน้ำปากบารา รวมทั้งบริเวณเกาะหลีเป๊ะ ตำบลเกาะสาหร่าย อำเภอเมือง จังหวัดสตูล เป็นพื้นที่ที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศนิยมเดินทางมาท่องเที่ยว และมีการนำเข้าและส่งออกสัตว์น้ำจึงมีเรือสำราญและกีฬาเรือเดินทะเลระหว่างประเทศ เรือบรรทุกผู้โดยสารในประเทศ เรือบรรทุกผู้โดยสารระหว่างประเทศ เรือประมงและเรือขนถ่ายสัตว์น้ำ เดินเรือเข้าและออกในพื้นที่จังหวัดสตูลเป็นจำนวนมาก และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งยังไม่มีกฎหมายกำหนดเขตท่าเรือตำมะลัง เขตท่าเรือเจ๊ะบิลัง เขตท่าเรือปากบารา เขตจอดเรือ และเขตควบคุมการเดินเรือ จังหวัดสตูล ไว้โดยเฉพาะ ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดเรือโดนกันหรือเรือไปโดนทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ได้ จึงสมควรกำหนดเขตท่าเรือตำมะลัง เขตท่าเรือเจ๊ะ บิลัง เขตท่าเรือปากบารา เขตจอดเรือ และเขตควบคุมการเดินเรือ จังหวัดสตูล เพื่อประโยชน์ต่อการควบคุมดูแลความปลอดภัย จัดระเบียบการจราจรทางน้ำ และวางระบบการขนส่งทางน้ำให้มีความปลอดภัยและมีความสะดวกมากยิ่งขึ้น ตลอดจนเพื่อประโยชน์ในการควบคุมมลภาวะทางน้ำ
2. โดยที่มาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช 2456 และที่แก้ไขเพิ่มเติม บัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมมีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อกำหนดแนวแม่น้ำลำคลองหรือทะเลอาณาเขตแห่งใดเป็นเขตท่าเรือและเขตจอดเรือได้ ดังนั้น เพื่อประโยชน์ต่อการควบคุมดูแลความปลอดภัย จัดระเบียบการจราจรทางน้ำ และวางระบบการขนส่งทางน้ำให้มีความปลอดภัยและมีความสะดวกมากยิ่งขึ้น คค. จึงได้ยกร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้เพื่อกำหนดเขตท่าเรือตำมะลัง เขตท่าเรือเจ๊ะบิลัง เขตท่าเรือปากบารา เขตจอดเรือ และเขตควบคุมการเดินเรือ จังหวัดสตูล
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดเขตท่าเรือตำมะลัง เขตท่าเรือเจ๊ะบิลัง เขตท่าเรือปากบารา เขตจอดเรือและเขตควบคุมการเดินเรือ จังหวัดสตูล ให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับการคมนาคมขนส่งทางน้ำที่เพิ่มมากขึ้นในสถานการณ์ปัจจุบัน
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงยกเลิกกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ในช่วงเทศกาลสงกรานต์และปีใหม่เป็นประจำทุกปี พ.ศ. 2550 พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงยกเลิกกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ในช่วงเทศกาลสงกรานต์และปีใหม่เป็นประจำทุกปี พ.ศ. 2550 พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วและให้ดำเนินการต่อไปได้
เรื่องเดิม
1. ได้มีการบังคับใช้กฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ในช่วงเทศกาลสงกรานต์และปีใหม่เป็นประจำทุกปี พ.ศ. 2550 ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ในช่วงเทศกาลสงกรานต์และในช่วงเทศกาลปีใหม่เป็นประจำทุกปี
2. ต่อมาได้มีมติคณะรัฐมนตรี (17 มีนาคม 2563) เห็นชอบให้เลื่อนวันหยุดราชการในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี พ.ศ. 2563 (วันที่ 13 -15 เมษายน 2563) ออกไปก่อน จนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จะคลี่คลาย
3. คค. ได้เสนอร่างกฎกระทรวงยกเว้นการใช้บังคับกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ในช่วงเทศกาลสงกรานต์และปีใหม่เป็นประจำทุกปี พ.ศ. 2550 พ.ศ. .... ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นการใช้บังคับกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ในช่วงเทศกาลสงกรานต์และปีใหม่เป็นประจำทุกปี พ.ศ. 2550
4. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) พิจารณาแล้ว มีความเห็นว่าเนื่องจากกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ในช่วงเทศกาลสงกรานต์และปีใหม่เป็นประจำทุกปี พ.ศ. 2550 มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 19 (พ.ศ. 2540) ออกตามความในพระราชบัญญัติกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงและสะพาน พ.ศ. 2497 ซึ่งในปัจจุบันกฎกระทรวง ฉบับที่ 19 (พ.ศ. 2540)ฯ ได้ถูกยกเลิกโดยข้อ 2 แห่งกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ตอนกรุงเทพมหานคร – เมืองพัทยา พ.ศ. 2558 ดังนั้น กฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ในช่วงเทศกาลสงกรานต์และปีใหม่เป็นประจำทุกปี พ.ศ. 2550 จึงไม่มีสภาพใช้บังคับแล้ว และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องออกกฎกระทรวงเพื่อยกเว้นการใช้บังคับกฎกระทรวงดังกล่าวตามที่ คค. เสนอ เพื่อมิให้เกิดความสับสนในการใช้บังคับกฎหมาย สมควรที่ คค. จะได้เสนอให้มีการเลิกกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ในช่วงเทศกาลสงกรานต์และปีใหม่เป็นประจำทุกปี พ.ศ. 2550 ต่อไป
5. คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (31 มีนาคม 2563) ให้ คค. รับความเห็นของ สคก. ตามข้อ 4 ไปดำเนินการยกเลิกกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ในช่วงเทศกาลสงกรานต์และปีใหม่เป็นประจำทุกปี พ.ศ. 2550 และเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่งโดยด่วน
ข้อเท็จจริง
1. คค. เสนอว่า ตามที่ สคก. ได้เสนอความเห็นเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงยกเว้นการใช้บังคับกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ในช่วงเทศกาลสงกรานต์และปีใหม่เป็นประจำทุกปี พ.ศ. 2550 พ.ศ. .... มาเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี และเห็นควรให้มีการยกเลิกกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ในช่วงเทศกาลสงกรานต์และปีใหม่เป็นประจำทุกปี พ.ศ. 2550
คค. จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงยกเลิกกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ในช่วงเทศกาลสงกรานต์และปีใหม่เป็นประจำทุกปี พ.ศ. 2550 พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ
2. สคก. แจ้งว่า ได้ตรวจพิจารณาร่างกฎกระทรวงดังกล่าวเป็นการล่วงหน้าแล้วและมีการแก้ไขเล็กน้อย ซึ่ง คค. (กรมทางหลวง) ได้ยืนยันความเห็นชอบร่างกฎกระทรวงนี้ด้วยแล้ว
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
ยกเลิกกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ในช่วงเทศกาลสงกรานต์และปีใหม่เป็นประจำทุกปี พ.ศ. 2550
6. ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการสนับสนุนการปฏิบัติงานติดตามคนหาย พิสูจน์คนนิรนามและศพนิรนาม พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการสนับสนุนการปฏิบัติงานติดตามคนหาย พิสูจน์คนนิรนามและศพนิรนาม พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ยธ. เสนอว่า
1. โดยที่ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการสนับสนุนการปฏิบัติงานติดตามคนหาย และพิสูจน์ศพนิรนาม พ.ศ. 2558 มีเป้าหมายเพื่อมีศูนย์กลางในการรวบรวมข้อมูลคนหาย และศพนิรนามของประเทศไทย มีระบบมาตรฐานและแนวทางการปฏิบัติงานด้านคนหายและศพนิรนามในทิศทางเดียวกัน และมีการบูรณาการการปฏิบัติงานของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องให้มีประสิทธิภาพ รวมทั้งสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม ซึ่งระเบียบดังกล่าวยังไม่ครอบคลุมการปฏิบัติงานด้านคนนิรนาม ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลที่ไม่ทราบชื่อตัว ชื่อสกุล และไม่มีหลักฐานแสดงตัวตน อันเนื่องมาจากสาเหตุอุบัติเหตุทางสมอง หรือจากโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ซึ่งบุคคลเหล่านี้อาจเป็นคนหายที่ครอบครัวกำลังติดตามหา หรืออาจเสียชีวิตโดยไม่สามารถพิสูจน์ตัวตนได้กลายเป็นศพนิรนาม ดังนั้น คนหาย คนนิรนามและศพนิรนาม จึงมีความเกี่ยวข้องกันตั้งแต่กระบวนการต้นทางจนถึงปลายทาง
2. ประกอบกับจากการประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำให้ทราบว่าการติดตามคนหายไม่ใช่เพียงมุ่งประเด็นไปว่าจะต้องเสียชีวิตและกลายเป็นศพนิรนามเท่านั้น แต่ยังมีโอกาสที่ยังมีชีวิตและกลายเป็นคนนิรนาม ที่อยู่ในการดูแลของ พม. และคนไข้ นิรนามที่อยู่ตามโรงพยาบาลต่าง ๆ
3. ดังนั้น เห็นควรปรับปรุงแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการสนับสนุนการติดตามคนหายและพิสูจน์ศพนิรนาม พ.ศ. 2558 เพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับภารกิจในปัจจุบัน โดยเพิ่มขอบเขตด้านภารกิจของคนนิรนาม ซึ่งจะเป็นการขยายโอกาสในการติดตามคนหายได้มากยิ่งขึ้น โดยกำหนดขั้นตอนการปฏิบัติเกี่ยวกับคนนิรนาม นอกจากนี้ได้ปรับปรุงองค์ประกอบ ค.พ.ศ. โดยกำหนดเพิ่มเติมกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในด้านสิทธิมนุษยชนกับด้านสังคมสงเคราะห์ เพื่อให้ครอบคลุมกับการทำงานในเรื่องคนนิรนาม รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของ ค.พ.ศ. และสำนักงานเลขานุการของ ค.พ.ศ. ให้ครอบคลุมถึงภารกิจเกี่ยวกับคนนิรนาม ตลอดจนกำหนดให้มีการจัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับคนนิรนามและประสานข้อมูลดังกล่าวให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบต่อไป
4. ในการประชุม ค.พ.ศ. วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม 2562 โดยมีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ที่ประชุมมีมติให้ฝ่ายเลขานุการของ ค.พ.ศ. ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการสนับสนุนการปฏิบัติงานติดตามคนหายและพิสูจน์ศพนิรนาม พ.ศ. 2558 เพื่อให้ครอบคลุมการปฏิบัติงานด้านคนนิรนาม ซึ่งบุคคลเหล่านี้อยู่ภายใต้การดูแลของ สธ. และ พม. และบูรณาการความร่วมมือการปฏิบัติงานของทุกหน่วยงานให้มีประสิทธิภาพ ประกอบกับในการประชุม ค.พ.ศ. วันอังคารที่ 11 สิงหาคม 2563 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการสนับสนุนการปฏิบัติงานติดตามคนหาย พิสูจน์คนนิรนามและศพนิรนาม พ.ศ. .... และให้เสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
จึงได้เสนอร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการสนับสนุนการปฏิบัติงานติดตามคนหาย พิสูจน์คนนิรนามและศพนิรนาม พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
1. ให้ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการสนับสนุนการปฏิบัติงานติดตามคนหายและพิสูจน์ศพนิรนาม พ.ศ. 2558
2. กำหนดบทนิยามคำว่า “คนหาย” “คนนิรนาม” และ “ศพนิรนาม”
3. กำหนดให้มีคณะกรรมการพัฒนาระบบการติดตามคนหาย พิสูจน์คนนิรนามและศพนิรนาม เรียกโดยย่อว่า “ ค.พ.ศ.” มีรองนายกรัฐมนตรีซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธานกรรมการ กรรมการโดยตำแหน่งจำนวน 11 คน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีผลงานและประสบการณ์ด้านนิติเวชศาสตร์ ด้านการพิสูจน์หลักฐาน ด้านกฎหมาย ด้านสิทธิมนุษยชน ด้านสังคมสงเคราะห์ที่เกี่ยวข้อง จำนวนไม่เกิน 5 คน ทั้งนี้ ให้ ค.พ.ศ. มีอำนาจหน้าที่จัดทำนโยบาย แผนแม่บทและแผนปฏิบัติการระดับชาติด้านคนหาย คนนิรนามและศพนิรนามเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ศึกษาและวิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นในการดำเนินการติดตามคนหาย พิสูจน์คนนิรนามและศพนิรนาม ของหน่วยงานของรัฐต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาระบบการติดตามคนหาย พิสูจน์คนนิรนามและศพนิรนาม สนับสนุนและส่งเสริมภาคเอกชนและประชาชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการติดตามคนหาย พิสูจน์คนนิรนามและศพนิรนาม รวมทั้งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อปฏิบัติงานตามที่ ค.พ.ศ. มอบหมาย
4. กำหนดให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ยธ. ทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการ ของ ค.พ.ศ. รวมถึงการให้ความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐ และวิธีปฏิบัติเมื่อหน่วยงานของรัฐได้รับแจ้งว่ามีคนหาย หรือพบคนนิรนาม หรือศพนิรนาม ให้สำนักงานรีบจัดเก็บข้อมูลที่ตรวจพิสูจน์ได้และแจ้งข้อมูลดังกล่าวต่อหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องทราบทันทีเพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
5. กำหนดให้สำนักงานเลขานุการของ ค.พ.ศ. แจ้งข้อมูลที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการเกี่ยวกับคนหาย คนนิรนาม และศพนิรนามแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติทราบด้วย และให้สำนักงานเลขานุการของ ค.พ.ศ. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติประสานงานกันในเรื่องข้อมูลเกี่ยวกับคนหายและศพนิรนาม รวมทั้งให้สำนักงานเลขานุการของ ค.พ.ศ. แจ้งข้อมูลให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาสังคมและภาคเอกชนที่ดำเนินการด้านคนนิรนามทราบด้วยและให้มีการประสานงานกันในเรื่องข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคนนิรนาม
7. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน ในท้องที่ตำบลพรหมนิมิต และตำบลสร้อยทอง อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน ในท้องที่ตำบลพรหมนิมิต และตำบลสร้อยทอง อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ กษ. รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
เป็นการกำหนดเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน เพื่อดำเนินโครงการจัดรูปที่ดิน ในท้องที่ตำบลพรหมนิมิต และตำบลสร้อยทอง อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ อันจะเป็นการส่งเสริมเกษตรกรรมของประเทศให้เจริญก้าวหน้า ส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น และมีมาตรฐานการครองชีพที่สูงขึ้น โดยพัฒนาที่ดินทุกแปลงให้ได้รับประโยชน์จากโครงการชลประทานและการสาธารณูปโภคให้ทั่วถึง
ทั้งนี้ กษ. เสนอว่า
1. เนื่องจากพื้นที่โครงการจัดรูปที่ดินหลายพื้นที่ที่มีประกาศกำหนดเขตท้องที่ที่จะสำรวจเป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดินตามพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2517 ยังมิได้ประกาศให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน ต่อมาเมื่อมีการประกาศใช้บังคับพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2558 การดำเนินการในขั้นตอนต่อไปจึงต้องประกาศให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดินตามบทเฉพาะกาลในมาตรา 69 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งบัญญัติให้บรรดาการดำเนินการใดเกี่ยวกับการจัดรูปที่ดินซึ่งได้กระทำไปแล้วในขั้นตอนใดในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้เป็นอันใช้ได้ แต่การดำเนินการในขั้นตอนต่อไปให้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ ในกรณีที่มีปัญหาไม่อาจดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ในเรื่องใด ให้การดำเนินการต่อไปในเรื่องนั้นเป็นไปตามที่คณะกรรมการจัดรูปที่ดินกลางกำหนด
2. อย่างไรก็ตาม การประกาศเขตโครงการจัดรูปที่ดินดังกล่าวจะไม่มีผลบังคับทางกฎหมายกับที่สาธารณะต่าง ๆ ในเขตโครงการจัดรูปที่ดินที่จะนำมาจัดรูปที่ดิน เนื่องจากไม่มีกฎหมายรองรับให้สามารถนำที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินมาใช้เพื่อการจัดรูปที่ดินได้ เพราะยังไม่มีการตราเป็นพระราชกฤษฎีกาที่มีผลเป็นการถอนสภาพการเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน โดยมิต้องดำเนินการถอนสภาพตามประมวลกฎหมายที่ดิน และให้ที่ดินนั้นตกเป็นของกรมชลประทานเพื่อนำมาใช้ในการจัดรูปที่ดินแต่อย่างใด
3. คณะอนุกรรมการพิจารณาการปฏิบัติเกี่ยวกับกฎหมาย ในการประชุม ครั้งที่ 10/2559 วันที่ 19 สิงหาคม 2559 มีมติเห็นชอบให้พื้นที่เขตสำรวจจัดรูปที่ดินตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงมหาดไทย ตามพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2517 ที่ยังไม่ได้กำหนดให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดินให้ดำเนินการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินให้เป็นเขตสำรวจการจัดรูปที่ดินตามมาตรา 32 และประกาศให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดินต่อไปตามพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2558 เพื่อให้สามารถนำที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินในเขตสำรวจการจัดรูปที่ดินมาใช้เพื่อการจัดรูปที่ดิน โดยมิต้องมีการถอนสภาพตามประมวลกฎหมายที่ดิน ตามมาตรา 34 (1) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว
4. คณะกรรมการจัดรูปที่ดินกลาง ในการประชุม ครั้งที่ 2/2559 วันที่ 8 ธันวาคม 2559 ได้มีมติรับทราบและเห็นชอบให้กำหนดพื้นที่ที่ทำเกษตรกรรมในท้องที่ตำบลพรหมนิมิต และตำบลสร้อยทอง อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน และสมควรกำหนดเขตสำรวจการจัดรูปที่ดินในท้องที่ดังกล่าว เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งปฏิบัติงานร่วมกับพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปทำการสำรวจพื้นที่ที่จะจัดทำเป็นโครงการจัดรูปที่ดิน และให้ดำเนินการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตสำรวจการจัดรูปที่ดินและให้ประกาศเป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดินต่อไป ตามพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2558
จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน ในท้องที่ตำบลพรหมนิมิต และตำบลสร้อยทอง อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ พ.ศ. …. มาเพื่อดำเนินการ
8. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการให้เช่า เช่าซื้อ หรือโอนที่ดิน หรือทรัพย์สินอื่นของกรมชลประทานเพื่อใช้ในการทำเกษตรกรรม พ.ศ. …. และร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินสำหรับแปลงที่ดินในเขตโครงการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. …. รวม 2 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการให้เช่า เช่าซื้อ หรือโอนที่ดิน หรือทรัพย์สินอื่นของกรมชลประทานเพื่อใช้ในการทำเกษตรกรรม พ.ศ. …. และร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินสำหรับแปลงที่ดินในเขตโครงการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. …. รวม 2 ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) ตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ และให้ กษ. รับความเห็นของ สคก. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการให้เช่า เช่าซื้อ หรือโอนที่ดิน หรือทรัพย์สินอื่นของกรมชลประทานเพื่อใช้ในการทำเกษตรกรรม พ.ศ. …. มีสาระสำคัญ ดังนี้
1.1 กำหนดให้สำนักงานจัดรูปที่ดินจังหวัดเสนอคณะกรรมการจัดรูปที่ดินจังหวัดพิจารณาว่า ในเขตโครงการจัดรูปที่ดินใดที่มีที่ดินของกรมชลประทานตั้งอยู่ สมควรจัดที่ดินแปลงใดให้เช่าหรือเช่าซื้อ เพื่อใช้ในการทำเกษตรกรรม และประกาศให้ราษฎรที่ประสงค์จะเช่าหรือเช่าซื้อที่ดินแปลงนั้นมายื่นคำขอภายใน 30 วัน นับแต่วันปิดประกาศ
1.2 กำหนดคุณสมบัติของผู้เช่าหรือผู้เช่าซื้อ เช่น เป็นบุคคลธรรมดาซึ่งมีสัญชาติไทยโดยการเกิด ไม่มีที่ดินประกอบเกษตรกรรมเป็นของตนเอง หรือมีที่ดินเพียงเล็กน้อยไม่เพียงพอแก่การครองชีพ
1.3 กรณีที่ผู้มีสิทธิเช่าหรือเช่าซื้อรายใดไม่ไปทำสัญญาหรือไม่เข้าทำประโยชน์ในที่ดินภายในระยะเวลาที่กำหนดและไม่แจ้งเหตุขัดข้อง หรือในกรณีที่หัวหน้าสำนักงานจัดรูปที่ดินจังหวัดพิจารณาเห็นว่าผู้มีสิทธิเช่าหรือเช่าซื้อรายใดมีเหตุขัดข้องให้แจ้งผู้มีสิทธิเช่าหรือเช่าซื้อ ไปทำสัญญาหรือเข้าทำประโยชน์ในที่ดินภายในระยะเวลาที่กำหนด หากผู้มีสิทธิเช่าหรือเช่าซื้อไม่ไปทำสัญญาหรือไม่เข้าทำประโยชน์ในที่ดินภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้ถือว่าผู้นั้นสละสิทธิในการทำสัญญา หรือให้ถือว่าสัญญาเช่าหรือเช่าซื้อเป็นอันสิ้นสุดลง
2. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินสำหรับแปลงที่ดินในเขตโครงการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. …. มีสาระสำคัญ ดังนี้
2.1 กำหนดให้หัวหน้าสำนักงานจัดรูปที่ดินจังหวัดแจ้งขอดำเนินการออกโฉนดที่ดินต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดหรือเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสาขาแห่งท้องที่ซึ่งที่ดินนั้นตั้งอยู่ พร้อมทั้งส่งมอบหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินเดิมและเอกสารหรือหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือแผนผังการจัดแปลงที่ดินใหม่พร้อมกับรายชื่อเจ้าของที่ดินเดิมและผู้มีสิทธิได้รับที่ดินในการจัดรูปที่ดินแต่ละแปลง
2.2 ก่อนออกโฉนดที่ดิน ให้เจ้าของที่ดินที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนกรมชลประทาน และหัวหน้าสำนักงานจัดรูปที่ดินจังหวัด ร่วมนำทำการรังวัดปักหมายเลขเขตที่ดิน
2.3 ให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้มีรายชื่อตามหลักฐานที่หัวหน้าสำนักงานจัดรูปที่ดินจังหวัดแจ้ง และให้นำประมวลกฎหมายที่ดินยกเว้นการประกาศแจกโฉนด มาใช้บังคับโดยอนุโลม เมื่อออกโฉนดที่ดินแล้ว ให้เจ้าพนักงานที่ดินมอบโฉนดที่ดินทั้งหมดให้แก่หัวหน้าสำนักงานจัดรูปที่ดินจังหวัดไปดำเนินการต่อไป
เศรษฐกิจ - สังคม
9. เรื่อง (ร่าง) นโยบายแห่งชาติด้านยาและแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบยาแห่งชาติ พ.ศ. 2563 – 2565
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ (ร่าง) นโยบายแห่งชาติด้านยาและแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบยาแห่งชาติ พ.ศ. 2563 – 2565 ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ และให้ สธ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง (กค.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) สำนักงบประมาณ (สงป.) และข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป รวมทั้งให้ สธ. ดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้
1. เร่งประสาน อว. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการกรอบแนวทางการดำเนินงานและการจัดลำดับความสำคัญของแผนงานและโครงการต่าง ๆ ภายใต้ (ร่าง) นโยบายแห่งชาติด้านยาฯ พ.ศ. 2563 – 2565 กับ (ร่าง) ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564 – 2569 ให้มีความสอดคล้อง เชื่อมโยง ไม่ซ้ำซ้อน ทั้งในระดับนโยบายและการปฏิบัติ รวมทั้งกำหนดตัวชี้วัดที่มีเป้าหมายร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลเป็นรูปธรรมได้โดยเร็ว
2. ให้ อย. ให้ความสำคัญกับการศึกษาพฤติกรรมการจ่ายยาของสถานพยาบาลและการใช้ยาของประชาชนแต่ละกลุ่มในระบบบริการปฐมภูมิ เพื่อนำข้อมูลไปประกอบการกำหนดแนวนโยบายการพัฒนาระบบและกลไกเพื่อให้เกิดการให้ยาอย่างสมเหตุผล การเข้าถึงยาจำเป็นของประชาชน และระบบการควบคุมการกระจายยาภายใต้ (ร่าง) นโยบายแห่งชาติด้านยาฯ พ.ศ. 2563 - 2565 ที่ชัดเจนและสอดคล้องกับความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงอย่างรอบด้าน โดยคำนึงถึงการพัฒนาทัศนคติและค่านิยมด้านสุขภาพและการส่งเสริมการใช้บริการสุขภาพอย่างชาญฉลาดด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
สธ. รายงานว่า
1. ผลการดำเนินการของนโยบายแห่งชาติด้านยา พ.ศ. 2554 และยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบยาแห่งชาติ พ.ศ. 2555 - 2559 ส่วนใหญ่สามารถบรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายตัวชี้วัด อาทิ จำนวนรายการยาจำเป็นที่มีปัญหาการเข้าถึงได้รับการแก้ไขอย่างน้อย 20 รายการ จำนวนรายการยาสามัญรายการใหม่ที่ผลิตในประเทศอย่างน้อย 30 รายการ ร้อยละของการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่สมเหตุผลในโรคเป้าหมายลดลง อย่างน้อยร้อยละ 50 สัดส่วนมูลค่าการบริโภคยาสามัญที่ผลิตในประเทศเมื่อเทียบกับมูลค่ายานำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานบางส่วนยังไม่บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายตัวชี้วัด ทั้งนี้ เนื่องมาจากปัจจัยหลายด้าน ได้แก่ จำนวนแผนงานโครงการที่มีจำนวนมาก ข้อจำกัดด้านทรัพยากรทั้งบุคลากร งบประมาณ และยังขาดวิธีการติดตามประเมินผลที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ไม่สามารถทราบความก้าวหน้าและปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงาน รวมทั้งไม่สามารถปรับปรุงแก้ไขอย่างเหมาะสมได้
2. นโยบายแห่งชาติด้านยา พ.ศ. 2554 และยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบยาแห่งชาติ พ.ศ. 2555 - 2559 สิ้นสุดในปี 2559 จึงจำเป็นต้องเสนอ (ร่าง) นโยบายแห่งชาติด้านยาและแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบยาแห่งชาติฉบับใหม่ เพื่อให้การพัฒนาระบบยามีความต่อเนื่อง สอดคล้องกับบริบทของประเทศและสถานการณ์ของระบบยาในปัจจุบัน รวมทั้งเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถรับไปจัดทำแผนปฏิบัติการและแผนงบประมาณรองรับนโยบายดังกล่าวได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
3. คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2563 มีมติเห็นชอบ (ร่าง) นโยบายแห่งชาติด้านยาฯ พ.ศ. 2563 - 25651และให้ สธ. เสนอ (ร่าง) นโยบายแห่งชาติด้านยาฯ พ.ศ. 2563 - 2565 ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เพื่อพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนแนวทางการเสนอแผนเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2560) ต่อไป
4. สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในคราวประชุม ครั้งที่ 10/2563 เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2563 มีมติเห็นชอบในหลักการของ (ร่าง) นโยบายแห่งชาติด้านยาฯ พ.ศ. 2563 - 2565 โดยมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ (1) การกำหนดวิสัยทัศน์ ควรพิจารณากำหนดวิสัยทัศน์ให้ครอบคลุมถึงประเด็นการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในด้านยา (2) ประเด็นที่ควรพิจารณาให้ความสำคัญเพิ่มเติม เช่น การส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมยาเพื่อให้มีการพึ่งพาตนเอง การส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล การสนับสนุนการวิจัยพัฒนายาสมุนไพร เป็นต้น และ (3) การกำหนดกลไกขับเคลื่อน ควรให้ความสำคัญกับการบูรณาการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การขับเคลื่อนแผนไปสู่การปฏิบัติเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่ง สธ. ได้ดำเนินการปรับปรุงรายละเอียดดังกล่าวแล้ว
5. (ร่าง) นโยบายแห่งชาติด้านยาฯ พ.ศ. 2563 - 2565 สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ และด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ ซึ่งถ่ายทอดเป็นแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติประเด็นที่ 4 อุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต ประเด็นที่ 13 การเสริมสร้างให้คนไทยมีสุขภาวะที่ดี ประเด็นที่ 20 การบริการประชาชนและประสิทธิภาพภาครัฐ และประเด็นที่ 23 การวิจัยและพัฒนานวัตกรรม สาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
วิสัยทัศน์ (ภายใน 20 ปี)
“ประชาชนเข้าถึงยาจำเป็นที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง ใช้ยาสมเหตุผล ประเทศมีความมั่นคงด้านยาอย่างยั่งยืน”
พันธกิจ อาทิ
ส่งเสริมอุตสาหกรรมผลิตยาในประเทศเพื่อความมั่นคงทางยาสร้างระบบและกลไกดูแลราคายาให้เป็นธรรม
· สร้างมาตรการส่งเสริมสมดุลระหว่างการเข้าถึงยากับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญหา
· สร้างกลไกให้เกิดการนำนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบยาแห่งชาติไปสู่การปฏิบัติ
เป้าประสงค์
· ระบบควบคุมยามีประสิทธิภาพ มีธรรมาภิบาล เพื่อประกันคุณภาพมาตรฐานผ่านผู้ผลิตและองค์กรควบคุมยาที่มีประสิทธิภาพ
· ประเทศมีความมั่นคงด้านยา สามารถผลิตและจัดหายาจำเป็นไว้ใช้ได้อย่างต่อเนื่องและทันท่วงทีทั้งในภาวะปกติและฉุกเฉิน
· ราคายาในประเทศมีความสอดคล้องกับค่าครองชีพและความสามารถในการจ่ายของประชาชนและภาครัฐ
เป้าหมายตัวชี้วัดโดยสังเขป (จากทั้งหมด 12 เป้าหมายตัวชี้วัด)
· หน่วยงานที่เกี่ยวข้องผ่านการประเมินศักยภาพจากองค์กรระดับสากลอย่างต่อเนื่องจนถึงปี พ.ศ. 2565
· มูลค่าการผลิตยาชีววัตถุกลุ่มเป้าหมายเพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 10
· จำนวนผลิตภัณฑ์ยานวัตกรรมหรือส่งออกได้รับการอนุญาต อย่างน้อย 30 รายการ/ปี
ยุทธศาสตร์
(1) พัฒนาระบบควบคุมยาให้มีประสิทธิภาพระดับสากล
· ปฏิรูประบบงานโครงสร้างและการบริหารจัดการในการขึ้นทะเบียนตำรับยาให้มีประสิทธิภาพ
· ประกันคุณภาพยาในการจัดซื้อ จัดหา และขนส่งยาตลอดห่วงโซ่อุปทาน
· พัฒนาระบบการควบคุมการกระจายยา
(2) ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาการผลิตยาสมุนไพร และชีววัตถุเพื่อความมั่นคงทางยา และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
· กำหนดให้ทะเบียนตำรับยาแผนปัจจุบันต้องผลิตตามมาตรฐาน PIC/S GMP
· สนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานของการวิจัยและพัฒนายาและสร้างเสริมศักยภาพของบุคลากรให้พร้อมต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมยา
· สร้างระบบและกลไกในการนำผลงานวิจัยมาต่อยอดเพื่อให้เกิดประโยชน์เชิงพาณิชย์
(3) พัฒนาระบบและกลไกที่มีประสิทธิภาพเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงยาจำเป็นของประชาชน
· สร้างเสริมความเข้มแข็งภาคประชาชนเพื่อการเข้าถึงยา
· ส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากกฎหมายเพื่อให้เกิดการเข้าถึงยา อาทิ กฎหมายแข่งขันทางการค้า ข้อตกลงระหว่างประเทศ
· พัฒนากลไกให้มียาจำเป็น และแก้ไขปัญหาการขาดแคลนยา
(4) พัฒนาระบบและกลไกเพื่อให้เกิดการใช้ยาอย่างสมเหตุผล
· พัฒนาระบบคุณภาพเพื่อการใช้ยาอย่างสมเหตุผลของสถานพยาบาลชุมชน และภาคเกษตรกรรม
· พัฒนาการศึกษาและการให้ความรู้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาและประชาชน
· ส่งเสริมการปฏิบัติตามเกณฑ์จริยธรรมว่าด้วยการส่งเสริมการขายยา และการติดตามประเมินผล
(5) สร้างเสริมกลไกการประสานเชื่อมโยงนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบยาแห่งชาติ
· พัฒนาหน่วยงานที่มีศักยภาพในการเชื่อมโยงและขับเคลื่อนนโยบายฯ
กลไกการติดตามและประเมินผล
· กำหนดให้มีการรายงานผลการดำเนินงานในการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ 3 – 4 ครั้ง/ปี
______________________
1ในการประชุมครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2562 คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติมีมติเห็นชอบให้ปรับระยะเวลาของ (ร่าง) นโยบายแห่งชาติด้านยาฯ ฉบับที่เสนอในครั้งนี้ จาก พ.ศ. 2560 - 2564เป็น พ.ศ. 2563 - 2565 เพื่อให้สอดคล้องตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติในช่วงแรก ซึ่งจะสิ้นสุดใน พ.ศ. 2565 โดยยังคงการดำเนินการและตัวชี้วัดเดิม จำนวน 7 ข้อ ทั้งนี้ ได้เพิ่มตัวชี้วัดใหม่ให้สอดคล้องกับเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ได้แก่
(1) จำนวนรายการยาจำเป็นที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ อย่างน้อย 20 รายการ/ปี
(2) ร้อยละของประชากรไทยที่มีความรอบรู้ด้านการใช้ยาสมเหตุผลตามเกณฑ์ที่กำหนด อย่างน้อยร้อยละ 50
(3) ร้อยละมูลค่าการผลิตยาชีววัตถุกลุ่มเป้าหมายเพิ่มขึ้น อย่างน้อยร้อยละ 10
(4) มีแนวทางประกอบการพิจารณาผลิตภัณฑ์ยาที่เป็นผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูงครบทุกประเภท
(5) จำนวนผลิตภัณฑ์ยานวัตกรรมหรือส่งออกได้รับการอนุญาต อย่างน้อย 30 รายการ/ปี
10. เรื่อง การกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2563/2564
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2563/2564 ทั้ง 9 เขตคำนวณราคาอ้อย ในอัตราตันอ้อยละไม่เกิน 920.00 บาท ณ ระดับความหวานที่ 10 ซี.ซี.เอส.* หรือเท่ากับร้อยละ 98.17 ของประมาณการราคาอ้อยเฉลี่ยทั่วประเทศ 937.19 บาทต่อตันอ้อย
______________
* ซี.ซี.เอส. (Commercial Cane Sugar : CCS) เป็นระบบการคิดคุณภาพของอ้อย ซึ่งได้นำแบบอย่างมาจากระบบการซื้อขายอ้อยของประเทศออสเตรเลีย และได้เริ่มใช้ในประเทศไทยตั้งแต่ฤดูการผลิตปี 2536/2537 เป็นต้นมา โดยคำว่า ซี.ซี.เอส. หมายถึง ปริมาณของน้ำตาลที่มีอยู่ในอ้อยซึ่งสามารถหีบสกัดออกมาได้เป็นน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ ส่วนอ้อย ณ ระดับความหวานที่ 10 ซี.ซี.เอส. หมายถึง เมื่อนำอ้อยมาผ่านกระบวนการผลิต จะได้น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ร้อยละ 10 ดังนั้น อ้อย 1 ตัน หรือ 1,000 กิโลกรัม จะได้น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ 100 กิโลกรัม
สาระสำคัญของเรื่อง
อก. รายงานว่า
1. เรื่องที่เสนอมานี้เป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 มาตรา 49 มาตรา 50 มาตรา 51 มาตรา 52 และมาตรา 53 ที่บัญญัติให้ก่อนเริ่มฤดูการผลิตน้ำตาลทราย ให้คณะกรรมการบริหารจัดทำประมาณการรายได้จากการจำหน่ายน้ำตาลทรายที่จะผลิตในฤดูนั้น เพื่อกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ซึ่งจะต้องไม่น้อยกว่าร้อยละแปดสิบของประมาณการรายได้ แล้วแจ้งให้สถาบันชาวไร่อ้อยและสมาคมโรงงานทราบ และจัดให้มีการประชุมผู้แทนสถาบันชาวไร่อ้อยและผู้แทนสมาคมโรงงานเพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อคัดค้านจากนั้นให้สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายเสนอประมาณการรายได้ ราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น และผลการประชุมผู้แทนสถาบันชาวไร่อ้อยและผู้แทนสมาคมโรงงานดังกล่าวต่อคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายเพื่อพิจารณาแล้วให้คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา โดยเมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้นแล้ว ให้สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายประกาศในราชกิจจานุเบกษา
2. คณะกรรมการบริหารในคราวประชุมครั้งที่ 14/2563 เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2563 ได้พิจารณาการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2569/2564 แล้วมีมติ ดังนี้
2.1 เห็นชอบองค์ประกอบการคำนวณราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2563/2564
2.2 กำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2563/2564 ทั้ง 9 เขตคำนวณราคาอ้อย เป็นราคาเดียวทั่วประเทศ ดังนี้
2.2.1 ราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิตปี 2563/2564 อัตราตันอ้อยละ 900.00 บาท ณ ระดับความหวานที่ 10 ซี.ซี.เอส. หรือเท่ากับร้อยละ 96.54 ของประมาณการราคาอ้อยเฉลี่ยทั่วประเทศ 932.29 บาทต่อตันอ้อย และกำหนดอัตราขึ้น/ลง ของราคาอ้อยเท่ากับ 54.00 บาท ต่อ 1 หน่วย ซี.ซี.เอส.
2.2.2 ผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2563/2564 เท่ากับ 385.71 บาทต่อตันอ้อย
3. สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายได้จัดให้มีการประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อคัดค้านจากสถาบันชาวไร่อ้อยและสมาคมโรงงานน้ำตาลทรายต่อราคาอ้อยขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2563/2564 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2563 โดยสถาบันชาวไร่อ้อยได้เสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2563/2564 ดังนี้
3.1 เห็นควรประกาศราคาอ้อยขั้นต้นในอัตราตันอ้อยละ 950.00 บาท ณ ระดับความหวานที่ 10 ซี.ซี.เอส. เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนการผลิต เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการปลูกอ้อยมีต้นทุนสูง ประกอบกับค่าครองชีพในปัจจุบันของชาวไร่อ้อยสูงขึ้น
3.2 เห็นควรปรับราคากากน้ำตาลในประเทศและส่งออก เนื่องจากสภาวะปัจจุบันคาคว่ากากน้ำตาลจะมีปริมาณน้อยส่งผลให้ราคาสูงขึ้น ราคากากน้ำตาลจึงสามารถปรับเพิ่มได้
3.3 ราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้นที่จะประกาศยังคงต่ำกว่าต้นทุนการผลิต จึงเห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายเสนอมาตรการให้ความช่วยเหลือชาวไร่อ้อยจากรัฐบาล เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ชาวไร่อ้อยให้ได้รับราคาอ้อยที่คุ้มกับต้นทุนการผลิตต่อไป
4. คณะกรรมการบริหารในคราวประชุมครั้งที่ 15/2563 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2563 ได้พิจารณาการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2563/2564 แล้วมีมติ ดังนี้
4.1 เห็นชอบองค์ประกอบการคำนวณราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2563/2564 โดยปรับองค์ประกอบการคำนวณในส่วนของราคากากน้ำตาล จากเดิมที่ 3,700 บาทต่อตัน เป็น 3,900 บาทต่อตัน
4.2 กำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2563/2564 ทั้ง 9 เขตคำนวณราคาอ้อย เป็นราคาเดียวทั่วประเทศ ดังนี้
4.2.1 ราคาอ้อยขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2563/2564 ในอัตราตันอ้อยละ 920.00 บาท ณ ระดับความหวานที่ 10 ซี.ซี.เอส. หรือเท่ากับร้อยละ 98.17 ของประมาณการราคาอ้อยเฉลี่ยทั่วประเทศ 937.19 บาทต่อตันอ้อย และกำหนดอัตราขึ้น/ลงของราคาอ้อยเท่ากับ 55.20 บาท ต่อ 1 หน่วย ซี.ซี.เอส.
4.2.2 ผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2563/2564 เท่ากับ 394.29 บาทต่อตันอ้อย
4.3 กำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือชาวไร่อ้อย โดยขอรับการสนับสนุนความช่วยเหลือจากรัฐบาลเพื่อให้ชาวไร่อ้อยได้รับราคาอ้อยที่คุ้มกับต้นทุนการผลิตต่อไป
5. คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายในคราวประชุมครั้งที่ 15/2563 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2563 ได้พิจารณาการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2563/2564 ตามที่คณะกรรมการบริหารเสนอ โดยได้มีการรับฟังความคิดเห็นและข้อคัดค้านของผู้แทนสถาบันชาวไร่อ้อยและผู้แทนโรงงานแล้ว มีมติ ดังนี้
5.1 เห็นชอบองค์ประกอบการคำนวณราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2563/2564 ตามที่คณะกรรมการบริหารเสนอ
5.2 เห็นชอบการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้นฤดูการผลิตปี 2563/2564 ตามข้อ 4.2
5.3 เห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายนำเสนอ อก. ขอรับการสนับสนุนความช่วยเหลือจากรัฐบาลเพื่อให้ชาวไร่อ้อยได้รับราคาอ้อยที่คุ้มกับต้นทุนการผลิตต่อไป [จากการประสาน อก. อย่างไม่เป็นทางการ ได้รับข้อมูลว่าความช่วยเหลือดังกล่าวอาจมีรูปแบบการดำเนินการในลักษณะเดียวกับการให้เงินช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยเพื่อซื้อปัจจัยการผลิตที่ได้มีการดำเนินการในฤดูการผลิตปี 2562/2563
6. ประเด็นข้อพิพาท เรื่อง น้ำตาลภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ระหว่างประเทศไทยกับบราซิลมิได้มีประเด็นเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการในการคำนวณราคาอ้อยทั้งขั้นต้นและขั้นสุดท้าย ดังนั้น การกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2563/2564 จึงไม่ขัดกับข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศแต่อย่างใด แต่เป็นการรักษาประโยชน์ให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อย รวมทั้งเป็นการสร้างหลักประกันอย่างพอเพียงและเหมาะสมให้กับอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของไทย
11. เรื่อง การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2564 ครั้งที่ 1
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ (คณะกรรมการฯ) เสนอ ดังนี้
1. ข้อเสนอของคณะกรรมการฯ ตามมติที่ประชุม ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2564 ดังนี้
1.1 การปรับปรุงแผนการก่อหนี้ใหม่ ที่ปรับเพิ่มขึ้นสุทธิ 74,394.17 ล้านบาท จากเดิม 1,465,438.61 ล้านบาท เป็น 1,539,832.78 ล้านบาท การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้เดิม ที่ปรับเพิ่มขึ้นสุทธิ 124,534.37 ล้านบาท จากเดิม 1,279,446.80 ล้านบาท เป็น 1,403,981.17 ล้านบาท และการปรับปรุงแผนการชำระหนี้ ที่ปรับเพิ่มขึ้นสุทธิ 505.88 ล้านบาท จากเดิม 387,354.84 ล้านบาท เป็น 387,860.72 ล้านบาท
1.2 การบรรจุโครงการพัฒนา โครงการ และรายการเพิ่มเติมในการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ (แผนฯ) ประจำปีงบประมาณ 2564 ครั้งที่ 1 จำนวน 18 โครงการ/รายการ
1.3 ให้รัฐวิสาหกิจ จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ที่มีสัดส่วนความสามารถในการหารายได้เทียบกับภาระหนี้ของกิจการ (Debt Service Coverage Ratio: DSCR) ต่ำกว่า 1 สามารถกู้เงินและบริหารหนี้ภายใต้แผนฯ ประจำปีงบประมาณ 2564 ปรับปรุงครั้งที่ 1 โดยให้รัฐวิสาหกิจทั้ง 2 แห่งดังกล่าวและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะกรรมการฯ ไปดำเนินการด้วย
2. การกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และตามมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนด ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 (พระราชกำหนดกู้เงินโควิด-19ฯ) รวมทั้งอนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อลงทุนในโครงการพัฒนา และการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ภายใต้กรอบวงเงินของแผนฯ ประจำปีงบประมาณ 2564 ปรับปรุงครั้งที่ 1 และให้กระทรวงการคลัง (กค.) เป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เองก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ (คณะกรรมการฯ) ในคราวการประชุมครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2564 มีมติเห็นชอบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ (แผนฯ) ประจำปีงบประมาณ 2564 ครั้งที่ 1 สรุปได้ ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท
รายการ |
วงเงินเดิม |
วงเงินปรับปรุงครั้งที่ 1 |
เปลี่ยนแปลง |
1. แผนการก่อหนี้ใหม่ |
1,465,438.61 |
1,539,832.78 |
74,394.17 |
1.1 รัฐบาล |
1,346,170.52 |
1,412,858.44 |
66,687.92 |
1.2 รัฐวิสาหกิจ |
117,460.05 |
125,166.30 |
7,706.25 |
2. แผนการบริหารหนี้เดิม |
1,279,446.80 |
1,403,981.17 |
124,534.37 |
2.1 รัฐบาล |
1,140,580.79 |
1,259,049.84 |
118,469.05 |
2.2 รัฐวิสาหกิจ |
137,366.01 |
143,431.33 |
6,065.32 |
3. แผนการชำระหนี้ |
387,354.84 |
387,860.72 |
505.88 |
3.1 แผนการชำระหนี้ของรัฐบาลและหนี้หน่วยงานของรัฐจากงบประมาณรายจ่าย |
293,454.32 |
293,896.19 |
441.87 |
3.2 แผนการชำระหนี้จากแหล่งอื่น ๆ |
93,900.52 |
93,964.53 |
64.01 |
จากการปรับปรุงแผนฯ ประจำปีงบประมาณ 2564 ครั้งที่ 1 ส่งผลให้หนี้สาธารณะรวม ประจำปีงบประมาณ 2564 ปรับเพิ่มขึ้น โดยสาระสำคัญของการปรับปรุงแผนฯ ในครั้งนี้ คือ (1) การกู้เงินเพื่อดำเนินแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชี้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 (พระราชกำหนดกู้เงินโควิด-19ฯ) จำนวน 76,239.00 ล้านบาท (2) การปรับเพิ่มวงเงินปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 120,000 ล้านบาท เนื่องจากรายจ่ายสูงกว่ารายได้ (3) การกู้เงินเพื่อสนับสนุนการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานของหน่วยงานภาครัฐและโครงการพัฒนาของรัฐวิสาหกิจ เช่น โครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ช่วงบางซื่อ - รังสิต ของการรถไฟแห่งประเทศไทย โครงการขยายระบบไฟฟ้า ระยะที่ 12 ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เป็นต้น รวมทั้งในครั้งนี้คณะกรรมการฯ ได้ขอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติโครงการพัฒนา โครงการ และรายการที่จะขอบรรจุเพิ่มเติมและต้องเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี จำนวน 18 โครงการหรือรายการ เช่น โครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ช่วงบางซื่อ - รังสิต ของการรถไฟแห่งประเทศไทย โครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันตกและภาคใต้เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางของการยางแห่งประเทศไทย เป็นต้น และ (4) การชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของรัฐวิสาหกิจ 2 แห่ง ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และสำนักงานกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายจำนวน 441.87 ล้านบาท
2. ในแผนฯ ประจำปีงบประมาณ 2564 ปรับปรุงครั้งที่ 1 มีรัฐวิสาหกิจ จำนวน 2 แห่ง ที่มีสัดส่วนความสามารถในการหารายได้เทียบกับภาระหนี้ของกิจการ (Debt Service Coverage Ratio: DSCR) นับแต่มีการก่อหนี้ในอัตราไม่ต่ำกว่า 1 เท่า ที่ต้องเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี ตามระเบียบคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะว่าด้วยหลักเกณฑ์การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2561 ข้อ 12 ได้แก่ การยางแห่งประเทศไทยและการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้พิจารณาแล้วเห็นควรเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้รัฐวิสาหกิจทั้ง 2 แห่ง สามารถกู้เงินใหม่และบริหารหนี้เดิม ภายใต้แผนฯ ประจำปีงบประมาณ 2564 ปรับปรุงครั้งที่ 1 โดยให้รัฐวิสาหกิจทั้ง 2 แห่ง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะกรรมการฯ ไปดำเนินการด้วย
3. การจัดทำแผนฯ ประจำปีงบประมาณ 2564 ปรับปรุงครั้งที่ 1 ได้จัดทำขึ้นภายใต้กรอบของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พระราชกำหนดกู้เงินโควิด-19ฯ พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะว่าด้วยหลักเกณฑ์การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2561 โดย กค. คาดว่าระดับหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564 อยู่ที่ร้อยละ 56.74 (กรอบไม่เกินร้อยละ 60) รวมทั้งได้จัดทำประมาณการหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศในช่วงปีงบประมาณ 2565 - 2568 อยู่ระหว่างร้อยละ 56.74 - 59.66 ซึ่งยังอยู่ภายใต้สัดส่วนที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนดที่ระดับร้อยละ 60
4. ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาแล้วเห็นว่า (1) การพิจารณาเตรียมความพร้อมในการจัดหาแหล่งเงินโดยเฉพาะเงินกู้ให้เพียงพอทั้งในภาวะปกติและภายใต้สถานการณ์ต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต (Scenario Analysis) เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การดำเนินมาตรการของภาครัฐมีความต่อเนื่อง เพียงพอ และทันการณ์ และ (2) รัฐบาลควรติดตามและเร่งรัดให้หน่วยงานต่าง ๆ เบิกจ่ายงบประมาณอย่างต่อเนื่องและเป็นไปตามแผนการกู้เงิน โดยเฉพาะโครงการลงทุนที่มีความล่าช้า รวมถึงเร่งรัดการอนุมัติโครงการและการเบิกจ่ายเงินกู้ตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมภายใต้พระราชกำหนดกู้เงินโควิด-19ฯ
12. เรื่อง รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์กรณีถูกกระทำทรมานและถูกบังคับให้หายสาบสูญ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์กรณีถูกกระทำทรมานและถูกบังคับให้หายสาบสูญประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 (เป็นการดำเนินการตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 338/2562 ลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2562 ข้อ 2.5 ที่กำหนดให้คณะกรรมการฯ มีหน้าที่จัดทำรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการฯ เสนอคณะรัฐมนตรีเป็นประจำทุกปี) สรุปผลการดำเนินงานที่สำคัญได้ ดังนี้
1. การดำเนินงานของคณะกรรมการฯ ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการจำนวน 4 คณะ ได้แก่ (1) คณะอนุกรรมการติดตามและตรวจสอบกรณีถูกกระทำทรมานและถูกบังคับให้หายสาบสูญ (2) คณะอนุกรรมการเยียวยากรณีถูกกระทำทรมานและถูกบังคับให้หายสาบสูญ (3) คณะอนุกรรมการป้องกันการกระทำทรมานและบังคับให้หายสาบสูญ และ (4) คณะอนุกรรมการคัดกรองกรณีถูกกระทำทรมานและบังคับให้หายสาบสูญ นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ได้มีมติเห็นชอบให้เชิญผู้แทนคณะทำงานสหประชาชาติว่าด้วยการหายสาบสูญโดยถูกบังคับหรือไม่สมัครใจมาเยือนประเทศไทยอย่างไม่เป็นทางการเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาศักยภาพและองค์ความรู้ในการติดตามบุคคลที่ถูกบังคับให้หายสาบสูญ ภายหลังสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สิ้นสุดลง
2. การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการต่าง ๆ จำนวน 4 คณะ สรุปได้ ดังนี้
คณะอนุกรรมการ |
ผลการดำเนินงานที่สำคัญ |
1) คณะอนุกรรมการติดตามและตรวจสอบกรณีถูกกระทำทรมานและถูกบังคับให้หายสาบสูญ |
- ติดตามและตรวจสอบ รวมทั้งส่งข้อมูลบุคคลตามบัญชีของคณะทำงานสหประชาชาติว่าด้วยการหายสาบสูญโดยถูกบังคับหรือไม่สมัครใจให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เพื่อนำส่งคณะทำงานดังกล่าวเรียบร้อยแล้วจำนวน 67 ราย และอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ จำนวน 8 ราย - ลงพื้นที่เพื่อเข้าพบญาติของผู้ถูกบังคับให้หายสาบสูญ โดยจะดำเนินการให้ครบถ้วนทุกคน ได้แก่ (1) กรณีที่ญาติอยู่ต่างประเทศ จะประสานผ่านทาง กต. (2) กรณีที่ญาติแสดงความประสงค์ไม่ตรงกัน จะดำเนินการติดตามต่อไป (3) กรณีที่ญาติไม่ให้ความร่วมมือ จะจัดทำบันทึกข้อเท็จจริงฝ่ายเดียวพร้อมภาพถ่าย หรือดำเนินการผ่านองค์กรภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องหรือประสานงานผ่านบุคคลที่ญาติไว้วางใจ ทั้งนี้ กรณีที่ไม่พบข้อมูลทายาทจะทำหนังสือสอบถามไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นหลักฐานในการดำเนินงาน และ (4) กรณีมีการร้องเรียนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ที่ไปพบครอบครัวบุคคลผู้ถูกบังคับให้หายสาบสูญเพื่อโน้มน้าวใจให้ถอนหรือยุติการติดตามผู้สูญหาย จะเชิญเจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศหรือภาคประชาสังคมเข้าร่วมลงพื้นที่ในการเข้าพบญาติหรือติดตามผู้สูญหายด้วยเพื่อแสดงถึงความโปร่งใสในการดำเนินงาน |
2) คณะอนุกรรมการเยียวยากรณีถูกกระทำทรมานและถูกบังคับให้หายสาบสูญ |
- พิจารณาเยียวยาให้กับผู้ถูกกระทำทรมานและถูกบังคับให้หายสาบสูญ ได้แก่ ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 (พฤษภาทมิฬ) จำนวน 1 ราย และผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อื่น ๆ จำนวน 5 ราย รวม 6 ราย โดยไม่สามารถเยียวยาเพิ่มเติมได้ เนื่องจากได้รับการเยียวยาจากรัฐบาลแล้ว และบางกรณีไม่เข้าหลักเกณฑ์ เนื่องจากไม่ได้เกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ สำหรับการขอเยียวยาในด้านอื่น ๆ (เช่น การขอที่อยู่อาศัย) ขณะนี้ได้ประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว - ศึกษาแนวทางการช่วยเหลือเยียวยาสำหรับกรณีที่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าบุคคลที่สูญหายเกิดจากการกระทำของผู้ใด โดยไม่ปรากฏพฤติการณ์การสูญหาย และไม่เคยได้รับการเยียวยาจากหน่วยงานใด รวม 2 แนวทาง ได้แก่ (1) การช่วยเหลือผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยอาศัยมาตรา 9 (3) แห่งพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. 2558 และ (2) การศึกษาโดยอาศัยมติคณะรัฐมนตรีเทียบเคียงกรณีผู้สูญหายจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พร้อมกำหนดอัตราช่วยเหลือที่เหมาะสมเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีให้มีมติเห็นชอบและจัดสรรเงินเยียวยาแก่ทายาทต่อไป |
3) คณะอนุกรรมการป้องกันการกระทำทรมานและบังคับให้หายสาบสูญ |
- จัดประชุม สัมมนา และฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการจัดทำสื่อการสอนออนไลน์และสื่อประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ เพื่อช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำไปปรับใช้ในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ |
4) คณะอนุกรรมการคัดกรองกรณีถูกกระทำทรมานและบังคับให้หายสาบสูญ |
- รับเรื่องราวร้องทุกข์และการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นกรณีถูกกระทำทรมานโดยคณะอนุกรรมการคัดกรองฯ เขตพื้นที่ 1 - 11 (ระหว่างเดือนตุลาคม 2562 - กันยายน 2563) ได้รับเรื่องร้องเรียน จำนวน 35 เรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องร้องเรียนจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ และกรมราชทัณฑ์ สำหรับกรณีถูกบังคับให้หายสาบสูญ มีเพียง 2 กรณี คือ นายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ และนางแอเสาะ เปาะสา อย่างไรก็ดี คดีที่อยู่ในความสนใจ เช่น นายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งคณะกรรมการคัดกรองฯ ได้ตรวจสอบและประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว |
13. เรื่อง ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนมกราคม 2564
คณะรัฐมนตรีรับทราบความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนมกราคม 2564 ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
หัวข้อ |
สาระสำคัญ |
1. ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา 1.1 ความก้าวหน้ายุทธศาสตร์ชาติและการขับเคลื่อนแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ |
- เร่งรัดการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติ โดยอยู่ระหว่างจัดทำคู่มือการจัดทำแผนระดับต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วย (1) ระดับของแผน (2) หลักการในการจัดทำและเสนอแผนต่อคณะรัฐมนตรี (3) สาระสำคัญของแผนปฏิบัติการด้าน... และ (4) แนวทางและขั้นตอนการนำแผนระดับที่ 3 ที่ประกาศใช้แล้วเข้าระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR) ทั้งนี้ เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ สศช. จะเสนอคณะรัฐมนตรี และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ต่อไป |
1.2 ความก้าวหน้าแผนการปฏิรูปประเทศ |
- มอบหมายให้หน่วยงานผู้รับผิดชอบเรื่องและประเด็นปฏิรูปดำเนินการ ดังนี้ (1) นำเรื่องและประเด็นปฏิรูปตามแผนการปฏิรูปประเทศฉบับเดิมที่ไม่ได้นำมากำหนดเป็นกิจกรรมปฏิรูปที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ (Big Rock) ไปดำเนินงานเป็นภารกิจปกติของหน่วยงานคู่ขนานกันไป (2) จัดทำแผนขับเคลื่อน Big Rock เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการกำกับติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมายและระยะเวลาที่กำหนด โดยให้ระบุรายละเอียด ดังนี้ 1) หน่วยงานร่วมดำเนินการ 2) เป้าหมายย่อย 3) ระยะเวลาที่แล้วเสร็จ และ 4) โครงการและการดำเนินงานที่ส่งผลต่อเป้าหมายของกิจกรรม Big Rock ทั้งนี้ หน่วยงานผู้รับผิดชอบหลักได้ส่งแผนขับเคลื่อนฯ มายัง สศช. แล้ว เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2564 โดย สศช. จะรวบรวมเสนอคณะกรรมการปฏิรูปประเทศแต่ละด้านพิจารณาและนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป รวมทั้ง สศช. จะนำข้อมูลรายละเอียดของแผนขับเคลื่อนฯ เข้าสู่ระบบ eMENSCR เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการติดตามผลการดำเนินการและรายงานความคืบหน้าตามแผนการปฏิรูปประเทศตามมาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป |
1.3 ผลการดำเนินการอื่น ๆ |
- จัดทำรายงานสรุปผลการดำเนินการประจำปีตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ปี 2563 ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแล้วเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 และ สศช. จะได้ส่งรายงานดังกล่าวไปยังหน่วยงานตามที่กฎหมายกำหนดต่อไป - สร้างการตระหนักรู้ ความเข้าใจ และการมีส่วนร่วมของภาคี ต่าง ๆ ต่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ โดยสร้างสื่อประชาสัมพันธ์ผ่านทาง Facebook โดยมีชื่อเพจว่า “คบเด็กสร้างชาติ-สร้างพลังบวก” เพื่อเผยแพร่สื่อวีดิทัศน์ซึ่งมุ่งให้กลุ่มคนรุ่นใหม่รับทราบสาระและผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติได้อย่างถูกต้องและชัดเจน ประชาสัมพันธ์ข่าวสารเกี่ยวกับการทำดีเพื่อกระตุ้นจิตสำนึกและสร้างมุมมองในการทำความดีตามความถนัดและความสนใจ นอกจากนี้ สศช. ได้เผยแพร่วีดิทัศน์ผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2562 เพื่อการสร้างการตระหนักรู้เกี่ยวกับสาระสำคัญและผลการดำเนินการยุทธศาสตร์ชาติและประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคม |
1.4 ประเด็นที่ควรเร่งรัดเพื่อการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ |
ประเด็นท้าทายที่มีความเสี่ยงสูงในการบรรลุเป้าหมาย คือ การกระจายโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ของนักเรียนและประชาชนทั่วไปให้มีประสิทธิภาพและครอบคลุมทุกพื้นที่ รวมถึงสร้างความตระหนักรู้ให้แก่นักเรียนและประชาชนทั่วไปเห็นความสำคัญของการศึกษา นอกจากนี้ ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ควรเร่งขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัย โดยใช้ข้อมูลจากระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (Thai People Map and Analytic Platform: TPMAP) ซึ่งมีคนจนด้านการศึกษาจำนวน 355,593 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 36.16 ของคนจนเป้าหมายทั้งหมดในปี 2562 มาเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาของประชาชนให้ตรงกับความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง |
นายกรัฐมนตรีมีข้อสังการว่า การขับเคลื่อนการดำเนินการในระยะต่อไปควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจแบบใหม่ หรือ BCG Economy (Bio-Circular-Green Economy) ด้วย
14. เรื่อง รายงานผลการพิจารณาศึกษาญัตติ เรื่อง การศึกษามาตรการป้องกันการเกิดโรคระบาดหรือโรคติดต่อในประเทศไทย ของคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานผลการพิจารณาศึกษาญัตติ เรื่อง การศึกษามาตรการป้องกันการเกิดโรคระบาดหรือโรคติดต่อในประเทศไทย ของคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
เรื่องเดิม
1. สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (สผ.) ได้เสนอรายงานผลการพิจารณาศึกษาญัตติ เรื่อง การศึกษามาตรการป้องกันการเกิดโรคระบาดหรือโรคติดต่อในประเทศไทยของคณะกรรมาธิการการสาธารณสุขมาเพื่อดำเนินการ โดยคณะกรรมาธิการฯ ได้มีข้อสังเกตเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัย รวมถึงการควบคุมราคาสินค้าผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับหากเกิดการระบาดระลอกใหม่ขึ้นในอนาคต การส่งเสริมและกระตุ้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเกี่ยวกับสุขอนามัยในโรงเรียน การนำข้อมูลทางวิชาการเพื่อให้เกิดความชัดเจนและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนต่อไป การพิจารณาและวางแผนการจัดสรรงบประมาณเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ การศึกษาวิจัยการใช้สมุนไพรไทยที่มีโอกาสใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 การสนับสนุนงบประมาณในการสร้างโรงพยาบาลเฉพาะทาง และการบริหารจัดการระบบหลักประกันสุขภาพ และระบบการจัดสรรทรัพยากรด้านสาธารณสุข รวมทั้งการกำหนดแผนดำเนินการตามมาตรการด้านการป้องกันและการดูแลตนเองจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้มีความรัดกุมและมีมาตรฐาน
2. รองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี พิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ สธ. เป็นหน่วยงานหลักรับรายงานและข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของรายงานและข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
ข้อเท็จจริง
สธ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้วเห็นว่า
1. รายงานฉบับนี้ในภาพรวมมีเนื้อหาสาระที่มีความถูกต้องตามหลักวิชาการ และได้ให้คำแนะนำหรือข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดหรือดำเนินมาตรการป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) อยู่หลายประเด็น เช่น การยกระดับอนามัยส่วนบุคคล และการสร้างความรอบรู้ในการดูแลสุขภาพตนเอง (รวมถึงการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเกิดความตระหนักรู้ถึงสถานการณ์และปฏิบัติตนได้เหมาะสมกับความเสี่ยง) การแก้ปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัย เวชภัณฑ์ และทรัพยากรทางสาธารณสุขที่สำคัญ การพัฒนาฐานข้อมูลและแอปพลิเคชันเพื่อการเฝ้าระวังและติดตามกลุ่มเสี่ยงหรือผู้สัมผัสโรค หรือเพื่อการติดตามสถานการณ์และข้อมูลข่าวสารสำคัญที่เกี่ยวข้องโดยทั่วไป การดูแลสุขภาพและภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ และการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ในกลุ่มนักเรียนชั้นประถมศึกษา โดยมาตรการเหล่านี้ สธ. จะได้นำไปพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปกำหนดเป็นนโยบายและแนวปฏิบัติต่อไป
2. สธ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังได้มีการพิจารณาดำเนินการมาตรการต่าง ๆ เพิ่มเติม ซึ่งแม้ว่าจะเป็นมาตรการที่ไม่ได้ระบุไว้ในรายงานฉบับนี้อย่างชัดเจน แต่ก็มีความสอดคล้องกับหลักการหรือข้อสังเกตหลายประเด็นที่กล่าวถึงตามรายงานข้อ 1 เช่น การเปิดมาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากประเทศที่มีการระบาดต่ำมากโดยจะมีการลดระยะเวลาในการกักตัวให้สั้นลง แต่ยังคงระบบคัดกรองอย่างเข้มข้น และมีระบบกำกับติดตามนักท่องเที่ยวอย่างรัดกุม การเร่งกระบวนการศึกษาทดลองวัคซีน ด้วยกระบวนการบริหารจัดการโครงการวิจัยที่มีประสิทธิภาพ โดยสถาบันแห่งชาติและภาคี เพื่อให้ได้ผลการศึกษาที่มีความถูกต้อง และการปรับรูปแบบการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยาให้สอดคล้องกับสถานการณ์การระบาด องค์ความรู้ เทคโนโลยีต่างๆ ที่เปลี่ยนไป
15. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2563
คณะรัฐมนตรีรับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เสนอ ดังนี้
1. รับทราบผลการประชุม กนช. ครั้งที่ 4/2563 เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2563
2. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติ กนช. และข้อสั่งการของประธาน กนช. ครั้งที่ 4/2563
ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
กนช. รายงานว่า ในการประชุม กนช. ครั้งที่ 4/2563 เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2563 โดยมี รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เป็นประธานการประชุมฯ มีผลการประชุมสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
เรื่อง |
ความเห็น/ข้อสั่งการของประธาน/มติที่ประชุม |
1. เรื่องเพื่อทราบ (7 เรื่อง) |
|
1.1 ผลการประชุมคณะอนุกรรมการภายใต้ กนช. (9 คณะ) แบ่งเป็น (1) เรื่องเสนอให้ กนช. รับทราบ 24 เรื่อง เช่น มาตรการรองรับสถานการณ์ขาดแคลนน้ำ ฤดูแล้งปี 2563/64 แนวทางการแก้ไขปัญหาโครงสร้างราคาค่าน้ำในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และแนวทางการพัฒนาทะเลสาบสงขลาอย่างยั่งยืนและ (2) เรื่องที่เห็นชอบให้เสนอ กนช. พิจารณา 7 เรื่อง เช่น แผนหลักการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและการระบายน้ำพื้นที่ชุมชนเมืองพัทยาและพื้นที่ต่อเนื่อง และแผนหลักการบรรเทาอุทกภัยในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง |
ความเห็นของฝ่ายเลขานุการ กนช. : (1) โครงการตามนโยบายที่ผ่านความเห็นชอบจาก กนช. และยังไม่มีการขับเคลื่อนจากหน่วยงานเนื่องจากยังไม่มีความพร้อมด้านงบประมาณหรือไม่มีแผนปฏิบัติการที่ชัดเจน ขอให้เร่งรัดการดำเนินการและรายงานให้ กนช. ทราบ และ (2) โครงการขนาดใหญ่ที่ดำเนินการขอตั้งงบประมาณ พ.ศ. 2565 แต่ยังไม่ได้เสนอขอความเห็นชอบจาก กนช. หากมีความพร้อมให้เสนอขอความเห็นชอบจาก กนช. ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี ข้อสั่งการของประธาน : (1) ให้หน่วยงานดำเนินการตามข้อเสนอของฝ่ายเลขานุการ กนช. และ (2) ให้คณะอนุกรรมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำรายภาค ในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ กำหนดกรอบเป้าหมายการดำเนินการในพื้นที่และรายงานผลให้ กนช. ทราบ มติที่ประชุม : รับทราบและเห็นชอบผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการภายใต้ กนช. 9 คณะ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของฝ่ายเลขานุการ กนช. คณะอนุกรรมการ และข้อสั่งการของประธาน กนช. ต่อไป |
1.2 ผลการดำเนินงานของคณะกรรมการลุ่มน้ำ 25 ลุ่มน้ำ ที่มีการประชุมในเดือนกันยายน 2563 รวม 7 เรื่อง เช่น โครงการบรรเทาปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วม ในพื้นที่ 76 จังหวัดทั่วประเทศ และร่างแผนป้องกันและแก้ไขภาวะน้ำแล้งและร่างแผนป้องกันและแก้ไขภาวะน้ำท่วม และในเดือนธันวาคม 2563 รวม 7 เรื่อง เช่น พื้นที่เฝ้าระวังเสี่ยงขาดแคลนน้ำและมาตรการรองรับและร่างแผนปฏิบัติการภายใต้แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ประจำปี 2565 |
ข้อสั่งการของประธาน : ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการลุ่มน้ำไปพิจารณาดำเนินการต่อไป มติที่ประชุม : รับทราบผลการดำเนินงานคณะกรรมการลุ่มน้ำ 25 ลุ่มน้ำ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อสั่งการของประธาน กนช. ต่อไป |
1.3 การดำเนินการตามบทเฉพาะกาลในพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 เมื่อครบกำหนดสองปี |
มติที่ประชุม : รับทราบการดำเนินการตามบทเฉพาะกาลในพระราชบัญญัติฯ เมื่อครบกำหนดสองปี รวม 3 เรื่อง ได้แก่ (1) คณะกรรมการลุ่มน้ำประจำลุ่มน้ำ ปฏิบัติหน้าที่เมื่อพ้นกำหนดสองปี (อยู่ระหว่างหารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา) (2) การจัดทำผังน้ำเมื่อพ้นกำหนดสองปี ตามมาตรา 103 แห่งพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 และ (3) การจัดทำกฎหมายลำดับรองตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ รวม 30 ฉบับ |
1.4 ความก้าวหน้าการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น รวม 6 โครงการ ดังนี้ (1) โครงการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้ง ปี 2562/63 (มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2563) วงเงิน 2,446.16 ล้านบาท (2) โครงการเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้ง (มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2563) วงเงิน 7,077.05 ล้านบาท (3) โครงการเพื่อเตรียมการรองรับภัยแล้งและอุทกภัย รวมถึงการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัด และคณะทำงานภายใต้คณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัด ทั้ง 76 จังหวัด (มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2563) วงเงิน 502.90 ล้านบาท (4) โครงการบรรเทาปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วม ในพื้นที่ 76 จังหวัด ทั่วประเทศ (มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2563) วงเงิน 8,567.94 ล้านบาท (5) โครงการเพื่อเตรียมการรับมือบรรเทาปัญหาน้ำท่วม และเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำ ในฤดูฝนปี 2563 (มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2563) วงเงิน 4,645.72 ล้านบาท (6) โครงการธนาคารน้ำใต้ดิน (นายกรัฐมนตรีเห็นชอบและอนุมัติเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2563) วงเงิน 24.53 ล้านบาท |
ความเห็นของ กนช. : ในการของบกลางฯ ครั้งต่อไป หน่วยงานควรพิจารณาโครงการที่มีความพร้อมทั้งแบบรูปรายการและพื้นที่ดำเนินการ เพื่อไม่ให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินการและสามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ทันต่อไป ข้อสั่งการของประธาน : (1) ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กำกับทุกหน่วยงานเร่งรัดดำเนินการให้แล้วเสร็จตามแผนที่วางไว้ และ (2) สำหรับการเสนอของบกลางฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ให้ตรวจสอบกลั่นกรองโครงการไม่ให้มีความซ้ำซ้อน และมีความพร้อมสามารถดำเนินการได้ทันที มติที่ประชุม : รับทราบความก้าวหน้าการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลางฯ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของ กนช. และข้อสั่งการของประธาน กนช. ต่อไป |
1.5 มาตรการรองรับสถานการณ์ขาดแคลนน้ำฤดูแล้งปี 2563/64 (9 มาตรการ) เช่น การเร่งเก็บกักน้ำก่อนสิ้นสุดฤดูฝน และการจัดหาแหล่งสำรองน้ำดิบในพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ |
ข้อสั่งการของประธาน : (1) ให้หน่วยงานเร่งรัดการดำเนินงานให้แล้วเสร็จก่อนฤดูฝน และรายงานผลให้ สนทช. ทราบเป็นระยะ และ (2) ให้หน่วยงานจัดหาแหล่งน้ำดิบสำรองให้เพียงพอต่อการผลิตประปาในฤดูแล้ง มติที่ประชุม : รับทราบมาตรการรองรับสถานการณ์ขาดแคลนน้ำฤดูแล้งปี 2563/64 และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อสั่งการของประธาน กนช. ต่อไป |
1.6 ความก้าวหน้าการดำเนินโครงการตามนโยบายที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ตรวจราชการในพื้นที่ และมติ กนช. ได้แก่ (1) โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำบึงสีไฟ (2) โครงการฟื้นฟูแม่น้ำพิจิตร จังหวัดพิจิตร และ (3) โครงการพัฒนาและฟื้นฟูคลองเปรมประชากร |
ข้อสั่งการของประธาน : (1) ให้ สทนช. บูรณาการหน่วยงานในการจัดทำแผนหลักการอนุรักษ์และฟื้นฟูบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร และขนย้ายมูลดินออกโดยเร็ว (2) ให้กรมชลประทานและกรมทรัพยากรน้ำ เร่งดำเนินการโครงการฟื้นฟูแม่น้ำพิจิตรให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และ (3) ให้กรุงเทพมหานครเร่งดำเนินการโครงการอุโมงค์ระบายน้ำคลองเปรมประชากรให้แล้วเสร็จตามแผนที่วางไว้ มติที่ประชุม : รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินโครงการตามนโยบายที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ตรวจราชการในพื้นที่ และที่ กนช. มีมติเห็นชอบ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อสั่งการของประธาน กนช. ต่อไป |
1.7 รายงานการเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการบริหารสภาน้ำแห่งเอเชีย ครั้งที่ 12 (12th AWC Board of Council Meeting) |
มติที่ประชุม : รับทราบผลการเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการบริหารสภาน้ำฯ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2563 โดยมีสาระสำคัญ เช่น เห็นชอบกำหนดการสำหรับการจัดการประชุมสัปดาห์น้ำแห่งเอเชีย ครั้งที่ 2 (2nd Asia International Water Week: AIWW) ที่จะจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2564 ณ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และกระทรวงทรัพยากรน้ำแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสัปดาห์น้ำแห่งเอเชีย ครั้งที่ 3 |
2. เรื่องเพื่อพิจารณา (6 เรื่อง) |
|
2.1 การขับเคลื่อนแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) จำนวน 4 แผน/โครงการ |
|
1) แผนหลักการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและการระบายน้ำพื้นที่ชุมชนเมืองพัทยาและพื้นที่ต่อเนื่อง ของกรมโยธาธิการและผังเมือง แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะเร่งด่วน (พ.ศ. 2565-2569) ระยะกลาง (พ.ศ. 2570-2574) และระยะยาว (พ.ศ. 2575 ขึ้นไป) มีกรอบวงเงินประมาณ 26,000 ล้านบาท (ครอบคลุมพื้นที่ 226.47 ตารางกิโลเมตร ประชาชนได้รับประโยชน์ 144,520 ครัวเรือน) |
ความเห็นของ กนช. : (1) ควรมีการจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินการตามแผน โดยเฉพาะในกลุ่มโครงการระยะเร่งด่วนตั้งแต่ พ.ศ. 2565-2569 ซึ่งมีวงเงินงบประมาณ 9,500 ล้านบาท ขอให้เตรียมความพร้อมต่าง ๆ พร้อมทั้งพื้นที่ดำเนินการไว้ด้วย และ (2) แหล่งเงินที่จะสนับสนุนดำเนินการในแต่ละระยะควรพิจารณาแหล่งเงินอื่น ๆ นอกเหนือจากงบประมาณตามความเหมาะสมด้วย เช่น เงินรายได้ของเมืองพัทยา เงินกู้ หรือการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน ซึ่งเป็นการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP) ข้อสั่งการของประธาน : (1) ให้ สทนช. รับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ (สงป.) ไปพิจารณาดำเนินการด้วย (2) ให้เมืองพัทยาประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามแผนในระยะเร่งด่วนโดยเร็ว และ (3) ให้หน่วยงานดำเนินการตามความเห็นของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ คณะกรรมการลุ่มน้ำ และ กนช. มติที่ประชุม : (1) เห็นชอบแผนหลักการแก้ไขปัญหาฯ และ (2) ให้เมืองพัทยาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนฯ คณะกรรมการลุ่มน้ำ กนช. และข้อสั่งการของประธาน กนช. ต่อไป |
2) แผนหลักการพัฒนาการใช้ประโยชน์จากแม่น้ำโขงและลำน้ำสาขาของแม่น้ำโขงเพื่อวางทิศทางการพัฒนาและแนวทาง การขับเคลื่อนโครงการที่เกี่ยวข้อง 4 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การพัฒนาใช้น้ำสาขาของแม่น้ำโขง ระยะที่ 2 การพัฒนาใช้น้ำโขงสู่ลุ่มน้ำข้างเคียง แบ่งเป็น 2 ระยะย่อย ระยะที่ 3 การพัฒนาใช้น้ำโขง โดยแรงโน้มถ่วงสู่พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และระยะที่ 4 การพัฒนาเขื่อนปากชม เพื่อประโยชน์ในการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำและเสริมความมั่นคงด้านน้ำแก่ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ |
ข้อสั่งการของประธาน : (1) ให้ สทนช. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) (กรมชลประทาน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วางแผนการจัดทำแหล่งเก็บกักน้ำจากแม่น้ำโขงไว้ใช้ในฤดูแล้ง หรืออาจดำเนินการเก็บกักในแหล่งเก็บน้ำขนาดใหญ่ เช่น เขื่อนอุบลรัตน์ ซึ่งสามารถรองรับปริมาณน้ำได้จำนวนมาก ให้มีน้ำเพียงพอต่อการใช้ประโยชน์ครอบคลุมทุกจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ (2) ให้ สทนช. และกรมชลประทานดำเนินการตามความเห็นของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนฯ และคณะกรรมการลุ่มน้ำต่อไป มติที่ประชุม : เห็นชอบแผนหลักการพัฒนาการใช้ประโยชน์จากแม่น้ำโขงฯ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนฯ และข้อสั่งการของประธาน กนช. ต่อไป |
3) แผนหลักการบรรเทาอุทกภัยในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ประกอบด้วย 9 แผนงานหลัก แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่ม 1 การเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำของแม่น้ำและคลองเดิม กลุ่ม 2 การบริหารจัดการพื้นที่ และกลุ่ม 3 การสร้างคลองระบายน้ำหลากสายใหม่ ทั้งนี้ มีระยะเวลาดำเนินการ 13 ปี (พ.ศ. 2560-2572) และมีกรอบวงเงินงบประมาณ 329,151 ล้านบาท |
ข้อสั่งการของประธาน : ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนฯ และคณะกรรมการลุ่มน้ำต่อไป มติที่ประชุม : (1) เห็นชอบแผนหลักการบรรเทาอุทกภัยในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อสั่งการของประธาน กนช. ต่อไป และ (2) ให้กรมชลประทาน กระทรวงมหาดไทย (มท.) สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) และกรมเจ้าท่าเป็นเจ้าภาพบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหาสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำเขตคลองให้เกิดความชัดเจน |
4) โครงการเพื่อการพัฒนาปี 2564 ของการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) (19 โครงการ) วงเงินงบประมาณการลงทุนรวม 6,164.945 ล้านบาท |
ความเห็นของฝ่ายเลขานุการ กนช. : (1) โครงการดังกล่าวสอดคล้องกับแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปีฯ ด้านที่ 1 การจัดการน้ำอุปโภค บริโภค (2) ให้ กปภ. ต้องจัดทำแผนแหล่งน้ำสำรองไว้ด้วย หากแหล่งน้ำดิบไม่เพียงพอ และ (3) โครงการที่มีวงเงินงบประมาณเกิน 1,000 ล้านบาท ต้องเสนอ กนช. ให้ความเห็นชอบก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี ความเห็นของ กนช. : สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เห็นว่า กปภ. ควรตรวจสอบตัวเลขงบประมาณอีกครั้ง เนื่องจากมีความแตกต่างกันและดำเนินการตามระเบียบขั้นตอนให้ถูกต้องต่อไป ข้อสั่งการของประธาน : ให้ กปภ. ดำเนินการตามความเห็นของ สศช. มติที่ประชุม : (1) เห็นชอบโครงการเพื่อการพัฒนาปี 2564ฯ และให้ กปภ. เสนอ สศช. เพื่อพิจารณาดำเนินการตามระเบียบก่อนเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อขอความเห็นชอบโครงการต่อไป และ (2) ให้ กปภ. ดำเนินการตามความเห็นของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนฯ กนช. และข้อสั่งการของประธาน กนช. ต่อไป |
2.2 โครงการขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมเสนอขอตั้งงบประมาณ พ.ศ. 2565 ได้แก่ โครงการอ่างเก็บน้ำบ้านหนองกระทิง จังหวัดฉะเชิงเทรา อยู่ในแผนพัฒนาแหล่งน้ำ EEC วงเงินรวมทั้งสิ้น 1,370 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 4 ปี (พ.ศ. 2565-2568) |
มติที่ประชุม : (1) เห็นชอบโครงการอ่างเก็บน้ำบ้านหนองกระทิงฯ และ (2) ให้กรมชลประทานดำเนินการตามความเห็นของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญต่อไป |
2.3 ร่างแผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 มีแผนงานที่ผ่านการกลั่นกรองจาก สทนช. ในเบื้องต้น ทั้งสิ้น 46,887 รายการ วงเงินงบประมาณ 435,405.61 ล้านบาท ผลสัมฤทธิ์จะได้ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 365 ล้านลูกบาศก์เมตร พื้นที่ได้รับประโยชน์ 634,610 ไร่ และครัวเรือนได้รับประโยชน์ 89,310 ครัวเรือน |
ความเห็นของฝ่ายเลขานุการ กนช. : (1) ร่างแผนปฏิบัติการฯ สอดคล้องกับแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปีฯ (2) แผนงานจากพื้นที่ที่มีข้อมูลไม่ครบถ้วนทั้งจังหวัด รวม 19 จังหวัด เสนอให้จังหวัดปรับปรุงเพิ่มเติมข้อมูลให้ครบถ้วน และให้เสนอประธาน กนช. พิจารณาเห็นชอบอีกครั้ง (3) ให้หน่วยงานเสนอเพิ่มเติมโครงการสำคัญและโครงการนโยบายที่ต้องดำเนินการในปี 2565 ให้ สทนช. ภายในวันที่ 4 มกราคม 2564 และ (4) ภายหลังการจัดลำดับความสำคัญแล้ว ให้เสนอประธาน กนช. พิจารณาเห็นชอบอีกครั้ง ข้อสั่งการของประธาน : (1) ให้ทุกหน่วยงานให้ความสำคัญกับแผนงานด้านน้ำ และให้เสนอ กนช. ตามขั้นตอนการจัดทำแผนก่อนเสนอขอตั้งงบประมาณ และ (2) สำหรับหน่วยงานที่ต้องไปทำข้อมูลเพิ่มเติม ให้เร่งเสนอ สทนช. ภายในวันที่ 4 มกราคม 2564 มติที่ประชุม : (1) เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการฯ และหลักเกณฑ์การจัดลำดับความสำคัญแผนงาน/โครงการ (2) ให้ สทนช. เสนอร่างแผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ต่อคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป และ (3) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของฝ่ายเลขานุการ กนช. และข้อสั่งการของประธาน กนช. ต่อไป |
2.4 การกำหนดรูปแบบและแนวทางการใช้พื้นที่ลุ่มต่ำเป็นพื้นที่รับน้ำนอง จำนวน 174 พื้นที่ ขนาดพื้นที่เก็บน้ำรวม 2,323,208 ไร่ โดยคณะอนุกรรมการกำหนดรูปแบบและแนวทางการใช้พื้นที่ลุ่มต่ำเป็นพื้นที่รับน้ำนองมีความเห็น ดังนี้ (1) ให้กรมชลประทานและกรมทรัพยากรน้ำขับเคลื่อนงานด้านการสำรวจ ออกแบบการใช้พื้นที่ลุ่มต่ำเป็นพื้นที่รับน้ำนอง โดยให้ดำเนินการตามขั้นตอนการดำเนินงานการใช้พื้นที่ลุ่มต่ำเป็นพื้นที่รับน้ำนองโดยเร็ว (2) ให้กระทรวงการคลัง (กค.) กำหนดหลักเกณฑ์และหรือวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการกำหนดค่าทดแทนการใช้พื้นที่ลุ่มต่ำเป็นพื้นที่รับน้ำนองตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2562 เรื่อง แนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับปริมาณน้ำที่ได้รับอิทธิพลจากพายุและการช่วยเหลือดูแลประชาชน และวันที่ 10 กันยายน 2562 เรื่อง ขออนุมัติงบกลางปี 2562 รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับใช้เป็นค่าใช้จ่ายในโครงการแก้ไขและบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเนื่องจากเหตุอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ |
ข้อสั่งการของประธาน : (1) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของคณะอนุกรรมการกำหนดรูปแบบฯ และข้อเสนอใน กนช. ต่อไป และ (2) ให้ สทนช. ดูพื้นที่เก็บกักน้ำ อย่าให้กระทบกับพื้นที่ทำกินของประชาชนด้วย มติที่ประชุม : (1) เห็นชอบบัญชีพื้นที่ลุ่มต่ำ 174 พื้นที่ เป็นพื้นที่รับน้ำนอง (2) ให้คณะอนุกรรมการกำหนดรูปแบบฯ จัดทำแผนหลักการดำเนินงานให้เป็นรูปธรรม โดยกำหนดหน่วยดำเนินการและจัดทำโครงการนำร่องให้แล้วเสร็จก่อนฤดูฝนปี 2564 (3) ให้ กษ. และ มท. ร่วมกับ สทนช. กำหนดหลักเกณฑ์และหรือวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการกำหนดค่าทดแทนการใช้พื้นที่ลุ่มต่ำเป็นพื้นที่รับน้ำนองตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 และวันที่ 10 กันยายน 2562 ให้แล้วเสร็จก่อนฤดูฝน ปี 2564 และเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป และ (4) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของผู้แทน กค. คณะอนุกรรมการกำหนดรูปแบบฯ และข้อสั่งการของประธาน กนช. ต่อไป |
2.5 ร่างระเบียบและประกาศ กนช. จำนวน 6 ฉบับ ที่ผ่านการตรวจพิจารณาของคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 5 (คกอ. 5) |
มติที่ประชุม : เห็นชอบร่างระเบียบและประกาศ กนช. 6 ฉบับ ที่ผ่านการตรวจพิจารณาจาก คกอ. 5 และให้นำเสนอประธาน กนช. ลงนามต่อไป |
2.6 ร่างรายงาน Country Survey Instrument for SDG Indicator 6.5.1 และ ร่าง Reporting SDG Indicator 6.5.2 เสนอองค์การสหประชาชาติ โดยร่าง Country Surveyฯ ใช้กลไกกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียร่วมประเมิน และร่าง Reportingฯ เป็นการติดตามการประเมินสถานะสัดส่วนของพื้นที่ลุ่มน้ำข้ามพรมแดน |
ความเห็นของฝ่ายเลขานุการ กนช. : ให้ทุกหน่วยงานที่รับผิดชอบเป้าหมายย่อย SDG 6 รายงานผลการขับเคลื่อนให้ สทนช. พิจารณาเพื่อนำเสนอคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนฯ และ กนช. พิจารณาให้ความเห็นชอบตามลำดับก่อนรายงานต่อองค์การสหประชาชาติ มติที่ประชุม : (1) เห็นชอบทั้ง 2 ร่าง เพื่อจะได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป (2) ให้เลขาธิการ สทนช. ลงนามในเอกสารร่างรายงานดังกล่าว และเสนอประธาน กนช. ลงนามในหนังสือนำส่งโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme: UNDP) ต่อไป และ (3) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของฝ่ายเลขานุการ กนช. |
3. เรื่องอื่น ๆ ที่สำคัญ เช่น |
|
3.1 การจัดทำคู่มือข้อมูลพื้นฐาน 22 ลุ่มน้ำ |
มติที่ประชุม : รับทราบการจัดทำคู่มือข้อมูลพื้นฐาน 22 ลุ่มน้ำ โดยมีเนื้อหา เช่น พัฒนาการแบ่งลุ่มน้ำในประเทศไทย หลักการในการแบ่งลุ่มน้ำ ข้อมูลพื้นฐานลุ่มน้ำ 22 ลุ่มน้ำ ข้อมูลโครงการพัฒนาแหล่งน้ำในปัจจุบัน และแผนงานโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ |
3.2 โครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฐานรากเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) |
มติที่ประชุม : รับทราบโครงการฯ โดยนำการพัฒนาตามแนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินการซ่อมแซม เสริมศักยภาพแหล่งน้ำ ซึ่งการดำเนินงานโครงการสอดคล้องตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปีฯ และมีการบูรณาการทุกภาคส่วน |
4. ข้อสั่งการเพิ่มเติมของประธาน กนช.
4.1 ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการและนโยบายของรัฐบาลที่กำหนดไว้
4.2 แผนงานโครงการของหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณแล้ว ขอให้เร่งดำเนินการและรายงานให้ กนช. ทราบด้วย
16. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 อย่างเป็นระบบ ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 อย่างเป็นระบบ สภาผู้แทนราษฎร
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 อย่างเป็นระบบ ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 อย่างเป็นระบบ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ
เรื่องเดิม
1. สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (สผ.) ได้เสนอรายงานการพิจารณาศึกษาเรื่อง แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 อย่างเป็นระบบ ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 อย่างเป็นระบบ มาเพื่อดำเนินการ โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้มีข้อสังเกตรวม 4 ประเด็น ได้แก่ (1) ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไม่ใช่ของฟรี มีต้นทุนการใช้งาน (2) กลไกตลาดสามารถนำมาใช้สะท้อนต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมและแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน (3) ทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาและจำเป็นต้องมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา (4) ข้อสังเกตแบ่งตามแหล่งกำเนิดของฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5)
2. รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี พิจารณาแล้วมีคำสั่งให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เป็นหน่วยงานหลักรับรายงานและข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ตามข้อ 1 ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง (กค.) กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) กระทรวงคมนาคม (คค.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) กระทรวงพลังงาน (พน.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของรายงานและข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
ข้อเท็จจริง
ทส. เสนอว่า ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุมหารือเพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้ว ที่ประชุมมีความเห็นว่ารายงานและข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญในเรื่องนี้ส่วนใหญ่มีความสอดคล้องกับการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” และมีความเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติม สรุปได้ดังนี้
1. การแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จากการคมนาคม ควรพิจารณาการจัดการแก้ไขปัญหาที่แหล่งกำเนิดภาคคมนาคมขนส่งทางน้ำ ให้มีการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รถยนต์ของส่วนราชการควรเป็นรถยนต์มลพิษต่ำ ซึ่งเป็นการดำเนินงานที่หน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ คค. ตช. อก. กค. พน. และ ทส. ให้ความสำคัญและส่วนใหญ่ได้มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง จึงควรเป็นหลักการในการดำเนินการต่อไป
2. การแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จากภาคอุตสาหกรรมควรสนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงเครื่องฟอกอากาศ เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพโดยใช้มาตรการจูงใจทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งหน่วยงานต่าง ๆ อาธิ สธ. พณ. อก. พน. และ อว. ต้องร่วมกันดำเนินการให้เป็นทิศทางเดียวกัน ทั้งในส่วนของมาตรฐานและนวัตกรรมการผลิต การควบคุมราคา การส่งเสริมด้านการตลาด รวมถึงพัฒนามาตรการจูงใจให้ประชาชนและผู้ประกอบการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จากภาคอุตสาหกรรม
3. การแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จากการเผาในที่โล่ง ควรให้ความสำคัญกับมาตรการจัดการเชื้อเพลิง และการบริหารจัดการเศษซากวัสดุจากการเกษตร สนับสนุน ส่งเสริมการขยายผลต่อยอดการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี บูรณาการการดำเนินการของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นเพื่อสนับสนุนข้อมูลและเทคโนโลยีที่จำเป็นต่อการบริหารจัดการการเผาของพื้นที่ โดยเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อสร้างความตระหนัก และส่งเสริมการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการเผาในที่โล่งจากภาคเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นการดำเนินการที่หน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ มท. กษ. ทส. อก. พน. กค. อว. และ ดศ. ให้ความสำคัญและส่วนใหญ่ได้มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องจึงควรถือเป็นหลักการในการดำเนินการต่อไป
4. การแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จากไฟป่าในพื้นที่อนุรักษ์จัดสรรงบประมาณ และบุคลากรเพิ่มเติม รวมทั้งจัดสรรงบประมาณในการเฝ้าระวัง และดูแลสุขภาพบุคลากรภาคสนาม บูรณาการข้อมูลปริมาณเชื้อเพลิง พื้นที่ป่า เพื่อลดปริมาณเชื้อเพลิงในพื้นที่เสี่ยงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาขอรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมในการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากไฟป่า ควรกำหนดกฎระเบียบตลาดคาร์บอนเครดิตของภาคเอกชนสำหรับการปลูกป่า ซึ่ง ทส. มท. และ ดศ. ให้ความสำคัญและส่วนใหญ่ได้มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง จึงควรถือเป็นหลักการในการดำเนินการต่อไป
5. การแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จากหมอกควันข้ามแดน ควรประสานงานเลขาธิการอาเซียนและกลุ่มประเทศสมาชิก เพื่อสนับสนุนเสริมสร้างศักยภาพในการติดตาม เฝ้าระวังสถานการณ์คุณภาพอากาศ ประสานความร่วมมือเพื่อขอให้ประเทศต่าง ๆ ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงยกระดับการดำเนินการเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการเผาในที่โล่งและการจัดการไฟป่า รวมทั้งการบูรณาการรูปแบบการรายงานและการแจ้งเตือนสถานการณ์มลพิษอากาศกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเป็นการดำเนินงานซึ่ง กต. ทส. ดศ. ให้ความสำคัญและส่วนใหญ่ได้มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ประเด็นการบังคับใช้กฎหมายควรเป็นไปตามบริบทและความพร้อมของแต่ละประเทศ รวมถึงการพัฒนาระบบแจ้งเตือนผลกระทบต่อสุขภาพจากมลพิษ
6. กต. เห็นว่า นอกจากความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ภายใต้กลไกในกรอบอาเซียน อาทิ ข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามแดนที่ดำเนินการอยู่แล้ว ฝ่ายไทยอาจพิจารณาใช้ประโยชน์จากกรอบความร่วมมือระดับทวิภาคีที่มีอยู่ควบคู่ไปด้วย เช่น การประชุมผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนไทย - กัมพูชา และการประชุมคณะผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนและเจ้าแขวงไทย - ลาว ซึ่ง มท. เป็นเจ้าภาพ รวมทั้งเห็นควรมุ่งเน้นแนวทางการป้องกันล่วงหน้าเพื่อลดความรุนแรงและผลกระทบจากปัญหาหมอกควันข้ามแดน และการแสวงหาความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจาอาเซียนที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ เช่น เครือข่ายออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกา เพื่อส่งเสริมศักยภาพของหน่วยงานท้องถิ่นทั้งในไทยและประเทศเพื่อนบ้าน
17. เรื่อง การเพิ่มจำนวนกรรมการของบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอการเพิ่มจำนวนกรรมการของบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) เพื่อให้การกำกับดูแลการเพิ่มจำนวนกรรมการของบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ในฐานะรัฐวิสาหกิจของประเทศ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป และเพื่อให้เป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 6 วรรคสอง
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงพลังงานในฐานะหน่วยงานเจ้าสังกัดของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นสัดส่วนร้อยละ 74.16 ของบริษัท ปตท. น้ำมันและค้าปลีก จำกัด (มหาชน) พิจารณาแล้วเห็นว่า ปัจจุบันบริษัท ปตท. น้ำมันและค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ได้มีการดำเนินธุรกิจด้านการค้าปลีกเชื้อเพลิง การค้าปลีกสินค้าและบริการอื่นทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งมีมูลค่าสูงและมีความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจำนวนมาก อาทิ ผู้บริโภค ผู้ร่วมธุรกิจ สังคม ชุมชน พนักงานและผู้ถือหุ้น แต่ยังขาดกรรมการที่มีทักษะ ความรู้ และความชำนาญเฉพาะด้าน ซึ่งปัจจุบัน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) มีกรรมการ จำนวน 11 คน ซึ่งข้อบังคับของบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ที่กำหนดให้มีคณะกรรมการของบริษัทเพื่อดำเนินกิจการของบริษัทได้ไม่น้อยกว่าห้าคน แต่ไม่เกินสิบห้าคน
ดังนั้น เพื่อให้การบริหารองค์กรและการกำกับดูแล ครบถ้วนต่อการดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ และมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ จึงเห็นควรเพิ่มจำนวนกรรมการของบริษัท ปตท. น้ำมันและค้าปลีก จำกัด (มหาชน) จากเดิม 11 คน เป็น 15 คน โดยมีกรรมการที่มีทักษะ ความรู้ ความชำนาญที่ต้องการเพิ่มเติม ดังนี้
1. ด้านกฎหมาย เพื่อทำหน้าที่กำกับและบริหารการดำเนินการขององค์กรให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของกฎหมายเกี่ยวกับการดำเนินการของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยพร้อมกับเป็นรัฐวิสาหกิจ
2. ด้านธุรกิจระหว่างประเทศ เพื่อทำให้หน้าที่ในการกำกับและบริหารธุรกิจที่จะขยายการลงทุนในต่างประเทศ เนื่องจากบริษัท ปตท. น้ำมันและค้าปลีก จำกัด (มหาชน) มีวิสัยทัศน์ที่จะเป็นบริษัทไทยชั้นนำระดับโลกที่สร้างคุณค่าให้กับชุมชนผ่านการดำเนินธุรกิจน้ำมัน ธุรกิจค้าปลีก และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทย่อยและบริษัทร่วมตั้งอยู่ในต่างประเทศจำนวน 10 ประเทศ อีกทั้งมีแผนการขยายการลงทุนระยะยาวในต่างประเทศ โดยแผนการลงทุนในช่วงปี พ.ศ. 2564 – 2568 จะขยายการลงทุนในต่างประเทศประมาณร้อยละ 22 ของวงเงินลงทุนทั้งหมด (ประมาณ 74,000 ล้านบาท) แต่องค์ประกอบของคณะกรรมการฯ ในปัจจุบันยังไม่มีกรรมการที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านธุรกิจการค้าในต่างประเทศ ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการขับเคลื่อนองค์กรให้ประสบความสำเร็จตามวิสัยทัศน์ที่กำหนดไว้
3. ด้านธุรกิจค้าปลีก เพื่อทำหน้าที่ในการกำกับและบริหารการดำเนินการของธุรกิจค้าปลีก เนื่องจากบริษัท ปตท. น้ำมันและค้าปลีก จำกัด (มหาชน) มีเป้าหมายหลักในการขยายธุรกิจทางด้านธุรกิจค้าปลีกสินค้าและบริการอื่น ๆ (Non-oil) เพื่อเป็นไปตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากการที่เทคโนโลยีเปลี่ยนฉับพลัน (Disruptive Technology) และเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับองค์กรและผู้มีส่วนได้เสีย
4. ด้านบริหารทรัพยากรบุคคล เพื่อทำหน้าที่ด้านการเสริมสร้างการพัฒนาทรัพยากรบุคคล (People) และสิ่งแวดล้อม (Planet) อันได้แก่ สังคม ชุมชน ประชาชน พนักงานและสิ่งแวดล้อม ให้มีการพัฒนาและเติบโตไปพร้อมกับองค์กร
18. เรื่อง รายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2563 เรื่อง กลไกเฝ้าระวังการใช้จ่ายงบประมาณตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 (สำนักงาน ป.ป.ท.)
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.) เสนอผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2563 เรื่อง กลไกเฝ้าระวังการใช้จ่ายงบประมาณตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 (พระราชกำหนดฯ) โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
1. สำนักงาน ป.ป.ท. ได้นำกลไกการเฝ้าระวังฯ เสนอคณะกรรมการอำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติทราบแล้วในการประชุมครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2563 และได้แจ้งเวียนมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวให้ปลัดกระทรวง 20 กระทรวง และหน่วยงานภายในศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) เพื่อแจ้งหน่วยงานในสังกัดหรือกำกับที่มีการเสนอของบประมาณตามพระราชกำหนดดังกล่าวรับทราบและให้ความร่วมมือในการดำเนินงานตามกลไกเฝ้าระวังการใช้จ่ายงบประมาณและมีการติดตามความคืบหน้าของการดำเนินงานในการประชุมคณะกรรมการอำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ครั้งที่ 2-1/2564 เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2564
2. สำนักงาน ป.ป.ท. ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังการใช้จ่ายงบประมาณตามพระราชกำหนดฯ หรือ “ศูนย์ไทยเฝ้าระวัง” ในสำนักงาน ป.ป.ท. เพื่อเป็นศูนย์กลางประสานการดำเนินงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เผยแพร่ข้อมูลการดำเนินงานรับเรื่องร้องเรียน และแจ้งเบาะแสการทุจริต โดยมีการดำเนินการตามกลไกในการเฝ้าระวังการใช้จ่ายงบประมาณ 4 ด้าน ดังนี้
กลไกการดำเนินงาน |
สาระสำคัญโดยสรุป |
การเฝ้าระวัง และแจ้งเบาะแส |
- จัดทำเว็บไซต์ “ไทยเฝ้าระวัง” เพื่อเผยแพร่ข้อมูลการดำเนินงานในแผนงานหรือโครงการให้ประชาชนและภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อร่วมเฝ้าระวังการทุจริต และเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นข้อมูลในการดำเนินงาน โดยได้เชื่อมโยงข้อมูลกับเว็บไซต์ ThaiME ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ - จัดทำช่องทางร้องเรียนผ่านเว็บไซต์ “ไทยเฝ้าระวัง” โดยเชื่อมโยงข้อมูลเรื่องร้องเรียนกับสายด่วน 1111 สำนักนายกรัฐมนตรี เว็บไซต์ภาษีไปไหนของสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เว็บไซต์ศูนย์ดำรงธรรม เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน รวมทั้งแก้ไขความเดือดร้อนไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ - ขอความร่วมมือคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน โดยประสานเครือข่ายสภาตำบลทั้ง 7,791 แห่ง และหน่วยงานภายใน ศอตช. บูรณาการการทำงานร่วมกันในการป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริต ประสานเป็นเครือข่ายแจ้งเรื่องร้องเรียนและเบาะแสการทุจริตในโครงการ ตลอดจนเผยแพร่ข้อมูลโครงการตามพระราชกำหนดฯ ให้แก่ประชาชนในแต่ละพื้นที่ นอกจากนี้ ได้ประสานสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เพื่อให้ประสานเครือข่ายโทรทัศน์ เครือข่ายวิทยุกรมประชาสัมพันธ์และวิทยุชุมชน ประมาณ 4,000 สถานี เพื่อเผยแพร่ข้อมูลต่อสาธารณชนด้วย |
การป้องกัน และลดโอกาสการทุจริต |
- สำนักงาน ป.ป.ท. ร่วมกับหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณและศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต (ศปท.) ของหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณ วิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงการทุจริตที่อาจเกิดขึ้นในโครงการที่ได้รับอนุมัติ และร่วมกันจัดทำมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริตในโครงการ รวมทั้งเผยแพร่ประเด็นความเสี่ยงการทุจริตในแต่ละโครงการเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมเฝ้าระวังการทุจริต ใช้เป็นแนวทางในการตรวจสอบเชิงป้องปรามของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเป็นข้อมูลเพื่อให้หน่วยงานทำการเฝ้าระวังและกวดขันไม่ให้มีการทุจริตเกิดขึ้น - ศปท. กำกับ ติดตามการดำเนินการตามแผนบริหารความเสี่ยงการทุจริตและรายงานผลดำเนินการไปยังสำนักงาน ป.ป.ท. ทุก 3 เดือน ซึ่งปัจจุบันได้ประเมินความเสี่ยงการทุจริตในโครงการระดับกระทรวง จำนวน 33 โครงการ และระดับจังหวัด จำนวน 59 โครงการ เช่น โครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่โครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา โมเดล” โดยนำร่องตรวจสอบ 6 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงแรงงาน - สำนักงาน ป.ป.ท. ร่วมกับหน่วยงานภานใน ศอตช. เช่น มท. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติประจำจังหวัด สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินจังหวัด ดำเนินมาตรการป้องปรามการทุจริตในโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง |
การตรวจสอบ |
- กรณีมีการร้องเรียนและแจ้งเบาะแสการทุจริต สำนักงาน ป.ป.ท. ได้แต่งตั้งคณะทำงานและชุดปฏิบัติการเพื่อปฏิบัติงานให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ที่มีการดำเนินโครงการ โดยกำหนดขั้นตอนการตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นการเฉพาะและบูรณาการการปฏิบัติงานระหว่างหน่วยงาน อีกทั้งเพื่อความรวดเร็วในการดำเนินงาน สำนักงาน ป.ป.ท. ได้จัดทำระบบรับเรื่องร้องเรียน ศอตช. ทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยระบบรองรับการส่งต่อเรื่องและติดตามการดำเนินงานในการตรวจสอบแบบ real time ทั้งนี้ ปัจจุบันมีประชาชนร้องเรียนการทุจริตผ่านเว็บไซต์ “ไทยเฝ้าระวัง” เกี่ยวกับโครงการพัฒนาตำบลแบบบูรณาการของกรมการปกครอง และโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา โมเดล” ของกรมการพัฒนาชุมชน จำนวน 10 เรื่อง ซึ่งตรวจสอบแล้วไม่พบข้อมูลการทุจริต จำนวน 7 เรื่อง และอยู่ระหว่างตรวจสอบ จำนวน 3 เรื่อง |
การดำเนินมาตรการ ทางปกครอง วินัย อาญา |
สำนักงาน ป.ป.ท. ได้เปิดใช้งานระบบรายงานข้อร้องเรียนเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อรองรับการติดตาม ตรวจสอบ และเร่งรัดการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐ ในกรณีมีข้อร้องเรียนเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดกระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานโครงการฯ โดยระบบสามารถติดตามและส่งต่อข้อมูลการดำเนินงานจากหน่วยงานของรัฐต้นสังกัดผ่านการรายงานของ ศปท. ไปยังสำนักงาน ป.ป.ท. แบบ real time รวมถึงแจ้งเตือนการดำเนินงานภายในระยะเวลาที่กำหนด (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2561 เรื่อง มาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในระบบราชการ) |
19. สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ครั้งที่ 3/2564
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ครั้งที่ 3/2564 เมื่อวันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เสนอ ดังนี้
สรุปสถานการณ์ ปัญหาอุปสรรค ข้อเสนอแนะ
1. รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดและผู้ติดเชื้อ ที่ประชุมรับทราบรายงานสถานการณ์ ดังนี้
1) สถานการณ์การแพร่ระบาดทั่วโลก ณ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 มีจำนวนผู้ติดเชื้อรวมทั้งสิ้น 111,954,201 ราย โดยประเทศที่พบผู้ติดเชื้อมาก 3 ลำดับแรกของโลก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อินเดีย
และบราซิล ในส่วนของประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 114 จาก 217 ประเทศทั่วโลก
2) สถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ในประเทศไทย ระหว่างวันที่ 15 ธันวาคม 2563 - 22 กุมภาพันธ์ 2564 มีผู้ป่วยยืนยันสะสม จำนวน 21,267 ราย (เป็นผู้ติดเชื้อในประเทศ 5,922 ราย คัดกรองเชิงรุก 14,407 ราย มาจากต่างประเทศ 938 ราย) หายป่วยแล้ว 20,184 ราย กำลังรักษาตัวในโรงพยาบาล 736 ราย และอยู่ในโรงพยาบาลสนาม 324 ราย ทั้งนี้ ณ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 พบผู้ป่วยรายใหม่ 89 ราย เป็นผู้ติดเชื้อในประเทศ 59 ราย การคัดกรองเชิงรุก 14 ราย และผู้ป่วยที่เดินทางมาจากต่างประเทศและอยู่ระหว่างกักตัวในสถานที่กักกันที่ทางราชการกำหนด 16 ราย
3) สรุปสถานการณ์โรคโควิด - 19 ระลอกใหม่ของประเทศไทยในภาพรวม พบว่าจังหวัดต่าง ๆ มีจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงมากและควบคุมการระบาดได้ โดยจังหวัดสมุทรสาครได้ดำเนินการตามมาตรการควบคุมโรคที่กำหนด สำหรับกรุงเทพฯ และปริมณฑลสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ในระดับหนึ่ง แต่ยังพบผู้ติดเชื้อจากตลาดสดในจังหวัดปทุมธานีทั้งในกลุ่มคนไทยและแรงงานต่างด้าว รวมทั้งต้องเน้นการควบคุมโรคอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ สถานการณ์ทั่วโลกยังพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงประเทศมาเลเซียและเมียนมา จึงต้องคงระดับการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวดตามพื้นที่ชายแดนของประเทศ
2. การดำเนินการให้เป็นไปตามข้ออนุมัติของนายกรัฐมนตรีตามการเสนอของคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ดังนี้
1) ที่ประชุมรับทราบการจัดการแข่งขัน JET SKI WORLD CUP SEASON 2020-2021 และ JET SKI PRO TOUR 2021 กำหนดจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 21 - 25 เมษายน 2564 โดยกำหนดให้มีความพร้อมในการแข่งขัน ได้แก่ (1) นักกีฬาและเจ้าหน้าที่จากต่างประเทศต้องมีใบรับรองแพทย์ปลอดโควิด (Covid-Free Certificate) (2) ต้องผ่านมาตรการกักกัน (Quarantine) ระยะเวลา 14 วัน (3) ต้องพยายามสร้าง Bubble ในแต่ละกิจกรรม (4) หากสถานการณ์การติดเชื้อโควิด - 19 ในพื้นที่อยู่ในระดับปัจจุบันอนุญาตให้มีผู้เข้าชมได้ตามเกณฑ์ที่ ศบค. กำหนด (5) ใช้ขั้นตอนการปฏิบัติในมาตรการป้องกันโควิด - 19 ซึ่งผ่านความเห็นชอบของ ศบค. แล้ว และ (6) ผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วจำนวนหนึ่ง ทั้งนี้ ให้ทุกขั้นตอนต้องมีมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อโควิด - 19 ยึดหลัก D-M-H-T-T
2) ที่ประชุมรับทราบแนวทางปฏิบัติกรณีสายการบินทำการบินขนส่งผู้โดยสารแวะต่อเที่ยวบิน (Transit Flight) ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยมีเงื่อนไขการดำเนินการ ได้แก่ (1) หลีกเลี่ยงประเทศต้นทางที่มีความเสี่ยงสูง (2) ผู้โดยสารจะต้องมีเอกสารใบรับรองแพทย์ (Fit to Fly health Certificate) ใบรับรองแพทย์ปลอดโควิด (Covid-Free Certificate) และกรมธรรม์ประกันภัย (Insurance) (3) สายการบินต้องตรวจคัดกรองและตรวจเอกสารจากประเทศต้นทาง (4) เมื่อมาลงที่สนามบินต้องกำหนดพื้นที่เฉพาะไม่ให้ออกนอกพื้นที่ที่กำหนด (Seal Route) เช่น ร้านค้า เป็นต้น (5) ไม่มีการตรวจคัดกรองที่สนามบิน เนื่องจากคัดกรองจากประเทศต้นทางมาแล้วและหลีกเลี่ยงปัญหาการบริหารจัดการที่สนามบิน (6) กำหนดเวลาการต่อเที่ยว (Transit Flight) ไม่เกิน 12 ชั่วโมง (7) เพิ่ม Security Check Point และ (8) การรอในพื้นที่ Transit ต้องจัดระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัยมีเจลแอลกอฮอล์ทำความสะอาดฆ่าเชื้อ
3) การอนุญาตให้ผู้ไม่มีสัญชาติไทยเดินทางเข้าประเทศโดยเครื่องบินส่วนบุคคลและทำการกักตัวบนเรือ สมาคมธุรกิจเรือยอร์ชไทยขอให้พิจารณาการเดินทางเข้าราชอาณาจักรของบุคคล จำนวน 4 คน (ซึ่งเป็นครอบครัวเดียวกัน แบ่งเป็นสัญชาติ จีน 2 คน อเมริกัน 1 คน และออสเตรเลีย 1 คน) ซึ่งมีความประสงค์จะเดินทางเข้าราชอาณาจักรโดยเครื่องบินส่วนบุคคลจากสนามบินซองซาน ไต้หวัน มาลงที่สนามบินนานาชาติภูเก็ต และขอเข้ารับการกักตัวในเรือ Superyacht ส่วนบุคคลชื่อ STARDUST เป็นระยะเวลา 14 วัน โดยโรงพยาบาลคู่สัญญาของบริษัทเรือจะเดินทางไปตรวจหาเชื้อโควิด – 19 ในเรือ ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจฯ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 ได้มีมติให้ความเห็นชอบในหลักการโดยมอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการ ได้แก่ (1) ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) เป็นหน่วยงานบูรณาการการดำเนินการในภาพรวม (2) กรมเจ้าท่าดำเนินการแก้ประกาศและคำสั่งในส่วนที่เกี่ยวข้อง และ (3) คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดภูเก็ตจัดทำคู่มือมาตรฐานการปฏิบัติงาน (Standard Operating Procedure: SOP) เกี่ยวกับการดูแลเรื่องมาตรการด้านสาธารณสุข ทั้งนี้ ที่ประชุม ศบค. ได้มีมติ ดังนี้
3.1) เห็นชอบในหลักการโดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ และนำแนวทางปฏิบัติดังกล่าวไปปรับใช้อย่างเหมาะสมในพื้นที่อื่น ๆ ต่อไป
3.2) เห็นชอบหลักการในการพิจารณาอนุญาตให้นักธุรกิจที่ไม่มีสัญชาติไทย ซึ่งได้รับการฉีดวัคซีนแล้วสามารถเดินทางเข้ามาในประเทศไทย โดยให้ศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด - 19 (ศปก.ศบค.) พิจารณากำหนดรายละเอียดและแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมต่อไป
3. การเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซียและคณะ (รวม 6 คน) ที่ประชุมรับทราบการเดินทางเยือนไทยของนาง Retno Marsudi รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซีย เพื่อหารือกับไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองในเมียนมา ในระหว่างวันที่ 23 – 25 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งจะเดินทางโดยเครื่องบินส่วนตัวถึงประเทศไทยวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 และเข้าพัก ณ โรงแรมอนันตรา สยาม (สถานกักกันตัวของภาครัฐ Alternative State Quarantine: ASQ) ซึ่งในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 จะเข้าหารือกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายดอน ปรมัตถ์วินัย) ณ โรงแรมที่พัก และเดินทางกลับโดยเครื่องบินส่วนตัวในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซียและคณะ ยังไม่มีคำขอยกเว้นการตรวจหาเชื้อโควิด – 19
4. ที่ประชุมเห็นชอบให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร คราวที่ 10 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 - 31 มีนาคม 2564
5. ที่ประชุมเห็นชอบให้เสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาการปรับระดับของพื้นที่สถานการณ์ย่อยในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักรสำหรับการผ่อนคลายกิจการและกิจกรรม จำนวน 4 ประเภทพื้นที่ ดังนี้
1) พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด จำนวน 1 จังหวัด ได้แก่ สมุทรสาคร โดยสรุปแนวทางปฏิบัติ ดังนี้
(1) เปิดสถานที่ โดยเข้มงวดมาตรการป้องกันโรคในสถานที่ ได้แก่ ร้านอาหาร เปิดบริการได้ไม่เกิน 21.00 น. (รับประทานอาหารในร้านได้ และงดดื่มสุราในร้าน) ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้าเปิดบริการได้ไม่เกิน 21.00 น. (จำกัดจำนวนคน และงดจัดกิจกรรม)
(2) ปิดสถานที่และเข้มงวดการควบคุมกำกับ ได้แก่ สถานบันเทิง ผับ บาร์ และสถานที่ออกกำลังกายกลางแจ้ง ยิม และฟิตเนส รวมทั้งปิดสถานศึกษาทุกระดับและสถาบันกวดวิชาโดยให้เรียน online เท่านั้น
2) พื้นที่ควบคุม จำนวน 8 จังหวัด (จากเดิม 20 จังหวัด เป็น 8 จังหวัด) ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ สมุทรสงคราม นนทบุรี นครปฐม ปทุมธานี ตาก และราชบุรี โดยสรุปแนวทางปฏิบัติ ให้เปิดสถานที่ โดยเข้มงวดมาตรการป้องกันโรคในสถานที่ ดังนี้
(1) ร้านอาหาร เปิดบริการได้ไม่เกิน 23.00 น. (รับประทานอาหารและดื่มสุราในร้านได้)
(2) สถานบันเทิง ผับ บาร์ เปิดบริการได้ไม่เกิน 23.00 น. (ดื่มสุราและแสดงดนตรีสดในร้านได้ แต่งดเต้นรำ)
(3) ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า เปิดบริการตามปกติ (จำกัดจำนวนคน งดจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย)
(4) สถานศึกษาทุกระดับ/สถาบันกวดวิชา ให้เรียนแบบปกติหรือแบบผสมผสาน
(5) สถานที่ออกกำลังกาย กลางแจ้ง ยิม ฟิตเนส ให้เปิดบริการปกติ (แข่งขันได้โดยจำกัดผู้ชม)
3) พื้นที่เฝ้าระวังสูง จำนวน 14 จังหวัด (จากเดิม 17 จังหวัด เป็น 14 จังหวัด) ได้แก่ กาญจนบุรี สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา สระบุรี นครนายก ฉะเชิงเทรา เพชรบุรี ระนอง ชลบุรี ระยอง ชุมพร สงขลา ยะลา และนราธิวาส โดยสรุปแนวทางปฏิบัติ ให้เปิดสถานที่ โดยเข้มงวดมาตรการป้องกันโรคในสถานที่ ดังนี้
(1) ร้านอาหาร เปิดบริการได้ไม่เกิน 24.00 น. (รับประทานอาหารและดื่มสุราในร้านได้)
(2) สถานบันเทิง ผับ บาร์ เปิดบริการได้ไม่เกิน 24.00 น. (ดื่มสุราและแสดงดนตรีสดในร้านได้ แต่งดเต้นรำ)
(3) ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า เปิดบริการตามปกติ (จำกัดจำนวนคน งดจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย)
(4) สถานศึกษาทุกระดับ/สถาบันกวดวิชา ให้เรียนแบบปกติหรือแบบผสมผสาน
(5) สถานที่ออกกำลังกาย กลางแจ้ง ยิม ฟิตเนส ให้เปิดบริการปกติ (แข่งขันได้โดยจำกัดผู้ชม)
4) พื้นที่เฝ้าระวัง จำนวน 54 จังหวัด (จากเดิม 35 จังหวัด เป็น 54 จังหวัด) ได้แก่ กำแพงเพชร ชัยนาท นครราชสีมา นครสวรรค์ บุรีรัมย์ ประจวบคีรีขันธ์ พังงา เพชรบูรณ์ สุโขทัย สุราษฎร์ธานี อุทัยธานี กระบี่ กาฬสินธุ์ ขอนแก่น เชียงราย เชียงใหม่ ตรัง นครพนม ชัยภูมิ นครศรีธรรมราช น่าน บึงกาฬ ปัตตานี พะเยา พัทลุง พิจิตร พิษณุโลก แพร่ ภูเก็ต มหาสารคาม มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน ยโสธร ร้อยเอ็ด ลำปาง ลำพูน เลย ศรีสะเกษ สกลนคร สตูล สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ อุดรธานี อุตรดิตถ์ อุบลราชธานี อ่างทอง สระแก้ว จันทบุรี สิงห์บุรี ตราด ปราจีนบุรี และลพบุรี โดยสรุปแนวทางปฏิบัติ ให้เปิดสถานที่ โดยเข้มงวดมาตรการป้องกันโรคในสถานที่ ดังนี้
(1) ร้านอาหาร เปิดบริการได้ตามปกติ
(2) สถานบันเทิง ผับ บาร์ เปิดบริการได้ตามปกติ
(3) ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า เปิดบริการตามปกติ (จำกัดจำนวนคน งดจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย)
(4) สถานศึกษาทุกระดับ/สถาบันกวดวิชา ให้เรียนแบบปกติหรือแบบผสมผสาน
(5) สถานที่ออกกำลังกาย กลางแจ้ง ยิม ฟิตเนส ให้เปิดบริการปกติ (แข่งขันได้โดยจำกัดผู้ชม)
6. แผนการกระจายวัคซีนโควิด - 19 ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเสนอแผนการกระจายวัคซีนฯ ดังนี้
1) แผนกลยุทธ์การบริหารจัดการวัคซีนโควิด - 19 พ.ศ. 2564 โดยมี (1) วิสัยทัศน์ ทุกคนในประเทศไทยเข้าถึงวัคซีนที่มีคุณภาพ ปลอดภัย มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคโควิด - 19 (2) เป้าหมาย ลดการป่วยรุนแรงและเสียชีวิต รักษาความมั่นคงระบบสุขภาพ ลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อ และรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม (3) หลักการ ให้วัคซีนโควิด - 19 แก่ประชาชน โดยคำนึงถึงหลักจริยธรรม ความเท่าเทียม หลักฐานทางวิชาการ ปริมาณวัคซีนที่จัดหาได้ และความสามารถในการบริหารจัดการภายใต้บริบทของประเทศ และ (4) กลยุทธ์ ประกอบด้วย กลยุทธ์ที่ 1 การสื่อสารสาธารณะ สร้างความรู้ความเข้าใจประชาชน กลยุทธ์ที่ 2 การจัดบริการที่มีคุณภาพครอบคลุมประชาชนเป้าหมายอย่างรวดเร็ว กลยุทธ์ที่ 3 การประกันคุณภาพวัคซีน และติดตามอาการข้างเคียง (AEFI) กลยุทธ์ที่ 4 การพัฒนาระบบข้อมูลและช่วยการบริหารจัดการ และกลยุทธ์ที่ 5 การจัดการองค์ความรู้เพื่อพัฒนาบริการให้วัคซีน
2) กลุ่มเป้าหมายการให้วัคซีนโควิด - 19 ในประเทศไทย แบ่งเป็น 2 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ 1 เมื่อมีวัคซีนปริมาณจำกัด |
ระยะที่ 2 เมื่อมีวัคซีนมากขึ้น และเพียงพอ |
---|---|
- วัตถุประสงค์ (1) เพื่อลดการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตจากโรคโควิด - 19 และ (2) เพื่อรักษาระบบสุขภาพของประเทศ - กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ (1) บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า ทั้งภาครัฐและเอกชน (2) บุคคลที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรังรุนแรง เช่น ปอดอุดกั้นเรื้อรัง และโรคหอบหืดที่ควบคุมได้ไม่ดี เป็นต้น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตเรื้อรังระยะที่ 5 ที่ได้รับการบำบัดทดแทนไต โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็งทุกชนิดที่อยู่ระหว่างเคมีบำบัด รังสีบำบัด และภูมิคุ้มกันบำบัด โรคเบาหวานและโรคอ้วนที่มีน้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัม (3) ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไป และ (4) เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคโควิด - 19 ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย |
- วัตถุประสงค์ (1) เพื่อรักษาเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ และ (2) เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันในระดับประชากรและฟื้นฟูให้ประเทศกลับเข้าสู่ภาวะปกติ - กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ (1) กลุ่มเป้าหมายในระยะที่ 1 (2) บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขอื่น ๆ
|
3) แผนการจัดหาวัคซีนโควิด - 19 ของประเทศไทย พ.ศ. 2564
วัคซีน |
จำนวน |
ระยะเวลา |
---|---|---|
Sinovac |
2,000,000 โดส |
กุมภาพันธ์ – เมษายน 2564 |
AstraZeneca |
26,000,000 โดส |
มิถุนายน – สิงหาคม 2564 |
AstraZeneca |
35,000,000 โดส |
กันยายน – ธันวาคม 2564 |
4) แผนการกระจายวัคซีนโควิด - 19 ในระยะที่ 1 และระยะที่ 2
5) ที่ประชุมมีมติเห็นชอบ ดังนี้
(1) เห็นชอบแผนกลยุทธ์การบริหารจัดการการให้วัคซีนโควิด - 19 ในประเทศไทย
(2) อนุมัติแผนการกระจายวัคซีนโควิด - 19 ของบริษัท Sinovac จำกัด จำนวน 2,000,000 โดส ระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2564
(3) เห็นชอบให้กระทรวงสาธารณสุข (กรมควบคุมโรค) แก้ไขสัญญาจองซื้อวัคซีนโควิด - 19 กับบริษัท AstraZeneca จำกัด จากเดิม 26,000,000 โดส เป็น 61,000,000 โดส (เพิ่มอีก 35,000,000 โดส) และเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อขอรับการจัดสรรวงเงินงบประมาณเพิ่มเติม จำนวน 6,387.46 ล้านบาท
(4) มอบหมายกระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และรายงานผลความคืบหน้าการบริหารจัดการวัคซีนโควิด - 19 ให้ ศบค. ทราบด้วย
(5) การบริหารจัดการวัคซีนโควิด - 19 ต้องยึดเป้าหมายให้ทุกคนในประเทศไทยเข้าถึงวัคซีนที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ บนพื้นฐานของหลักจริยธรรม ความเท่าเทียม และหลักวิชาการ
(6) ควรพิจารณาเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนนำเข้าวัคซีนโควิด - 19 ที่ผ่านการขึ้นทะเบียนในประเทศไทยได้
ข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
1. ให้กระทรวงสาธารณสุข และโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด – 19 สร้างความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาด ซึ่งถึงแม้ขณะนี้จะสามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดไว้ได้แล้ว แต่ยังขอให้ประชาชนให้ความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโควิด - 19 คือ D - M - H - T - T (D = Distancing, M = Mask Wearing, H = Hand Washing, T = Temperature Check, T = Thaichana/Morchana) และขอให้ประชาสัมพันธ์ข้อมูลจำนวนผู้ติดเชื้อ และจำนวนผู้ติดเชื้อที่รักษาหายแล้ว ตลอดจนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนหน้ากากอนามัยให้แก่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้มีใช้อย่างเพียงพอต่อไป
2. ให้ศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด - 19 (ศปก.ศบค.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สร้างความเข้าใจแก่ประชาชนเพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจในการผ่อนคลายการจัดกิจกรรมและการแข่งขันกีฬาต่าง ๆ ซึ่งเป็นการแข่งขันกีฬาระดับชาติที่สืบเนื่องมาจากการที่ประเทศไทยสามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นที่ยอมรับและไว้วางใจ รวมถึงให้พิจารณาผ่อนคลายกิจกรรมอื่นเพิ่มเติม เช่น สนามแข่งม้า เป็นต้น
3. ให้ศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด - 19 (ศปก.ศบค.) และศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีโรคติดเชื้อโควิด - 19 (ศปก.สธ.) ติดตามประเมินผลภายหลังการปรับระดับของพื้นที่ตามสถานการณ์และผ่อนคลายกิจการ/กิจกรรมในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักรอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันมิให้เกิดการแพร่ระบาดขึ้นอีก ทั้งนี้ ให้พิจารณาผลกระทบด้านเศรษฐกิจด้วย
4. ให้ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีโรคติดเชื้อโควิด - 19 (ศปก.สธ.) และโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด – 19 ดำเนินการด้านการบริหารจัดการวัคซีน ดังนี้
4.1 การดำเนินการเกี่ยวกับแผนบริหารจัดการวัคซีน และการสร้างความรู้ความเข้าใจในส่วนที่เกี่ยวข้องกับแผนการบริหารและกระจายวัคซีน มอบหมายให้คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโรคโควิด - 19 ภายใต้อำนาจคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เป็นผู้พิจารณาแผนและขั้นตอนการดำเนินการในการบริหารจัดการวัคซีนและการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง และให้นำเสนอคณะกรรมการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด – 19 (ศบค.) เพื่อทราบ และพิจารณาให้ความเห็นชอบในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
4.2 ให้สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการสั่งซื้อหรือนำวัคซีนเข้ามาในราชอาณาจักรของภาคเอกชน ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากวัคซีนทุกบริษัทได้ขึ้นทะเบียนภายใต้เงื่อนไขของสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยจึงยังไม่อนุญาตให้ภาคเอกชนนำเข้ามาในราชอาณาจักร และกรณีมีการขึ้นทะเบียนวัคซีนเป็นการทั่วไปที่ได้รับรองความปลอดภัยและมาตรฐานเป็นที่ยอมรับทั่วโลกหรือในประเทศผู้ผลิตวัคซีนแล้วนั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จึงจะพิจารณาการขึ้นทะเบียนเป็นการทั่วไป โดยขอให้ประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในขั้นตอนการพิจารณาอนุมัติการขึ้นทะเบียนวัคซีนของประเทศเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ประชาชน และมอบหมายให้กรมควบคุมโรคเป็นหน่วยงานให้ข้อมูลในเรื่องวัคซีนป้องกันโรคโควิด - 19
5. ให้กระทรวงสาธารณสุข และศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด - 19 กระทรวงมหาดไทย (ศปก.มท.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดูแลความเรียบร้อยในพื้นที่ต่าง ๆ พร้อมทั้งดำเนินการสุ่มตรวจหาผู้ติดเชื้อและประเมินติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดเป็นระยะ
6. ให้กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการจัดทำมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด - 19 ในสถานศึกษาทุกระดับอย่างเหมาะสม ทั้งนี้ ให้รับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อการจัดทำมาตรการด้วย
7. ให้ศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด - 19 (ศปก.ศบค.) และศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีโรคติดเชื้อโควิด - 19 (ศปก.สธ.) ตรวจติดตามและประเมินการดำเนินการของโรงแรมที่เป็นสถานที่กักกันตัว State Quarantine, Alternative State Quarantine, Organizational Quarantine, Local Quarantine เพื่อให้ได้มาตรฐานและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ หากปรากฏว่ามีผู้เข้าใช้บริการสถานกักกันตัวบิดเบือนหรือนำเสนอข้อมูลของสถานที่กักกันตัวอันเป็นเท็จหรือพบการทุจริต ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายอย่างจริงจัง
8. ให้ศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด - 19 (ศปก.ศบค.) นำความคิดเห็นและปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่สะท้อนตามสื่อต่าง ๆ มาพิจารณาประกอบการกำหนดมาตรการควบคุมป้องกันการแพร่ระบาด และมาตรการผ่อนคลายให้เป็นไปอย่างเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ต่อไป
20. เรื่อง การขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2564 และสิ้นสุดในวันที่ 31 มีนาคม 2564 ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ
เรื่องเดิม
เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2564 นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร (คราวที่ 9) ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2564 และสิ้นสุดในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 เพื่อขยายระยะเวลาการบังคับใช้อำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถารการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่เกิดขึ้นในประเทศ
การดำเนินการที่ผ่านมา
เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติได้จัดการประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อประเมินความเหมาะสมในการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในการแก้ไขการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินออกไปเป็นคราวที่ 10 ตั้งแต่วันที่ 1 - 31 มีนาคม 2564 โดยมีเหตุผลและความจำเป็น สรุปผลการประชุม ดังนี้
1. ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในภาพรวมทั่วโลกยังพบผู้ติดเชื้อจำนวนมากในหลายภูมิภาค และยังมีการยืนยันว่าพบเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์ในสหราชอาณาจักร สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ และไนจีเรีย ทำให้เกิดความไม่แน่นอนต่อผลลัพธ์ประสิทธิภาพของวัคซีนในการตอบสนองต่อการกลายพันธุ์ว่าจะสามารถป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด ทั้งนี้ ในหลายประเทศมีการพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์ และได้มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคควบคู่กับการกลับมาใช้มาตรการทางด้านสาธารณสุขที่เข้มงวดอีกครั้ง อาทิ สหราชอาณาจักร และประเทศญี่ปุ่น
2. สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในประเทศเพื่อนบ้านของไทยยังคงน่าวิตก อีกทั้งการเกิดรัฐประหารในประเทศเมียนมาทำให้มีการชุมนุมของชาวเมียนมาเพื่อประท้วงรัฐบาลเมียนมาในประเทศไทยหลายจุด และอาจเป็นสาเหตุให้มีผู้ลักลอบเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนมากในอนาคต นอกจากนี้ ปัจจุบันมีการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มต่าง ๆ เกิดขึ้นภายในประเทศ จนอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อในหลายพื้นที่ในวงกว้าง ประกอบกับได้พบการแพร่ระบาดของโรคภายในประเทศในแหล่งที่พักอาศัยและในชุมชน อาทิ ตลาด อย่างต่อเนื่อง และยังพบว่ามีผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อในหลายจังหวัดที่ไม่มีความเชื่อมโยงกับผู้ป่วยรายเดิม จึงยังต้องมีการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันมิให้เกิดการติดเชื้อในแบบกลุ่มก้อน (Cluster) ภายในประเทศ
3. มติของที่ประชุม ที่ประชุมมีความเห็นพ้องกันว่า ยังมีความจำเป็นจะต้องใช้อำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ควบคู่ไปกับการพัฒนากลไกกฎหมายปกติในการบูรณาการการปฏิบัติงาน เพื่อให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจอย่างเพียงพอในการดำเนินมาตรการที่จำเป็นในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะ 1) การเฝ้าระวังและสอบสวนโรคเพื่อหาแหล่งที่มาของการติดเชื้อ 2) การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคภายในประเทศ และ 3) การคัดกรองบุคคลที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร ทั้งนี้ เพื่อสร้างความมั่นคงและปลอดภัยในระบบสาธารณสุขของประเทศ
4. สำนักงานฯ ได้นำผลการประชุมดังกล่าวเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 3/2564 ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 เพื่อพิจารณา ซึ่งที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบผลการประชุมและมีมติให้นำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรต่อไป
ต่างประเทศ
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบร่างความตกลงระหว่างสำนักงานกลางตำรวจแห่งชาติตำรวจสากลประเทศไทย (ตำรวจสากลกรุงเทพ) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ว่าด้วยการเข้าถึงระบบข้อมูลข่าวสารขององค์การตำรวจสากลโดยตรง (ร่างความตกลงฯ) ทั้งนี้ หากก่อนการลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุง แก้ไข หรือเพิ่มเติมร่างความตกลงฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงยุติธรรมหารือกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง โดยให้อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นผู้ลงนามในความตกลง ฯ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ21. เรื่อง ร่างความตกลงระหว่างสำนักงานกลางตำรวจแห่งชาติตำรวจสากลประเทศไทย (ตำรวจสากลกรุงเทพ) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ว่าด้วยการเข้าถึงระบบข้อมูลข่าวสารขององค์การตำรวจสากลโดยตรง
ร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
ประเด็น |
สาระสำคัญ |
||||||||||||
1. วัตถุประสงค์ |
เพื่อให้กรมสอบสวนคดีพิเศษสามารถเข้าถึงระบบฐานข้อมูลองค์การตำรวจสากล จำนวน 9 ฐานข้อมูลได้โดยตรง |
||||||||||||
2. กรอบกฎหมายว่าด้วยการเข้าถึงข้อมูลโดยตรง |
การเข้าถึงและการใช้ระบบข้อมูลข่าวสารขององค์การตำรวจสากลจะต้องเป็นไปตามกฎว่าด้วยการประมวลผลข้อมูลขององค์การตำรวจสากล และเกี่ยวข้องโดยตรงกับกิจกรรมและงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษโดยตรง รวมถึงไม่ขัดต่อวัตถุประสงค์หรือความเป็นกลางขององค์การตำรวจสากล นอกจากนี้กฎหมายภายในของไทยไม่ได้ห้ามกรมสอบสวนคดีพิเศษในการเข้าถึงและการใช้ระบบข้อมูลข่าวสารขององค์การตำรวจสากล |
||||||||||||
3. ขอบเขตของการเข้าถึงข้อมูลโดยตรง |
3.1 การอ่านข้อมูล
3.2 การประมวลผลข้อมูล: จะต้องดำเนินการเพื่อความมุ่งประสงค์ในภารกิจงานตำรวจและการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติเป็นการเฉพาะเท่านั้น |
||||||||||||
4. พันธะหน้าที่ |
|
||||||||||||
5. การกำกับและการตรวจสอบโดยตำรวจสากลกรุงเทพ |
ตรวจสอบการประมวลผลข้อมูลในระบบข้อมูลข่าวสารขององค์การตำรวจสากล ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษได้เข้าไปอ่าน และใช้มาตรการเพื่อป้องกันหรือเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่จำเป็นในกรณีที่เกิดเหตุเกี่ยวกับการประมวลผล รวมทั้งอาจเพิกถอนสิทธิในการเข้าถึงและสิทธิในการประมวลผลที่ให้แก่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ในกรณีที่ไม่ปฏิบัติตามพันธหน้าที่ |
||||||||||||
6. การเข้าแทรกแซงของสำนักเลขาธิการองค์การตำรวจสากล |
สำนักเลขาธิการองค์การตำรวจสากล (ในฐานะที่เป็นผู้บริหารจัดการระบบข้อมูลข่าวสารขององค์การตำรวจสากล) ย่อมมีสิทธิในการดำเนินมาตรการที่เหมาะสมใด ๆ ภายใต้ขอบเขตของกฎว่าด้วยการประมวลผลของข้อมูลขององค์การตำรวจสากลเพื่อยุติการประมวลผลข้อมูลใด ๆ ที่ไม่เป็นไปตามที่กำหนด รวมถึงการเพิกถอนการเข้าถึงระบบข้อมูลข่าวสารขององค์การตำรวจสากล |
||||||||||||
7. การบังคับใช้ |
ความตกลงฯ จะมีผลบังคับใช้เมื่อครบกำหนด 30 วัน หลังจากที่ได้แจ้งผลการลงนามในความตกลงให้สำนักเลขาธิการองค์การตำรวจสากลทราบ |
||||||||||||
8. การแก้ไข |
อาจแก้ไขเพิ่มเติมได้โดยความยินยอมร่วมกันเป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งนี้ ตำรวจสากลกรุงเทพต้องแจ้งให้สำนักเลขาธิการองค์การตำรวจสากลทราบถึงการแก้ไขเพิ่มเติม ใด ๆ ที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของขอบเขตหรือวิธีการดำเนินการเรื่องสิทธิในการเข้าถึงและสิทธิในการประมวลผลที่ได้ให้แก่กรมสอบสวนคดีพิเศษ |
||||||||||||
9. การสิ้นสุด |
ภาคีแต่ละฝ่ายอาจบอกเลิกความตกลงได้ฯ โดยแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรให้ภาคีอีกฝ่ายหนึ่งและสำนักเลขาธิการองค์การตำรวจสากลทราบเป็นเวลาสามสิบวันเป็นอย่างน้อย |
ทั้งนี้ ร่างความตกลงฉบับนี้เป็นความตกลงในลักษณะเดียวกันกับที่สำนักงานกลางแห่งชาติตำรวจสากลประเทศไทย (ตำรวจสากลกรุงเทพ) ได้จัดทำขึ้นกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (18 เมษายน 2560) เห็นชอบไว้แล้ว
22. เรื่อง ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ ครั้งที่ 24 (The 24th GMS Ministerial Conference)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ (Greater Mekong Subregion: GMS) ครั้งที่ 24 และมอบหมายให้หน่วยงานดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงาน GMS ครั้งที่ 24 ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เสนอ
1. รัฐมนตรี 6 ประเทศลุ่มน้ำโขงให้ความเห็นชอบในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
1.1 แถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรีแผนงาน GMS ครั้งที่ 24 รับทราบถึงการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานของ 10 สาขาความร่วมมือ และมอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสของประเทศ GMS ในระยะปี 2563 และแผนการฟื้นฟูและตอบสนองต่อผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ปี 2564 - 2566 ให้แล้วเสร็จ เพื่อนำเสนอในการประชุมสุดยอดผู้นำแผนงาน GMS ครั้งที่ 7 ต่อไป
1.2 รายงานความก้าวหน้าและการปรับปรุงครั้งที่ 3 กรอบการลงทุนของภูมิภาค ปี 2565 ประกอบด้วยแผนงาน/โครงการลงทุนในอนุภูมิภาค GMS ทั้งสิ้น 205 โครงการ มีมูลค่ารวมกันกว่า 78.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยโครงการของประเทศไทย (ไทย) มีทั้งสิ้น 74 โครงการ มูลค่ารวม 17.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 22.73 ของโครงการทั้งหมด โดยโครงการมูลค่าลงทุนสูงของไทยที่ได้เริ่มดำเนินการแล้ว ได้แก่ ได้แก่ โครงการพัฒนารถไฟทางคู่ในประเทศ มูลค่า 12,192 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 มูลค่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และโครงการพัฒนาเส้นทางรถไฟเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ มูลค่า 2,279 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
1.3 ร่างกรอบยุทธศาสตร์ใหม่ของแผนงาน GMS ในระยะปี 2563 โดยมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ร่วมกันปรับปรุงร่างกรอบยุทธศาสตร์ดังกล่าว
1.4 แนวทางการจัดตั้งคณะทำงานด้านการเคลื่อนย้ายแรงงานในอนุภูมิภาค GMS และข้อกำหนดการศึกษาการจัดตั้งคณะทำงาน ให้ผู้ประสานงานหลักระดับประเทศเป็นตัวกลางช่วยจัดตั้งคณะทำงาน
1.5 ร่างเอกสารแผนการฟื้นฟูและตอบสนองต่อผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประกอบด้วย 3 เสา ได้แก่ การปกป้องชีวิตผ่านด้านสาธารณสุข การปกป้องผู้เปราะบางและผู้ยากไร้ และการเปิดพรมแดนและความเร่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
2. รัฐมนตรี 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขงรับทราบรายงานของการประชุมเวทีหารือ เพื่อการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ ครั้งที่ 11 รายงานของภาคีหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา และรายงานของสภาธุรกิจ 6ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง สรุปได้ ดังนี้
2.1 รายงานของการประชุมเวทีหารือเพื่อการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ ครั้งที่ 11 มีประเด็นสำคัญ ประกอบด้วย 1) ประเทศสมาชิก GMS และภาคีหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาจะต้องทำงานร่วมกันเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน 2) เชื่อมโยงอนุภูมิภาค GMS เข้าด้วยกันและเชื่อมออกไปสู่โลกภายนอก
2.2 รายงานของภาคีหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา มีประเด็นสำคัญประกอบด้วย 1) มุ่งเน้นการบูรณาการเศรษฐกิจของประเทศในอนุภูมิภาคสู่เศรษฐกิจโลกตลอดจนยกระดับโครงสร้างเศรษฐกิจอุตสาหกรรม 2) เพิ่มบทบาทของเมืองในฐานะกลไกส่งเสริมการเติบโตของอนุภูมิภาค 3) พัฒนาความเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐานและความร่วมมือทางการค้า
2.3 รายงานของสภาธุรกิจ 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง มุ่งเน้นใน 3 ประเด็น ได้แก่ 1) การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ 2) การอำนวยความสะดวกการค้า และการขนส่งข้ามพรมแดน เร่งส่งเสริมการลงทุนในกิจการเกษตรอุตสาหกรรม และการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย 3) การพัฒนาศักยภาพของแรงงาน
นอกจากนี้ รัฐมนตรี 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขงได้รับทราบการนำเสนอผลสรุปและข้อเสนอแนะต่อรายงานการศึกษาเกี่ยวกับการบูรณาการการยกระดับเมือง และการเชื่อมโยงใน GMS โดยผล
จากการศึกษาได้ระบุปัจจัยแห่งความสำเร็จใน 3 ประเด็นคือ 1) การมุ่งเน้นการบูรณาการเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโลกและการพัฒนาและปรับโครงสร้างด้านอุตสาหกรรม 2) ส่งเสริมบทบาทของเมืองรองในฐานะกลไกขับเคลื่อนการพัฒนา และ 3) การปรับปรุงสาธารณูปโภคของเมืองเพื่อการเชื่อมโยงและการบูรณาการด้านการค้า
3. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายถาวร เสนเนียม) ได้มีข้อเสนอต่อที่ประชุม ประกอบด้วย
3.1 เน้นย้ำถึงเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของไทยในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐานตามกรอบการลงทุนในภูมิภาค พ.ศ. 2563 (Regional Investment Framework: RIF2020)
3.2 เห็นชอบต่อร่างกรอบยุทธศาสตร์ใหม่ของแผนงาน GMS ในระยะปี 2563 เนื่องจากได้นำเสนอเรื่องการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลก และได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาวัคซีนเพื่อป้องกันโรคโควิด-19 โดยสนับสนุนให้คณะทำงานด้านสุขภาพเป็นตัวหลักในการทำหน้าที่ดูแลและติดตามผลการพัฒนาวัคซีนเพื่อกระจายวัคซีนในอนุภูมิภาคอย่างเป็นธรรมและมีประสิทธิภาพ
3.3 เน้นย้ำการดำเนินงานเพื่อการพัฒนาความเชื่อมโยงทางด้านกฎระเบียบในอนุภูมิภาค GMS โดยขอให้ประเทศสมาชิก GMS เร่งผลักดันการดำเนินงานตามความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS Cross-Border Transport Agreement: CBTA) ในด้านการปรับปรุงกฎระเบียบการดำเนินงานบริเวณด่านพรมแดน รวมทั้งเร่งปรับปรุงและเผยแพร่กฎระเบียบการขนส่งสินค้าและการเคลื่อนย้ายคนตามแนวระเบียงเศรษฐกิจให้เป็นมาตรฐานเดียวกันและมีความปลอดภัยด้านสุขภาพ เพื่อให้เกิดการบูรณาการห่วงโซ่มูลค่าของอนุภูมิภาคเข้ากับห่วงโซ่มูลค่าโลกต่อไป
4. ประเทศสมาชิก GMS และธนาคารพัฒนาเอเชียมีความเห็นพ้องกันในประเด็น ดังนี้
4.1 ความสำคัญของร่างกรอบยุทธศาสตร์ใหม่ของแผนงาน GMS ในระยะปี 2563 และร่างแผนการรับมือและฟื้นฟูโรคโควิด-19 ของ GMS ปี 2564 – 2566 ทั้งนี้ ประเทศสมาชิกต้องจัดลำดับความสำคัญของนโยบายเพื่อสนับสนุนการพัฒนาให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
4.2 ผลการประชุมเวทีหารือเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจ ครั้งที่ 11 รายงานของภาคีหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา และรายงานของสภาธุรกิจ 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง โดยเห็นถึงความสำคัญของความเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐาน กฎระเบียบ และความตกลงทางการค้าเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกอนุภูมิภาค GMS รวมทั้งได้เน้นย้ำการสร้างความร่วมมือกับหุ้นส่วนการพัฒนา เพื่อขับเคลื่อนการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม และการดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
รัฐมนตรี 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขงรับทราบการกำหนดจัดการประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานGMS ครั้งที่ 7 ผ่านระบบการประชุมทางไกล ซึ่งกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 25 มีนาคม 2564 โดยราชอาณาจักรกัมพูชาเป็นเจ้าภาพการประชุมฯ
การดำเนินงานในระยะต่อไปของแผนงาน GMS ไทยได้ผลักดันการพัฒนาด้านคมนาคมขนส่งตามแนวระเบียงเศรษฐกิจเพื่อเชื่อมโยงห่วงโซ่มูลค่ากับประเทศเพื่อนบ้านภายใต้กรอบยุทธศาสตร์แผนงาน GMS ปี 2012 – 2022 จนเกิดผลลัพธ์เป็นรูปธรรม เช่น การปรับปรุงถนนทางหลวงตาก-แม่สอด-เมียวดี แล้วเสร็จ การเปิดใช้สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 (ข้ามแม่น้ำเมย-ตองยิน) การเปิดใช้สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 (นครพนม-คำม่วน) และแห่งที่ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) และอยู่ระหว่างการดำเนินโครงการมูลค่าลงทุนสูง เช่น โครงการพัฒนารถไฟทางคู่ในประเทศ โครงการพัฒนาเส้นทางรถไฟเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 และโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงภายใต้ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและจีน นอกจากนี้ ได้มีการผลักดันการดำเนินการทางด้านกฎระเบียบคือ การเริ่มดำเนินงานภายใต้ความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS CBTA) ในระยะเริ่มแรกและการดำเนินงานในระยะต่อไป ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์แผนงาน GMS ฉบับใหม่ ปี 2020 และในช่วงหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะเป็นการต่อยอดจากการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งเพื่อเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยมุ่งเน้นการอำนวยความสะดวกการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว เพื่อเชื่อมโยงห่วงโซ่มูลค่าระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้าน
23. เรื่อง การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศ การค้าและการพัฒนาแห่งแคนาดา
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศ การค้าและการพัฒนาแห่งแคนาดา ทั้งนี้ หากก่อนลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขบันทึกความเข้าใจดังกล่าวในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงศึกษาธิการหารือกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ พิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศ การค้าและการพัฒนาแห่งแคนาดา ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ
สาระสำคัญและข้อเท็จจริง
ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศ การค้าและการพัฒนาแห่งแคนาดา มีสาระสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการจัดหาครูชาวแคนาดาเข้ามาสอนในสถานศึกษาไทย และเพื่อสนับสนุนวัตถุประสงค์ของโครงการครูชาวต่างประเทศ ได้แก่
(1) เพื่อปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอนโดยรวมในสาขาวิชาภาษาต่างประเทศและอาชีวศึกษา และ
(2) เพื่อพัฒนาความรู้ ทักษะ และสมรรถนะของนักเรียนในสาขาวิชาภาษาต่างประเทศและอาชีวศึกษา โดยมีรูปแบบความร่วมมือที่หลากหลาย อาทิ การประชาสัมพันธ์โครงการฯ การช่วยเหลือด้านการรับรองเอกสารการศึกษา และการเข้าร่วมในกระบวนการคัดเลือก เป็นต้น
แต่งตั้ง
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 3 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้ 24. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ)
1. นายเสข วรรณเมธี เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต หัวหน้าคณะผู้แทนไทยประจำสหภาพยุโรป ณ กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม อีกตำแหน่งหนึ่ง
2. นางมาฆวดี สุมิตรเหมาะ อัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงธากา สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ
3. นายนนทวัฒน์ จันทร์ตรี กงสุลใหญ่ สถานกงสุลใหญ่ ณ นครแวนคูเวอร์ แคนาดา ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงราบัต ราชอาณาจักรโมร็อกโก
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ซึ่งการแต่งตั้งข้าราชการให้ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศทั้ง 3 ราย ดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับ
25. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงอุตสาหกรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเสนอแต่งตั้ง นายใบน้อย สุวรรณชาตรี รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
26. เรื่อง การต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (ครั้งที่ 2) (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ การต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของ นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งดำรงตำแหน่งดังกล่าวครบการต่อเวลา 1 ปี (ครั้งที่ 1) ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 ต่อไปอีก 1 ปี (ครั้งที่ 2) ตั้งแต่วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 ถึงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2565
27. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้ง นายจำเริญ โพธิยอด ผู้แทนกระทรวงการคลัง เป็นกรรมการในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร แทนนางปานทิพย์ ศรีพิมล ที่ลาออก และผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งแทนนี้ให้อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระของผู้ซึ่งตนแทน ตามมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พ.ศ. 2509 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป
28. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การจัดการน้ำเสีย
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
1. ให้คณะกรรมการองค์การจัดการน้ำเสียมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 14 คน (นับรวมประธานกรรมการและกรรมการอื่นซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง กรรมการโดยตำแหน่ง และผู้อำนวยการองค์การจัดการน้ำเสียซึ่งเป็นกรรมการและเลขานุการโดยตำแหน่ง) ตามนัยมาตรา 6 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
2. แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การจัดการน้ำเสีย รวม 6 คน เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการอื่นเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2560 ดังนี้
2.1 นายพรพจน์ เพ็ญพาส ประธานกรรมการ
2.2 นายธงรบ ด่านอำไพ (ภาคธุรกิจ) กรรมการอื่น
2.3 นายฆนัท ครุธกูล (ภาคธุรกิจ) กรรมการอื่น
2.4 นายปริญญา ยมะสมิต (ภาคธุรกิจ) กรรมการอื่น
2.5 นายวิชัย โภชนกิจ กรรมการอื่น
2.6 พลเรือเอก สุชีพ หวังไมตรี (ภาคธุรกิจ) กรรมการอื่น
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป
29. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการคลัง)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอโอนข้าราชการพลเรือนสามัญในสังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. โอน นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน (เศรษฐกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ไปดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง (นักบริหารสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
2. โอน นายปิยกร อภิบาลศรี ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ภาษีสรรพสามิต (นักวิชาการสรรพสามิตทรงคุณวุฒิ) กรมสรรพสามิต ไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
30. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการการบินพลเรือน
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแต่งตั้งนายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการการบินพลเรือนแทนนายชยธรรม์ พรหมศร ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป
31. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการอื่น (ผู้แทนกองทัพอากาศ) ในคณะกรรมการกำกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแต่งตั้ง นาวาอากาศเอก วุฒิ น้อยเชี่ยวกาญจน์ เป็นกรรมการอื่น (ผู้แทนกองทัพอากาศ) ในคณะกรรมการกำกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย แทนนาวาอากาศเอก ศักรินทร์ ไชยวาน (ซึ่งลาออกจากตำแหน่งกรรมการ ในคณะกรรมการกำกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย)
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี