ไม่รู้จัก3พี่น้อง"อัครพงศ์ปรีชา" "เสี่ยนพพร"โต้ แฉ"เสธ.เจี๊ยบ"ตัวการอุ้ม

ไม่รู้จัก3พี่น้อง"อัครพงศ์ปรีชา" "เสี่ยนพพร"โต้ แฉ"เสธ.เจี๊ยบ"ตัวการอุ้ม

วันจันทร์ ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2557, 06.00 น.
Tag :

ไม่รู้จัก3พี่น้อง”อัครพงศ์ปรีชา”

‘เสี่ยนพพร’โต้

แฉ’เสธ.เจี๊ยบ”ตัวการอุ้ม

อ้างเป็นเหยื่อโดนรีด100ล.

ตร.ยันเอี่ยวแก๊ง’พงศ์พัฒน์’

ความคืบหน้าการติดตามจับกุม “เสี่ยนิค” หรือนายนพพร ศุภพิพัฒน์ อายุ 43 ปี ประธานกรรมการบริหาร บริษัทวินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด (WEH) มหาเศรษฐีหนุ่มหมื่นล้าน ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับในข้อหาหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และกรรโชกทรัพย์ กรณีให้ 3 พี่น้องอดีตนามสกุล “อัครพงศ์ปรีชา” ขู่กรรโชกให้นายบัณฑิต โชติวิทยะกุล ซึ่งเป็นเพื่อนกัน ลดหนี้ลงจาก 120 ล้านบาท ให้เหลือ 20 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการหลบหนีในต่างประเทศนั้น

“เสี่ยนพพร”ร่อนจม.แจง7ข้อ


ล่าสุดเมื่อช่วงเช้าวันที่ 7ธันวาคม ในเฟซบุ๊กส่วนตัวของนายแอนดริว แมคเกรเกอร์ มาร์แชลล์( Andrew Macgregor Marshall) นักข่าวชาวสกอตแลนด์ ผู้เขียนหนังสือ A Kingdom in Crisis ที่ถูกห้ามจำหน่ายในประเทศไทย เนื่องจากมีเนื้อหาไม่เหมาะสม ได้มีการโพสต์ข้อความจดหมายเปิดผนึกและภาพนายนพพร ซึ่งอ้างว่าตัวเองตกเป็นเหยื่อถูกใส่ร้ายป้ายสีและขูดรีด พร้อมชี้แจงถึงคดีดังกล่าวรวม 7 ข้อ มีเนื้อหาโดยสรุปดังนี้

เพื่อความกระจ่างในคดีนี้ ผมใคร่ขอเรียนชี้แจงอย่างไม่กลัวอิทธิพลใดๆ คือ 1.กระผมไม่ได้เป็นลูกหนี้นายบัณฑิต ในความเป็นจริงแล้วกระผมถูกขูดรีดจากนายบัณฑิตเสมอมา ความเดิม คือ กระผมกับนายบัณฑิต และเพื่อนอีก 2 คนร่วมกันลงในทุนในบริษัท กริฟฟอน อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง โดยกระผมเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 40% ในปี 2543 ได้ยืมเงินจากบริษัทดังกล่าว โดยลงบัญชีเป็นลูกหนี้เงินกู้ยืมบริษัทเป็นเงินประมาณ 17ล้านบาท แต่ผู้ถือหุ้น 3คน รวมทั้งบัณฑิตไม่เห็นว่าเป็นการกู้ยืมจึงไปแจ้งความดำเนินคดีในข้อหายักยอกทรัพย์ กระผมจึงได้ชำระเงินคืนบริษัทในรูปของการชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ของบริษัท(ซึ่งเป็นสถาบันการเงิน) จำนวน 8.9ล้านบาท แทนบริษัทในปี2547

ยันเปล่าเป็นหนี้เหยื่อถูกอุ้ม

ต่อมาในปี 2555 กระผมชำระคืนบริษัทอีก 17 ล้านบาท โดยทำยอมความกันที่ศาลฎีกาในเดือนเมษายน 2555 ในหนังสือถอนคำร้องทุกข์ระบุชัดเจนว่าผมชดใช้ค่าเสียหายแก่บริษัทจนครบถ้วนแล้ว และผู้ถือหุ้นอื่นๆต่างก็ไม่ติดใจเอาความอีกต่อไป(หลักฐานมีสำเนาอยู่ที่ทนายความของกระผม 2 คน คือ นายวิชานนท์ วิมลสังข์ และนายพิษณุ พานิชสุข ส่วนเอกสารตัวจริงอยู่ที่ศาลฎีกา) จึงคงเหลือแต่บัณฑิตคนเดียวที่ยังไม่ยอมถอนฟ้องกระผมในคดีนี้ ทั้งที่ได้ส่วนแบ่งจากเงิน 17 ล้านบาทไปแล้ว ผมจึงมิได้เป็นหนี้ใดๆกับนายบัณฑิต ทั้งทางตรงและทางอ้อมตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2555

2.การขูดรีดครั้งที่ 1 นายบัณฑิตเรียกร้องเงิน 100 บาทเพื่อแลกกับการถอนฟ้อง ในปี 2557 กระผมมีฐานะดีขึ้นและไม่อยากมีคดีติดตัวต่อไป จึงเปิดการเจรจาโดยส่งข้อความเสนอเงิน 20 ล้านบาท ให้บัณฑิตเพื่อให้ถอนฟ้อง แต่ไม่ได้มีการตอบกลับจากนายบัณฑิต จนกระทั่งผมเดินทางไปติดต่อธุรกิจที่ยุโรปในวันที่ 24พฤษภาคม ต่อมาขณะอยู่ต่างประเทศได้ทราบจากคนรู้จักว่านายบัณฑิต จะเปิดตัวเลขกลับมาที่ 100 ล้านบาท แต่กระผมคิดว่าน่าจะต่อรองได้ในราคา 50-60ล้านบาท วันที่ 18มิถุนายน ขณะผมอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส จึงให้นายพิษณุ พานิชสุข ส่งสัญญายอมความ 2ฉบับมาให้ทางอีเมล ฉบับหนึ่งระบุตัวเลขเป็นเงิน 50 ล้านบาท ส่วนอีกฉบับระบุ 60 ล้านบาท ซึ่งกระผมได้ลงชื่อแล้วก็ส่งกลับไปให้ทนายในวันเดียวกันทาง DHL

“เสธ.เจี๊ยบ”โวเคลียร์หนี้ให้ได้

3.นายปริญญา รักวาทิน หรือ “เสธ.เจี๊ยบ” เพื่อความมั่นใจว่าเรื่องราวจะได้ข้อยุติ กระผมได้โทร.ทางไกลมาปรึกษากับนาย หรือ น.ท.ปริญญา รักวาทิน หรือ “เสธ.เจี๊ยบ” กรรมการผู้จัดการบริษัท เรือด่วนเจ้าพระยา จำกัด ซึ่งนายพิษณุ เคยแนะนำให้รู้จัก และชอบอ้างตัวสนิทสนมกับ เสธ.คนดัง ว่าสามารถเชิญผู้ใหญ่ที่ทุกคนเกรงใจเข้ามาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยในเรื่องนี้ได้หรือไม่ มีค่าใช้จ่ายอย่างไร และสามารถทำให้รูปแบบการเจรจาอยู่ในกรอบของกฎหมายตามที่ทนายให้แนวทางไว้ได้หรือไม่

นายปริญญา ก็ยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่าทำได้เพราะตัวเลขที่เสนอถึง 60 ล้านบาท ก็เป็นจำนวนมากพอที่น่าจะทำให้นายบัณฑิตยอมตกลงอยู่แล้ว หากเพิ่มบุคคลที่ทุกคนเกรงใจเข้ามาเป็นคนกลางบัณฑิตย่อมไม่กล้าเรียกร้องแบบไร้เหตุผล ที่กระผมต้องพึ่งผู้ใหญ่ในการเจรจาไกล่เกลี่ยครั้งนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะนายบัณทิตเป็นลูกชายของผู้มีอิทธิพลภาคใต้

ยันไม่รู้จัก“อัครพงศ์ ปรีชา”

4.ผมไม่เคยรู้จัก หรือได้ยินชื่อสามพี่น้องอัครพงศ์ปรีชา ก่อนเกิดเหตุวันที่ 23 มิถุนายน นายปริญญา แจ้งว่าผู้ใหญ่เรียกค่าดำเนินการ 30 ล้านบาท ผมจึงตกลงและจ่ายล่วงหน้าเป็นเงิน 5 ล้านบาท ส่วนอีก 25 ล้านบาท จะจ่ายเมื่อมีการตกลงยอมความกันที่ศาล โดยจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขคือต้องให้คู่เจรจา คือ นายบัณฑิต ยอมความโดยสมัครใจหรือเกรงใจเท่านั้น หากไม่สำเร็จกระผมก็จะนำเงิน 25 ล้านบาทนี้ไปเพิ่มยอดให้นายบัณฑิตรวมเป็น 85 ล้านแทน เพื่อให้คดียุติ

“ผมเชื่อมาโดยตลอดว่า เสธ.เจี๊ยบ จะไปเชิญ เสธ.คนดัง ซึ่งจะไกล่เกลี่ยแบบผู้ใหญ่มาเป็นคนกลาง แต่ปรากฏข้อเท็จจริงว่านายปริญญา ไปว่าจ้าง 3 พี่น้องอัครพงศ์ปรีชา มากระทำการอุกอาจ และไปบังคับให้บัณฑิตรับเงินแค่ 20 ล้านบาท ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ ผิดจำนวนเงิน และเงื่อนไขที่ผมให้ไว้อย่างสิ้นเชิง”

โวยเป็นฝ่ายถูกข่มขู่รีดหนี้

5.ผมถูกขูดรีดครั้งที่ 2 เพิ่มเป็น 150 ล้าน หลังเกิดเหตุดังกล่าวนายบัณฑิตไม่พอใจอย่างมาก จึงเพิ่มตัวเลขไปเป็น 150 ล้านบาท ผมเรียนตรงๆว่าขณะนั้นเข็ดและหดหู่กับเรื่องนี้ จึงแจ้งว่ายินดีจะจบที่ 120 ล้านบาท โดยจ่ายทันที 80 ล้านบาท และตีเป็นเช็คล่วงหน้าอีก 40 ล้านบาท นายบัณฑิตตกลงโดยมาทำสัญญายอมความที่ศาลในวันที่ 10 กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยขณะไปยอมความที่ศาลกระผมก็ยังอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส

6.ถูกนายเจี๊ยบ หรือนายปริญญา ขูดรีดอีก 25 ล้านบาท ต่อมานายปริญญากลับมาขอเงิน 25 ล้านบาท กับผมอีก ผมตอบไปว่านายปริญญาไปทำเสียหายจนผมต้องจ่ายเงินเกินกว่าที่ควรแล้วยังจะมาขอเงิน 25 ล้านอีกหรือ นายปริญญา เพียงตอบสั้นๆว่าอยากมีเรื่องกับ…(หมายถึงสามพี่น้อง) หรือ??? ผมกลัวจะไม่ปลอดภัยเลยต้องให้เงิน 25 ล้านบาทไป โดยนัดให้มารับเงินสดที่สำนักงานใหญ่บริษัท WEH ช่วงสิ้นเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา

อ้างหนีกลัวถูกปิดปากในคุก

7.ตำรวจ สน.วัดพระยาไกร ปิดบังหลักฐานและจงใจให้ผมตกเป็นเหยื่อ พนักงานสอบสวน สน.วัดพระยาไกร ที่รู้จักกับนายปริญญา ชื่อ “ผู้กองอรุณ” ได้ติดต่อผ่านนายพิษณุ ให้กระผมเข้ามาให้ปากคำ ผมจึงได้เข้าไปให้ปากคำเมื่อวันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา โดยมีบันทึกข้อความไว้เป็นหลักฐาน แต่ยังไม่สมบูรณ์เนื่องจากในตอนท้ายพนักงานสอบสวนชื่อ “สารวัตรชูศักดิ์” ถามผมว่ารู้จัก “เจี๊ยบ” หรือไม่ ผมเห็นว่าทั้งทนาย และพนักงานสอบสวนเป็นเพื่อนกับนายปริญญา จึงไม่กล้าพูดอะไรมาก

จนวันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน ผมโทรศัพท์หาสารวัตรชูศักดิ์เพื่อขอนัดเข้ามาให้ปากคำเพิ่มเติม แต่ได้รับการบ่ายเบี่ยง และแจ้งกับกระผมว่ารู้แล้วว่าเจี๊ยบคือใคร ไม่ต้องมาหรอก ผมเห็นเป็นพิรุธ ประกอบกับมีการประโคมข่าวเรื่องลดหนี้ ผมเกรงว่าคงไม่ได้ประกันตัวและถูกปิดปากในเรือนจำ จึงจำเป็นต้องหลบหนีออกนอกประเทศมาตั้งหลัก เพื่อทำหนังสือฉบับนี้เพื่อแถลงข้อเท็จจริง และสื่อมวลชนหากจะกรุณาให้ความยุติธรรมนำเสนอข่าว และร่วมต่อสู้กับกระบวนการอยุติธรรมที่ทำให้บุคคลผู้บริสุทธิ์ตกเป็นแพะ และเป็นเหยื่อคนแล้วคนเล่า

ผบช.น.สั่งทำรายงานชี้แจง

ด้าน พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. กล่าวว่า กรณีนายนพพร อ้างว่าพนักงานสอบสวน สน.วัดพระยาไกร ได้ปกปิด และบิดเบือนหลักฐานเพื่อยัดข้อหาให้นั้น ตนได้สั่งการให้ ผกก. สน.วัดพระยาไกร เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อทำรายงานชี้แจงกลับมาที่ตนอีกครั้ง ซึ่งกรณีดังกล่าวจะไม่กระทบต่อสำนวนคดีในภาพรวมของแก๊งอ้างสถาบันฯข่มขู่ประนอมหนี้ของนายณัฐพล สุวดี(อัครพงศ์ปรีชา) และพวกแต่อย่างใด

ส่วนกรณี น.ท.ปริญญา ได้มีการทำเรื่องขอประกันตัวมายัง บช.น. และได้ส่งเรื่องไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไปว่าควรจะดำเนินการต่อไปอย่างไร เนื่องจากเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง โดยเฉพาะมาตรา 112 ซึ่งกลุ่มผู้ต้องหาได้แอบอ้างสถาบันเบื้องสูง เพื่อข่มขู่ให้ผู้อื่นกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด

ตำรวจยันให้ความเป็นธรรม

ด้าน พ.ต.อ.เกียรติณรงค์ เฉลิมสุข ผกก.สน.วัดพระยาไกร กล่าวว่า กรณีที่นายนพพร เกรงว่าพนักงานสอบสวนจะไม่ให้ความเป็นธรรม และจะไม่ปลอดภัย จนต้องหนีออกนอกประเทศนั้น ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง พนักงานสอบสวนไม่มีทางบิดเบือนอย่างแน่นอน เพราะการแจ้งข้อหาแต่ละครั้งต้องมีหลักฐานชัดเจน จนขออนุมัติหมายจับศาลทหารได้ หากผู้ต้องหาต้องการแสดงความบริสุทธิ์ให้ประสานมาได้ทันที ซึ่งคดีนี้มีการตั้งคณะพนักงานสอบสวน โดยมี พล.ต.ต.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(รอง ผบช.น.) เป็นหัวหน้าชุดด้วย

“เสธ.เจี๊ยบ”เครียด-ฝากขัง8ธ.ค.

ผกก.สน.วัดพระยาไกร กล่าวอีกว่า เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ที่ผ่านมา “เสธ.เจี๊ยบ” หรือ น.ท.ปริญญา ได้เข้ามอบตัวที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) และให้ปากคำที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี จากนั้นได้นำตัวผู้ต้องหามาควบคุมที่ สน.วัดพระยาไกร โดยให้ตรวจตราดูแลตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิด เนื่องจากผู้ต้องหาอยู่ในภาวะเครียด โดยวันที่ 8 ธันวาคม จะควบคุมตัวผู้ต้องหาไปฝากขังที่ศาลทหาร

ผช.ผบ.ตร.ยื่นค้านประกันตัว

ด้าน พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผู้ช่วย ผบ.ตร.) ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า แถลงการณ์ที่นายนพพรเผยแพร่ออกมา เป็นเพียงการพูดลอยๆ หากคิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมควรนำหลักฐานมาต่อสู้กันตามกระบวนการทางกฎหมาย ส่วนที่ระบุว่าตำรวจ สน.วัดพระยาไกร บิดเบือนหลักฐานนั้นก็เป็นการพูดขึ้นมาลอยๆ อีกทั้งคดีดังกล่าวนายตำรวจระดับผู้บัญชาการก็ลงมาควบคุมด้วยตัวเอง จึงไม่น่าจะมีการบิดเบือนเกิดขึ้นได้ แต่ยอมรับว่าเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา นายนพพร ได้เข้ามาพบพนักงานสอบสวนจริง แต่เปิดเผยรายละเอียดไม่ได้ ขณะเดียวกันวันที่ 8 ธันวาคม นี้ จะนำตัว น.ท.ปริญญาไปขออำนาจศาลฝากขัง และจะยื่นคำร้องคัดค้านการประกันตัวแนบไปด้วย จากนั้นคงเป็นขั้นตอนของศาลว่าจะพิจารณาอย่างไร

ลือ“โจ้-นิค”ซุกบ่อน-ค่ายทหารเขมร

ขณะที่ พ.ต.อ.ธีระชัย เด็ดขาด ผกก.ตม.จว.สระแก้ว กล่าวว่า ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.เบญจพล รอดสวาสดิ์ รองผกก.ตม.จว.สระแก้ว ประสานความร่วมมือ และสนธิกำลังกับทหารออกลาดตะเวนตามตะเข็บแนวชายแดนช่องทางธรรมชาติ หลังตลาดโรงเกลือ และใต้สะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เพื่อสกัดจับนายนพพร และนายสหชัย เจียรเสริมสิน หรือเสี่ยโจ้ พ่อค้าน้ำมันเถื่อนรายใหญ่ที่จ่ายส่วยให้เครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(ผบช.ก.) แล้ว

นอกจากนี้ได้ประสานไปยัง ตม.กัมพูชา ให้ตรวจสอบกรณีมีข่าวจากนักพนันชาวไทยว่าพบเห็น “เสี่ยโจ้” ซ่อนตัวอยู่ในบ่อนกาสิโนแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นของอดีตนักการเมืองไทยที่หลบหนีคดีไปอยู่ในกัมพูชา และเคยค้าน้ำมันเถื่อนเหมือนกัน เช่นเดียวกับนายนพพร ที่อยู่ในการดูแลของนายทหารใหญ่ของกัมพูชานายหนึ่ง ซึ่งสนิทสนมกับอดีตนักการเมืองและเจ้าของบ่อนรายนี้ โดยนายนพพร พักอยู่ในค่ายทหารแห่งหนึ่งในกรุงพนมเปญ แต่ทางกัมพูชายืนยันว่าจากการตรวจสอบไม่พบนายสหชัย ซุกซ่อนอยู่ในบ่อนดังกล่าว ส่วนนายนพพร อยู่ระหว่างตรวจสอบไปที่กรุงพนมเปญว่าเป็นความจริงหรือไม่ แต่คาดว่าคงเป็นแค่ข่าวลือ

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top