เดินสายพบ 'แดงอีสาน'
แฉเลขาฯทูต
'ดอน'สอนมารยาทมะกัน
เพื่อนบ้านที่ดีอย่ามาจุ้นบ้านคนอื่น
บิ๊กตู่จวกฟ้องต่างชาติ'น่าอาย'
สั่งคสช.เอาจริง'พูดก่อการร้าย'
เมื่อวันที่ 30 มกราคม พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหมและผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์ยอมรับว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีการกำชับให้ฝ่ายความมั่นคงติดตามการลงพื้นที่พบคนเสื้อแดงในภาคอีสานของนายแพทริค เมอร์ฟี่ อุปทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เพื่อติดตามสถานการณ์
อย่างให่เกียรติซึ่งกันและกัน
“เราต้องให้เกียรติเขา แต่ก็ต้องติดตาม ก็หวังว่าจากการพูดคุยในระดับรองนายกรัฐมนตรีวันก่อน และการแสดงออกของส่วนต่างๆน่าจะทำให้สหรัฐฯมีความเข้าใจประเทศไทยมากยิ่งขึ้นว่าการดำเนินการต่างๆเราจำเป็นต้องทำเช่นนั้น เพื่อให้ประเทศสงบ และคงไม่มีผลกระทบใดๆ “พล.อ.อุดมเดช กล่าว
ฮึ่ม!ใครพูดมากอีกจะเรียกคุย
ส่วนกรณี คสช.เรียกตัวอดีตนักการเมืองมาปรับทัศนะคตินั้น พล.อ.อุดมเดชกล่าวว่า อยากให้ใช้คำว่าเป็นการเชิญบุคคลต่างๆมาพูดคุย เพื่อให้เกิดความเข้าใจ ไม่ได้มีความรุนแรงใดๆ จากสถานการณ์ปัจจุบันเป็นเรื่องที่ต้องพยายามทำให้เกิดความเข้าใจกันและกัน ขอความร่วมมือในการแสดงออก การแสดงความคิดเห็น ถ้าอยู่ในกรอบก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าไม่เข้าใจก็ต้องเชิญมาพูดคุย แต่ละคนที่มาก็เข้าใจและเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และคงทำให้เกิดความเรียบร้อยต่อไป
“ขณะนี้คงไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็น ซึ่งผมเคยพูดและขอร้องแล้วว่า ให้อยู่ในกรอบแต่ถ้ายังแสดงออกถึงความไม่เข้าใจก็คงต้องพูดคุยกันต่อไป”ผบ.ทบ.กล่าว และย้ำว่า ถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อยก็ไม่ต้องเรียกมาเพิ่มเติมอีก แต่บางคนที่ไม่เรียบร้อย ไม่เข้าใจ ก็ต้องเรียกมาคุยให้เข้าใจ
คสช.ดักคอทูตสหรัฐควรรู้มารยาท
ด้านพ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก คสช.กล่าวถึงกรณีนายกฯให้คสช.ติดตามสถานการณ์ที่อุปทูตสหรัฐฯลงพื้นที่พบคนเสื้อแดงว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดการเดินทางไปปฏิบัติงานหรือไปทำกิจกรรมภารกิจอันใด ทุกคนมีสิทธิ์ดำเนินกิจกรรมตามความเหมาะสม ถ้าไม่กระทบความสัมพันธ์ เชื่อว่าผู้แทนมิตรประเทศหรือนักการทูตจะให้เกียรติประเทศที่ตนเองพำนักอยู่ คงไม่ทำอะไรที่กระทบความสัมพันธ์กับประเทศนั้น โดยเฉพาะเรื่องการเมืองหรือการแทรกแซงนโยบาย เพราะอาจกระทบความรู้สึกคนของประเทศที่พำนักได้ อีกทั้ง ปกตินักการทูตจะมีธรรมเนียมและมารยาททางการทูตที่เป็นมาตรฐานสากลอยู่แล้ว
“สุวพันธุ์”ผิดหวังมะกันไม่เข้าใจไทย
ขณะที่นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติกล่าวเรื่องเดียวกันว่า ไทยมีสิทธิ์ดำเนินนโยบายของตัวเอง สหรัฐในฐานะมิตรประเทศก็ต้องเข้าใจและให้ความสำคัญ อีกทั้ง ควรรู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร มากน้อยแค่ไหน อย่างไรก็ตาม ไม่ห่วงการแสดงออกของสหรัฐและไทย ทุกคนมีสิทธิ์คิด แต่ส่วนตัวรู้สึกผิดหวังกับเหตุการณ์ครั้งนี้ เพราะเราช่วยเหลือสหรัฐฯมากในเรื่องความมั่นคง และวันนี้ก็ยังช่วยอยู่ เขาก็ต้องมองเราด้วยความเข้าใจ เป็นแบบนี้ก็ไม่ทราบเจตนาสหรัฐเหมือนกัน
“บิ๊กตู่”สั่งคสช.เอาจริงพวกป่วน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยช่วงค่ำวันเดียวกันตอนหนึ่งระบุถึงการออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆในบ้านเมืองว่า การประท้วงของเกษตรกรตนเข้าใจทราบถึงความเดือดร้อน ส่วนการพูดของอดีตนักการเมือง ที่มีคดีหรือว่าอยู่ในพรรคการเมืองที่มักขู่รัฐบาล ขู่เจ้าหน้าที่รัฐจะใช้การชุมนุม จะใช้ความรุนแรง จะปรองดองไม่ได้หรือว่าทำให้เกิดเหตุร้ายแรงเหมือนภาคใต้นั้น อันนี้อันตราย และได้สั่งการให้ คสช.ประเมินแล้วก็ดำเนินการอย่างระมัดระวังโดยทันทีกับผู้ที่มีการกระทำดังกล่าว ยืนยันว่าไม่ได้ต้องการทำลายใคร แต่เมื่อทำผิดก็ต้องดำเนินการ อยากให้ทุกคนรับฟังข้อเท็จจริง รักประเทศชาติ
พูดเชิงก่อการร้ายต้องขึ้นบัญชีดำ
“ผมถือว่าเป็นการพูดในเชิงเหมือนกับลักษณะการก่อการร้าย พวกนี้ถูกบันทึกไว้หมดแล้วต้องถูกดำเนินการตามกฎหมายโดยทันที อันนี้ไม่ใช่การปิดกั้นเสรีภาพ เป็นการพูดที่ทำให้เกิดความผลกระทบต่อความมั่นคง”พล.อ.ประยุทธ์กล่าว และว่า วันนี้ทุกเรื่องมีปัญหาไปหมดจะปฏิรูป จะออกกฎหมายอะไรก็ไม่ได้ มีการคัดค้าน ไม่เข้าใจว่าจะเดือดร้อนอะไรมากมาย
ซัดพวกฟ้องต่างชาติไม่อายหรือไง
“เดือดร้อนแต่เพียงว่า วันหน้าจะเข้ามาใช้อำนาจไม่ได้ ใช้ไม่สะดวกโกงกินไม่ได้หรือไม่ อันนี้ไม่อยากเปิดศึก แต่ต้องพูด ไม่เช่นนั้น ตนถูกพูดอยู่ข้างเดียว ผมไม่อยากไปกล่าวว่าใคร ไม่อยากไปพูดประเทศไทยเสียหา ไปโทษคนนั้นคนนี้ ท่านไม่อายเขาหรือไง ท่านเที่ยวไปร้องแรกแหกกระเชอกับต่างประเทศเขาทั่วไปหมด ผมว่าต้องเลิกแล้วนะ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
“เต้น”พบทหารยันจุดยืนเห็นต่าง
ขณะเดียวกัน มีความเคลื่อนไหวของอดีตนักการเมืองเข้ารายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ทหาร เมื่อเวลา 09.00 น. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)เดินทางไปที่สโมสรทหารบก เทเวศร์ เพื่อพูดคุยกับพ.อ.นวกร สงวนศักดิ์โยธิน ผู้บังคับการกรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 1 หลังนายกฯสั่งการให้คสช. เชิญผู้ที่ยังแสดงออกด้านความคิดเห็นทางการเมืองมาทำความเข้าใจ เพื่อขอความร่วมมืองดการแสดงออก และงดวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลและคสช.ช่วงนี้ โดยนายณัฐวุฒิให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าพูดคุยว่า ไม่กังวล เพราะที่ผ่านมาได้แสดงความเห็นชัดเจนว่ามีความคิดเห็นที่แตกต่าง แต่ไม่ได้มีแนวโน้มปลุกปั่น เนื่องจากไม่ต้องการให้เกิดการเผชิญหน้า
ยินดีงดจ้อลั่นพร้อมรับผิดชอบคำพูด
หลังการพูดคุยกว่า 1 ชั่วโมง นายณัฐวุฒิเปิดเผยว่า บรรยากาศการพูดคุย เจ้าหน้าที่ทหารมีมิตรไมตรีจิตดี ไม่มีการบังคับและไม่มีท่าทีแข็งกร้าว อีกทั้ง มีข้อยุติร่วมกันเรื่องการขอความร่วมมือในการแสดงเห็นทางการเมือง ซึ่งตนก็ยินดี เพื่อไม่ให้เกิดการเผชิญหน้าและความวุ่นวายในบ้านเมือง แต่ยืนยันว่าที่ผ่านมาตนแสดงออกด้วยความบริสุทธิ์ใจและปรารถนาดีต่อบ้านเมือง
“ผมก็เป็นของผมแบบนี้ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ด้วยสถานการณ์ อะไรที่จะดำเนินการต่อไปข้างหน้าหรือไม่ดำเนินการ ผมก็รับผิดชอบ ยืนยันไม่มีเจตนาขัดขวางหรือต่อต้านใดๆทั้งสิ้น ทั้งหมดเป็นเรื่องความคิดเท่านั้น” นายณัฐวุฒิ กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ทหารพูดทิ้งท้าย”แล้วแต่น้อง”
หลังจากนั้น นายณัฐวุฒิได้โพสต์เฟซบุ๊คระบุถึงการเข้าพบเจ้าหน้าที่ทหารว่า การสนทนาเป็นไปด้วยอัธยาศัยไมตรี สาระสำคัญคือ อธิบายเหตุผลการยึดอำนาจ ความมุ่งหมายของคสช.และขอให้งดแสดงความเห็นทางการเมือง พร้อมแจ้งมาตรการต่อไปถ้าเห็นว่าไม่ให้ความร่วมมือ ซึ่งตนก็บอกว่ายินดีให้ความร่วมมือ ไม่มีเคลื่อนไหวเผชิญหน้า แต่เรื่องการแสดงความเห็นนั้น ตนคิดว่าเป็นสิทธิ์และพร้อมรับผิดชอบต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้น ขอให้เข้าใจว่าทุกอย่างที่พูด เพราะผมคิดและเชื่อเช่นนั้น ด้วยความหวังดีต่อบ้านเมืองไม่มีเป้าหมายอื่น สุดท้ายก็จบตรงที่ “ก็แล้วแต่น้อง”ถือว่าเราได้พูดคุยกันแล้ว ตนก็ตอบว่าหากวันข้างหน้ามีเหตุต้องเรียกตนมาหรือดำเนินการอย่างไรกับตนอีก ขอให้เข้าใจว่า ไม่ใช่ตนเล่นแง่หรือไม่ไว้หน้าคณะที่พูดคุยกัน แต่”ผมเป็นผมแบบนี้จริงๆ”
หิ้ว“พิชัย”เข้าค่ายปรับทัศนคติ
เวลาไล่เลี่ยกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ทหารเดินทางไปที่บ้านของนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมรับตัวมาปรับเปลี่ยนทัศนคติที่กองทัพภาคที่ 1 (ทภ.1)หลังออกมาแสดงความคิดเห็นเรื่องการปฎิรูปพลังงาน โดยนายพิชัยกล่าวว่า ไม่รู้สึกกังวลใจที่ถูกเชิญตัวไปวันนี้ เพราะแสดงความเห็นไปตามหลักการและเหตุผล
หลังพูดคุย นายพิชัยโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ได้รับเชิญตัวไปกองทัพภาคที่ 1 มีการแลกเปลี่ยนความเห็นกันอย่างสุภาพกับผู้แทนกองทัพ ซึ่งขอความร่วมมือไม่ให้ตนแสดงความคิดเห็นที่จะไปกระทบการบริหารงานของรัฐบาล ไม่ใช่การบังคับหรือข่มขู่และไม่ต้องการควบคุมตัว ซึ่งตนก็ยืนยันไปว่าการแสดงความเห็น เพราะอยากเห็นประเทศก้าวหน้า อยากให้รัฐบาลพิจารณา เพราะเห็นด้วยกับรัฐบาลในแนวทางปรับราคาพลังงานของรัฐบาล และยินดีให้ความร่วมมือ งดแสดงความเห็นที่กระทบรัฐบาลอีก
“ผมเข้าไปถึงกองทัพภาคที่ 1 เวลา 10 โมงกว่า กลับออกมาประมาณเที่ยงกว่า การสนทนาเป็นไปด้วยดี สุภาพ และตรงประเด็น โดยผู้แทนกองทัพยังพนันกับผมว่าเศรษฐกิจในอีก 3 เดือนหน้านี้จะดีแน่นอน ผมเองอยากจะเสียพนัน เพราะประชาชนจะได้มีความสุข”นายพิชัยระบุ
“วรชัย”เจอเรียกรายงานตัว2กพ.
ทางด้านนายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทยเปิดเผยว่า ได้รับการประสานจากคสช.ให้ไปรายงานตัววันที่ 2 กุมภาพันธ์ เวลา 13.00 น. ที่กองทัพภาคที่ 1 ส่วนตัวยินดีที่จะไป และอยากให้นายกฯฟังความรอบด้าน หากฟังแต่คนใกล้ชิดจะมีแต่คำชม คำสรรเสริญ ต้องฟังพวกเราที่ติติงเสนอแนะบ้าง ประชาชนเขาฝากบอกอดีต ส.ส.มา เราก็สะท้อนออกไป พวกเราไม่ได้ต่อต้านรัฐบาลและคสช.แต่พูดด้วยความหวังดี อยากเห็นประเทศเป็นประชาธิปไตย
“ธิดา”อ้างไม่รู้ทูตมะกันพบเสื้อแดง
สำหรับประเด็นที่นายกฯสั่งคสช.จับตาอุปทูตสหรัฐฯลงพื้นที่พบแกนนำคนเสื้อแดง ภาคอีสานนั้น นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานที่ปรึกษา นปช.กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ได้มีการนัดหมายหรือแจ้งผ่านแกนนำ เป็นสิทธิของทูตสหรัฐฯที่จะไปไหน ทูตทุกประเทศก็ลงพื้นที่พบปะประชาชนทั้งเสื้อแดง เสื้อเหลืองมานานแล้ว เพื่อทราบและเข้าใจข้อเท็จจริงจากฝ่ายต่างๆ ใครมาเป็นทูตก็ลงพื้นที่ตามรอยคนเก่า ยิ่งมาใหม่ก็ต้องหาความรู้เกี่ยวกับประเทศไทย จึงต้องลงไปพบพูดคุยกับชาวบ้าน เรื่องนี้อย่าไปตื่นเต้น เป็นเรื่องปกติ
แดงเลยรับเลขาฯทูตดอดเก็บข้อมูล
ขณะที่นางอัชฌิมา แสงสุวรรณ หรือดีเจดอกคูณ แกนนำเสื้อแดงจ.เลยยอมรับ ว่า เมื่อช่วงเช้าวันที่ 28 มกราคมที่ผ่านมา นายทิม เลขานุการเอกประจำสถานเอกอัคราชทูตสหรัฐฯเดินทางมาพบตนที่บ้านพัก เพื่อสอบถามถึงสถานการณ์การเมืองไทย หลังการรัฐประหาร รวมทั้งกรณีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีถูกถอดถอนจากตำแหน่งว่า คนเสื้อแดงในจ.เลยมีการเคลื่อนไหวอย่างไรหรือไม่ ตนตอบไปว่า ตอนนี้ ยังไม่คิดอะไร รอฟังไปก่อน เป็นการสอบถามธรรมดา ไม่มีอะไรมากกว่านี้ อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ นายทิมเดินทางมาพบตนเพื่อสอบถามข้อมูลต่างๆเป็นประจำ ล่าสุด หลังพบกับตนแล้ว นายทิมเดินทางไปจ.หนองบัวลำภูต่อ หลังจากนั้นพ.อ.อำนวย จุลโนนยาง รองผู้บังคับการจังหวัดทหารบกเลยได้เชิญตนเข้าไปพูดคุย
แฉมะกันดอดไปเลย-หนองบัวลำภู
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ เว็บไซต์ของกลุ่มคนเสื้อแดงโพสต์ถึงเจ้าหน้าที่สถานเอกอัคราชทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทย ลงพื้นที่พบแกนนำคนเสื้อแดงในจ.เลย และหนองบัวลำภู ประกอบด้วย Mr.Timothy Trengle เลขานุการเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทย และMrs.jennifer Green โดยเดินทางไปพบนางอัฌชิมาและนายสมัคร ทองคอนไท ที่บ้านพักนางอัชฌิมา โดยมีสมาชิกกลุ่มแดงไทเลยประมาณ 30 คนรอพบด้วย โดยระบุวัตถุประสงค์เพื่อสอบถามความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองไทย หลังการรัฐประหาร และความรู้สึกต่อการถอดถอนน.ส.ยิ่งลักษณ์
นอกจากนี้ ในเว็บไซต์ดังกล่าว ยังระบุอีกว่า ก่อนหน้านี้ (ไม่ทราบวันเวลาที่ชัดเจน) เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย ไม่ทราบชื่อ (พ้นหน้าที่ไปแล้ว) ได้เดินทางเข้าพบกลุ่ม นปช.เลย 54 นำโดย น.ส.จิราภรณ์ ฤทธิ์มนตรี ที่รีสอร์ทเชียง คาน ต.เชียงคาน อ.เชียงคาน จ.เลย เพื่อสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับทัศนคติทางการเมืองเช่นกัน
จี้นายกฯใจกว้างอย่ามองแทรกแซง
อย่างไรก็ตาม นางกุสุมาลวตี ศิริโกมุท อดีตส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย แสดงความเป็นห่วงท่าทีของสหรัฐฯต่อไทย เพราะมีการลดระดับทางการทูตแล้วด้วยความนุ่มนวล โดยที่ยังไม่แต่งตั้งทูตคนใหม่มาประจำการ ตนอยากให้นายกฯและรัฐบาลเปิดใจให้กว้างกว่านี้ การกล่าวหาว่าสหรัฐฯแทรกแซงกิจการภายในของไทยนั้น อยากให้มองอีกมุมว่าเขาหวังอยากให้มีประชาธิปไตย มีการเลือกตั้ง แม้แต่ในครอบครัวเราเอง สิ่งที่ไม่ถูกต้องเพื่อนบ้านก็มีสิทธิ์ทักท้วงช่วยเหลือได้
วอนเปิดเวทีแสดงความเห็น
นายอำนวย คลังผา อดีตส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทยมองว่า การที่คสช.เรียกอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยไปพูดคุยนั้น เป็นเรื่องของความมั่นคง คงไม่มีอะไร คงเป็นการพูดคุยว่าเรื่องใดแสดงความเห็นได้ หรือไม่ได้ แต่อยากให้ทุกฝ่ายแสดงความเห็นได้ แม้อยู่ในช่วงกฎอัยการศึก เพื่อจะได้รับฟังสิ่งที่เป็นประโยชน์ จึงอยากให้รัฐบาลทบทวนเรื่องดังกล่าวด้วย อยากให้ใช้ความพอดี เพราะจะทำให้สถานการณ์ผ่อนคลาย
บัวแก้วไม่รู้เรื่องเลขาทูตพบแดง
ต่อมาเวลา 15.45 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมช.ต่างประเทศกล่าวถึงกรณีเลขานุการเอกประจำสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทยลงพื้นที่ พบแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงในภาคอีสานว่า ตนไม่ทราบเรื่อง ถือเป็นเรื่องของสหรัฐฯ เราต้องก้าวข้ามเพราะทุกวันเรามีเรื่องใหม่มาเสมอ เราไม่สามารถอยู่กับเรื่องเก่าๆได้
จวกยับเป็นมารยาทไม่ควรมาจุ้น
ส่วนจะปล่อยให้สหรัฐมีท่าทีต่อไปโดยที่ฝ่ายทางการไทยไม่ทำอะไรเลยหรือไม่นั้น นายดอนกล่าวว่า อันนี้ในบ้านเราถือว่า ผู้ที่มีมารยาทโดยทั่วไปที่อยากจะเห็นเพื่อนของเราเหมือนเวลาเราไปอยู่ประเทศอื่นคือ ไม่ไปยุ่งเรื่องเกี่ยวกับบ้านเมืองของเรา เพราะเรามีงานอื่นทำมากมาย ฉะนั้นเรื่องเหล่านี้เอาไว้วันหลังค่อยคุยกันดีกว่า
ถามต่อว่าเห็นข้อความที่นายแพทริค เมอร์ฟี อุปทูตสหรัฐฯโพสต์ผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวหรือไม่ ที่ยืนยันจะกระตุ้นให้ไทยกลับสู่ระบอบประชาธิปไตยถือว่ายังเป็นท่าทีเดิมๆหรือไม่ รมช.ต่างประเทศกล่าวว่า อย่าไปคิดว่าเราจะเปลี่ยนทันควัน อาจแค่รับเรื่องไปแล้วก็ไปครุ่นคิด
ตะเพิดสหรัฐฯกลับไปปรับตัวเอง
“มีเพื่อนถามผมหลังจากวันที่ผมแถลงข่าวว่า มีอะไรที่ทำให้คนไทยที่เป็นมิตรของสหรัฐที่เป็นมิตรซื่อๆและเป็นมิตรที่ดีเปลี่ยนทัศนคติไปในทางที่ไม่เห็นด้วยกับท่าทีสหรัฐ มันเป็นโจทย์ที่เพื่อนของเราต้องเอาไปคิดว่า คนไทยซึ่งเป็นชนชาติที่ง่ายๆเข้าอกเข้าใจคนอื่นได้ง่าย ไม่เอาเรื่องเอาราวคนอื่น แต่ตอนนี้ทำไมระบาดไปทั่วทั้งในเฟซบุค ทำไมเขาเกิดความรู้สึกเช่นนั้นได้ มันต้องมีอะไรสักอย่างที่สหรัฐฯต้องเอาไปคิด” นายดอนกล่าว และว่า การแสดงท่าทีของไทยกับสหรัฐฯขณะนี้ ไม่ทำให้การประสานงานระหว่าง2ประเทศสะดุด เพราะเราแยกส่วนกัน สหรัฐฯเข้าใจดีว่าด้านความร่วมมือที่มีอยู่ก็ว่ากันไป ไม่ได้หมายความว่าเห็นต่างแล้วกระทบทุกเรื่องที่ทำอยู่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี