( n ต่อจากอาทิตย์ที่แล้ว)
7.กรณีเป็นการดำเนินการทางวินัยอย่างร้ายแรงนั้น ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 ต้องเริ่มต้นด้วยการสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเสมอโดยดำเนินการตามหมวด 4 การดำเนินการในกรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ข้อ 15 ถึงข้อ 63 และมาตรา 93 ถึงมาตรา 95 และมาตรา 97 โดยมีหลักการสำคัญ ดังนี้
(1) ผู้ดำเนินการต้องเป็นผู้มีอำนาจตามที่กฎหมายกำหนด
(2) ต้องมีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน
(3) ต้องมีการแจ้งข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ
(4) ต้องให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาชี้แจง และ
(5) หากปรากฏว่า การสอบสวนฟังได้ว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ต้องส่งเรื่องให้อ.ก.พ.สามัญที่ผู้นั้นสังกัดอยู่พิจารณา (อ.ก.พ.กระทรวง อ.ก.พ.กรม หรือ อ.ก.พ.จังหวัด แล้วแต่กรณี) เพื่อมีมติ
(6) เมื่ออ.ก.พ.ดังกล่าวมีมติเป็นประการใด ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 สั่งให้เป็นไปตามนั้น
8.ในระหว่างที่ผู้ใต้บังคับบัญชามีกรณีถูกกล่าวหาว่า กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 จะสั่งให้ผู้นั้นพักราชการหรือให้ออกจากราชการไว้ก่อน เพื่อรอฟังผลการสอบสวนพิจารณาหรือผลคดีก็ได้ตามความในหมวด 8 ข้อ 78 ถึงข้อ 92 ของกฎก.พ.ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย โดยหลักการมุ่งหมายให้ผู้ถูกกล่าวหาไม่ต้องมาปฏิบัติราชการพร้อมกันนั้นก็งดจ่ายเงินเดือนและเงินอื่นๆ ที่จ่ายเป็นรายเดือนตลอดจนเงินช่วยเหลืออื่นๆ ไว้ก่อน ส่วนการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน เป็นการสั่งให้ผู้นั้นออกจากราชการชั่วคราว และพ้นจากตำแหน่งและอัตราเงินเดือนระหว่างสอบสวนพิจารณาและผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 สามารถสั่งแต่งตั้งผู้อื่นให้มาดำรงตำแหน่งนั้นแทนได้
ภายหลังปรากฏว่า ผู้นั้นมิได้กระทำผิดหรือกระทำผิดแต่ไม่ถึงออกจากราชการและไม่มีกรณีต้องออกจากราชการด้วยเหตุอื่นก็จะต้องสั่งให้ผู้นั้นกลับเข้าปฏิบัติราชการหรือกลับเข้าดำรงตำแหน่งเดิม หรือตำแหน่งอื่นที่ผู้นั้นมีคุณสมบัติเฉพาะตรงตามกำหนด
9.กรณีความผิดที่พิจารณาลดโทษได้โดยไม่ต้องสอบสวนก่อน ตรงนี้คงจะต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า บางกรณีก็มีการสอบสวนหรือไต่สวนมาก่อนโดยคณะกรรมการตามกฎหมายกำหนด บางกรณีก็เข้าเงื่อนไขที่กฎก.พ.กำหนดไว้จึงแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
(1) กรณีที่คณะกรรมการป.ป.ช.หรือคณะกรรมการ.ป.ป.ท.ชี้มูลว่า ข้าราชการผู้ใดกระทำผิดวินัยฐานใด มาตราใด ผู้บังคับบัญชาก็ต้องถือฐานความผิดและมาตรานั้นโดยไม่ต้องสอบสวนทางวินัยอีกและให้ใช้สำนวนการไต่สวนของคณะกรรมการนั้น เป็นสำนวนการสอบสวนทางวินัยโดยผู้บังคับบัญชามีอำนาจในการใช้ดุลพินิจกำหนดโทษได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายกำหนด
(2) กรณีที่เป็นความผิดที่ปรากฏชัดแจ้งนั้นมีทั้ง กรณีกระทำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงและร้ายแรงดังที่กำหนดไว้ในกฎก.พ.ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย ข้อ 64 และข้อ 65 รวม 4 ประการคือ การรับสารภาพเป็นหนังสือ (วินัยร้ายแรงและไม่ร้ายแรง) การกระทำความผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกหรือหนักกว่าจำคุก และละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อในคราวเดียวกันเกินกว่า 15 วันโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรและไม่กลับมาอีกเลย
10.การพิจารณาและสั่งการนั้น เมื่อมีการรายงานผลการสอบสวนขึ้นมา ก็เป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 ที่จะพิจารณาความผิดและกำหนดโทษให้เหมาะสมแก่กรณีความผิด และสั่งลงโทษไปตามนั้นไม่ว่าจะเป็นการสั่งการตามอำนาจของตนเองหรือสั่งตามมติของอ.ก.พ.สามัญนั้น ทั้งนี้ หากมีเหตุลดหย่อนก็สามารถนำมาประกอบการพิจารณาได้ เว้นแต่กรณีที่มีมติก.พ. มติครม.กำหนดแนวทางการลงโทษไว้เป็นแนวทางแล้วต้องปฏิบัติไปตามนั้น อย่ามาพิจารณาแต่เมตตาธรรมหรือตามคำขอ...เดี๋ยวผู้สั่งลงโทษจะเจอมาตรการถูกลดโทษเสียเองนะครับ (ดูมาตรา 9 นะครับ)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี