31 พ.ค.59 เวลา 09.00 น.ที่วัดชนะสงคราม เขตพระนคร กทม. พระสุวิทย์ ธีรธมฺโม หรือพระพุทธอิสระ ได้มายื่นหนังสือต่อ พระราชวิสุทธิเวที (สายชล ฐานวุฑโฒ ป.ธ.9) เจ้าคณะภาค 1 เจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม เพื่อให้ใช้อำนาจในทางปกครองสงฆ์ถอดถอนพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโยใน 2 กรณี คือ

1.ให้ถอดถอนออกจากตำแหน่งหน้าที่เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เนื่องจากได้กระทำการล่วงละเมิดพระธรรมวินัยจริยาพระสังฆาธิการและกฎหมายบ้านเมืองเป็นอาจิณทำให้สร้างความเสื่อมเสียแก่พระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนกฎมหาเถรสมคม ฉบับที่ 24 พ.ศ.2541 ว่าด้วย การแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ ข้อที่ 44 และข้อที่ 54 ซึ่งต้องได้รับโทษฐานละเมิดจริยาอย่างใดอย่างหนึ่งสามารถ ถอดถอนออกจากตำแหน่งได้ และข้อที่ 56 พระสังฆาธิการรูปใดต้องอธิกรณ์ หรือถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีอาญา และอยู่ระหว่างพิจารณาวินิจฉัย หรือมีกรณีต้องหาว่าละเมิดจริยาอย่างร้ายแรง และอยู่ระหว่างสอบสวน

ถ้าผู้บังคับบัญชาใกล้ชิดเห็นว่าให้คงอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ระหว่างพิจารณา หรือสอบสวนจะเป็นการเสียหายแก่การปกครองคณะสงฆ์ จะสิ่งให้พักตำแหน่งหน้าที่ก็ได้ ในกรณีนี้เป็นอำนาจการพิจารณาของเจ้าคณะตำบล หรือเจ้าคณะอำเภอ ซึ่งเป็นเจ้าคณะปกครอง เนื่องจากวัดพระธรรมกายเป็นวัดราษฎร์จึงขอให้เจ้าคณะภาค 1 โปรดใช้อำนาจในทางปกครองสั่งการไปยังเจ้าคณะตำบล เพื่อพิจารณาพักหรือถอดถอนออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ก็ได้ ซึ่งตนขอเรียกร้องให้ถอดถอนจากตำแหน่งหน้าที่

หลวงปู่พุทธอิสระ กล่าวอีกว่า ส่วนขอที่ 2 ขอให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดทางพระธรรมวินัย ตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 11 (พ.ศ.2521 ว่าด้วยการลงนิคหกรรม เนื่องจากพระธัมมชโย มีพฤติกรรมผิดสิกขาบท ข้อที่ 4 ว่าด้วยการอวดอุตริมนุสยธรรมหลายครั้ง เช่น รู้ว่าสตีฟ จ๊อบตายแล้วไปอยู่ที่ไหน หรือสามารถนั่งสมาธิไปถวายข้าวพระพุทธเจ้าได้ รวมทั้งมีการเรี่ยไรเงิน จากญาติโยมทั่วประเทศ และคำสอนของวัดพระธรรมกายไม่มีอยู่ในพระพุทธศาสนา จึงถือเป็นการก่ออนันตริยกรรม ละเมิดพระธรรมวินัย เบียดบังและเป็นภัยต่อพระพุทธศาสนา

ซึ่งกรณีนี้ ต้องโทษอาบัติราชิก โดยเป็นอำนาจการพิจารณาของเจ้าคณะจังหวัดและเจ้าคณะภาค ตนจึงขอให้เจ้าคณะภาค 1 สั่งการไปยังเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ดำเนินการ ส่วนกรณีคดีสหกรณ์ยูเนี่ยนคลองจั่น ไม่ได้ขอให้สอบอธิกรณ์ เนื่องจากอยู่ในกระบวนการพิจารณาดำเนินการของกฎหมายทางโลก ซึ่งยังไม่สิ้นสุด อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ตนจะไปยื่นหนังสือเรียกร้องต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ กรณีที่มีกลุ่มบุคคลพยายามให้ข่าวว่าการดำเนินการตามกฎหมายกับพระธัมมชโยและกระบวนการยุติธรรมของไทย มีการเลือกปฏิบัติ พร้อมให้ดีเอสไอทำการสกัดกั้นไม่ให้พระธัมมชโยหนีออกนอกประเทศได้

"วันนี้อาตมามาร้องต่อเจ้าคณะภาค 1 ก่อน เพราะตามขั้นตอนเปรียบเป็นศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ทางสงฆ์  ยังไม่ไปร้องถึงมหาเถรสมาคม(มส.)เพราะถือเป็นขั้นศาลฎีกา และที่มาร้องก็เพราะไม่ต้องการให้กรณีของพระธัมมชโยซ้ำรอยเหมือนกับเณรคำ ดังนั้น ดีเอสไออย่าปล่อยให้ธัมมชโยหนีออกนอกประเทศได้อีก ซึ่งที่ผ่านมาได้วางหมากสกัดกั้นทุกทาง ทั้งไปยื่นสันติบาลและสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(ตม.)ให้ตรวจสอบเพื่อไม่ให้พระธัมมชโยหลุดรอดออกนอกประเทศไปได้ 

วันนี้ก็ยังหวั่นใจอยู่ว่าพระธัมมชโยจะหนีออกนอกประเทศไปแล้ว เพราะไม่มีใครยืนยันได้ว่าพระธัมมชโยยังอยู่ที่วัดหรือไม่ ทางวัดก็มีแต่ให้ข่าวเบี่ยงเบนไปวัน ๆ ขนาดพระในวัดด้วยกันหรือญาติโยมที่ไปทำบุญก็ยังไม่มีใครเคยเห็นหน้า ซึ่งพระธรรมชโยมีทั้งอำนาจและมีเงินเป็นหมื่นแสนล้าน ดังนั้นการจะบินออกนอกประเทศเป็นเรื่องง่ายมาก  ขนาดเณรคำมีแค่ 300 ล้านยังไปได้ไกล แล้วพระธัมมชโยมีมากกว่าหลายเท่า อาจไปได้ไกลถึงดาวอังคาร" หลวงปู่พุทธอิสระ กล่าว

ด้านพระราชวิสุทธิเวที เจ้าคณะภาค 1 กล่าวว่า อาตมาจะรับหนังสือร้องเรียนดังกล่าวนี้ไว้พิจารณา และศึกษาดูรายละเอียดก่อนว่าจะดำเนินการได้แค่ไหน จากนั้นจะส่งให้ดำเนินการตามขั้นตอนการปกครองของสงฆ์ต่อไป