สนช.ขู่ได้‘รัฐสภาพิการ’
ขวางหั่นงบฯ
โวยขออะไรก็หาว่าทุจริต
โว‘ไมค์’1.2แสนของดีไฮเทค
ใช้พูด-แสดงตน-ลงมติในตัว
‘สรศักดิ์’เต้นถกปรับลดงบ
ปชป.จองกฐินยื่นปปช.เชือด
สนช.โวยนายกฯตีกลับของบฯเพิ่ม 8 พันล้าน “รัฐสภาใหม่” ขู่กระทบแผนก่อสร้างถึงขั้นได้อาคารพิกลพิการ โวไมโครโฟนราคา 1.2 แสนของดีไฮเทค ใช้“พูด-แสดงตน-ลงมติ”ได้ในตัวเดียว ด้านเลขาฯสภาเต้นเรียกถกบริษัทออกแบบ เปรยไม่แคล้วต้องปรับลดงบฯลง “วิลาศ จันทร์พิทักษ์” จองกฐินเช็คบิล ขู่ “บิ๊กตู่” พ้นอำนาจเมื่อไหร่ เตรียมยื่น ป.ป.ช. ฟันย้อนหลัง ด้านวงสัมมนาปราบโกง ปชป.-พท. เย้ยรธน.ใหม่ไม่มีทางทำไม่สำเร็จ
มีความคืบหน้า กรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม มติอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมในส่วนค่าก่อสร้างอาคารรัฐสภาใหม่ ค่าควบคุมงานก่อสร้าง และค่าที่ปรึกษา รวมวงเงิน 512.20 ล้านบาท แต่ให้ตีกลับงบประมาณในส่วนเทคโนโลยีและสารสนเทศ วงเงิน 8,135 ล้านบาท เนื่องจากมีรายละเอียดไม่ชัดเจนและมีอุปกรณ์บางอย่างราคาสูงเกินควร
โดยเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม นายสรศักดิ์ เพียรเวช เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้ออกมาแถลงกรณีดังกล่าวว่า ได้เรียกผู้เกี่ยวข้องและบริษัทออกแบบมาประชุมหารือในวันที่ 18 พฤษภาคมนี้ จากนั้นจะแถลงข่าวให้สื่อมวลชนรับทราบโดยจะให้บริษัทที่ออกแบบร่วมชี้แจงต่อสื่อมวลชนด้วย
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตั้งข้อสังเกตราคาไมโครโฟนสูงถึงตัวละ 1.2 แสนบาท และนาฬิกาเรือนละ 7 หมื่นบาท ซึ่งถือว่าสูงเกินเหตุ นายสรศักดิ์ จึงตอบว่า เรื่องนี้ถือเป็นการมองต่างมุม ฝ่ายบริษัทออกแบบอาจจะมองว่ามีความจำเป็น แต่อีกฝ่ายมองว่า น่าจะใช้ของที่มีราคาถูกกว่านี้ได้ อย่างไรก็ตามในเบื้องต้นจะต้องมีการปรับลดงบประมาณลงมาอย่างแน่นอน ขอยืนยันว่าการดำเนินการดังกล่าวไม่มีโกง ไม่มีทุจริต ทุกอย่างมีความถูกต้อง โปร่งใส และต้องดำเนินการให้เร็วที่สุด
ขณะเดียวกันมีรายงานจากแหล่งข่าวระดับสูงใน สนช. เปิดเผยว่า วงเงิน 512.50 ล้านบาทที่ ครม. อนุมัติมา เป็นเพียงงบสำหรับบริษัทควบคุมงานและผู้รับเหมาเท่านั้น ส่วนงานระบบสาธารณูปโภคที่จำเป็นหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็นระบบไฟฟ้า ระบบรักษาความปลอดภัย และระบบไอที ไม่ได้รับการอนุมัติเพราะอยู่ในวงเงินตีกลับ 8,135 ล้านบาท ซึ่งถ้าไม่ได้รับงบประมาณที่ขอไป การก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่อาจสะดุด และล่าช้ากว่าแผนกำหนดเดิม
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้สภาผู้แทนราษฎรประสานกับทางสำนักงบประมาณอยู่ตลอดเวลา แต่สังคมไปติดยึดเรื่องเงินไอทีทั้งหมดว่า จำนวนเงินสูงกว่า 8 พันล้านบาท ถ้ารัฐสภาชี้แจงอะไรไป พูดอะไรไปสังคมก็จับตาดูว่าจะมีการโกงกินทุจริตคอร์รัปชั่นอยู่ดี ซึ่งระบบสาธารณูปโภคภายในอาคารทั้งหมด ระบบการสื่อสาร ระบบรักษาความปลอดภัย กล้องวงจรปิด อาคารมีพื้นที่กว้างใหญ่มาก ถ้าไม่ได้งบจะทำให้การก่อสร้างมีสะดุดแน่นอน เพราะเส้นตายที่ประธาน สนช.กำหนดไว้คือภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2561 จะต้องมีการย้ายที่ทำการทั้งหมด ถือเป็นเงื่อนไขสำคัญ และทางผู้รับเหมาตกลงแล้วว่า ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2561 จะเร่งก่อสร้างห้องประชุมส.ว.ให้แล้วเสร็จก่อน เป็นอันดับแรก ส่วนห้องประชุมส.ส.หรือที่จะใช้ประชุมร่วม จะไปแล้วเสร็จเดือนมีนาคม 2562 ซึ่งผู้รับเหมาได้บอกว่า ถ้าเงินไม่มา ก็ต้องก่อสร้างตามจำนวนเงินที่มีอยู่ ก็อาจจะได้อาคารออกมาแบบพิกลพิการ
“ส่วนราคาไมโครโฟนในห้องประชุมที่ราคาเป็นแสนบาท เพราะเป็นไมโครโฟนที่มีระบบแสดงตน มีระบบหลายๆ อย่าง ที่ใช้ในห้องประชุมสภา ในการลงมติกดปุ่มเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่ก็พยายามปรับลดราคาลง นอกจากนี้ยังมีระบบ สารสนเทศสำหรับเจ้าหน้าที่ (Data Center) ซึ่งต้องใช้เงินมาก ทางสำนักงบประมาณกำลังดูอยู่” แหล่งข่าวระบุ
ด้าน นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าในส่วนงบประมาณ 512.50 ล้านบาทที่ ครม.อนุมัติไป เป็นงบเพียงแค่ส่วนหนึ่งจากงบประมาณ 8,658 ล้านบาทที่สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรขอไป ซึ่งตนเห็นว่างบประมาณดังกล่าวเป็นเรื่องที่ไม่ควรเสีย เพราะเป็นงบที่เกิดขึ้นจากการขยายเวลาการก่อสร้าง ทั้งค่าควบคุมงานก่อสร้าง และค่าที่ปรึกษาบริหารโครงการก่อสร้าง หากไม่มีการขยายเวลาการก่อสร้างก็จะไม่มีงบส่วนนี้เกิดขึ้น
“หลังจากรัฐบาลชุดนี้พ้นจากตำแหน่ง ผมจะยื่นเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบเรื่องการขยายเวลาก่อสร้าง อย่างไรก็ตามนอกจากงบประมาณในส่วนนี้แล้ว ตนยังจะติดตามงบประมาณที่เหลือ แต่จะรอตัวเลขที่ชัดเจนจากสำนักงบประมาณออกมาก่อน จึงจะตรวจสอบว่ามีการตั้งงบส่วนใดที่สูงเกินความเป็นจริงหรือไม่”นายวิลาศ กล่าว
วันเดียวกัน ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์คอนเวนชั่น คณะกรรมาธิการการเมือง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จัดสัมมนาหัวข้อ “รัฐธรรมนูญปราบโกง จะสัมฤทธิ์ผลได้จริงหรือไม่” โดยนายกล้านรงค์ จันทิก ประธาน กมธ.การเมือง สนช. กล่าวเปิดงานการันตีว่า รัฐธรรมนูญ 2560 มีสาระสำคัญให้ภาครัฐ และภาคประชาชนร่วมมือกันต่อต้านปราบปรามการทุจริตทุกรูปแบบ ประชาชนที่ชี้เบาะแสการทุจริตจะต้องได้รับการคุ้มครองจากรัฐ
ด้านพล. ต.อ. วัชรพล ประสานราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. ระบุว่า รัฐธรรมนูญใหม่ ทำให้ปปช.ต้องทำงานเข้มข้นมากกว่าเดิม คดีค้างเก่าจะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี
“แต่ละเดือนมีสำนวนเข้ามายัง ปปช.ประมาณ 500 เรื่อง เราก็ต้องทำให้ทัน”ประธานปปช.กล่าวและว่า ในอนาคต ป.ป.ช.จะมีอำนาจในการทวงคืนทรัพย์สินในต่างประเทศให้ตกเป็นของแผ่นดิน
การประชุมหนนี้ยังมีการเชิญ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรองนายกรัฐมนตรี จากพรรคเพื่อไทย และนายบรรเจิด สิงคะเนติ อดีตคณะบดีคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริการศาสตร์ ร่วมอภิปราย
โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ และนายพงษ์เทพ แสดงความเห็นคล้ายๆ กัน ว่ารัฐบาลยังไม่บรรลุผลในการปราบปราบการทุจริต ซึ่งนายพงษ์เทพ ยังอ้างต่อว่า การไม่เป็นประชาธิปไตย ทำให้การทุจริตเกิดขึ้นได้ง่าย
ด้านนายบรรเจิด กล่าวเรียกร้องให้ทุกฝ่ายต้องร่วมกันสร้างจิตสำนึกในการปราบทุจริต และกลไกต่างๆต้องมีประสิทธิภาพในการจัดการกับคนทุจริต
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี