เว็บไซต์นิตยสารไทม์เอเชีย ได้ตีพิมพ์นิตยสารฉบับเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นภาพ พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย รวมไปถึงบทสัมภาษณ์ ฉบับวันที่ 2 กรกฎาคม 2018 ในหัวข้อ “ผู้นำไทยสัญญาจะคืนประชาธิปไตย แต่กลับกระชับอำนาจ” พร้อมโปรยหัว ประยุทธ์ จันทร์โอชา ของไทยจะเลือกอะไร ประชาธิปไตย หรือเผด็จการ?
โดยนิตยสารไทม์ได้ตั้งคำถามว่าประไทยจะอยู่ในจุดนี้อีกนานเท่าไร เมื่อประเทศไทยอยู่ในจุดนี้มา 4 ปีแล้ว หลังจากการรัฐประหารที่นับเป็นครั้งที่ 12 นับตั้งแต่ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญเมื่อปีพ.ศ. 2475 ขณะที่พล.อ.ประยุทธ์ สัญญาว่าจะคืนประชาธิปไตยโดยเร็ว
บทสัมภาษณ์พล.อ.ประยุทธ์ที่ระบุว่า “ตอนผมยังเด็ก ความรักชาติคือการเป็นทหาร รบในแนวหน้าเพื่อประเทศชาติ” และว่า “ผมบอกตัวเองว่าผมต้องทุ่มเทชีวิตเพื่อชาติบ้านเมืองและสถาบันกษัตริย์”
โดยเหตุผลในการยึดอำนาจว่า “ผมไม่สามารถปล่อยให้เกิดความเสียหายกับประเทศชาติของผมได้” นายกรัฐมนตรีระบุ และว่า “ชาติกำลังเสี่ยงที่จะถูกทำลาย”
ไทม์ระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2014 ประยุทธ์ นำประเทศไทยกลับสู่ความแข็งแกร่ง ภายใต้การปกครองของรับบาลทหาร จีดีพีของไทยเพิ่มขึ้น 4 เปอร์เซ็นต์ การส่งออกสูงสุดในรอบ 7 ปี ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวมีมากถึง 35 ล้านคนในปี 2017 โครงการด้านพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานได้รับการไฟเขียวเช่นโครงการระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก การก่อสร้างรถไฟ และโรงงานต่างๆ
“นี่ไม่ใช่ 4 ปีเพื่อสร้างอำนาจ แต่เป็นเวลาแก้ปัญหา ก้าวข้ามอุปสรรคและสร้างความมั่นคง ความปลอดภัยเพื่อก้าวไปสู่อนาคต” พล.อ.ประยุทธ์ระบุกับไทม์
อย่างไรก็ตามไทม์ชี้ว่า อนาคตยังคงมืดมัวเมื่อยังคงมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทยอย่างรุนแรงทั้งการจับกุมผู้ชุมนุม การตัดสินคดีในศาลทหาร การข่มขู่ผู้สื่อข่าว และยังระบุว่าพล.อ.ประยุทธไม่สนใจความต้องการของประชาชน ให้วิธีแก้ปัญหาผ่านรายงานในช่วงเย็นที่สร้างความงุนงง อย่างการแก้ปัญหาความยากจนด้วยการทำงานหนัก หรือ เลี่ยงการเป็นหนี้ด้วยการหยุดช็อปปิ้ง รวมถึงกล่าวอ้างถึงการใช้ศาสตร์มืดจากฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง แถมยังมีภาพนายกรัฐมนตีพูดคุยกับกบ นอกจากนี้ยังแต่งเพลงที่พล.อ.ประยุทธ์ระบุว่าใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารถึงประชาชนด้วย
ไทม์ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ พยายามที่จะสร้างระบบทางการเมืองใหม่เพื่อแสดงให้เห็นภายนอกว่าคืนประชาธิปไตยสู่ประเทศทว่านั่นก็ยังคงหมายถึงการยังคงไว้ซึ่งอำนาจของกองทัพ ด้านนักเคลื่อนไหวในไททยก็ยังรู้สึกห่างไกลจากการเลือกตั้งที่เป็นประชาธิไตย โดยเฉพาะในเวลาที่นักเคลื่อนไหวถูกจับกุมและดำเนินคดีในข้อหารุนแรงอย่างต่อเนื่อง
บทวิเคราะห์ระบุว่า ไทยเริ่มเปลี่ยนไปจากชาติประชาธิปไตยไปสู่เผด็จการ และหันหน้าจากการเป็นพันธมิตรสำคัญของสหรัฐ ไปสู่การสร้างสัมพันธ์กับจีนเช่นเดียวกับเพื่อนบ้านอย่างฟิลิปปินส์ พม่า รวมถึงกัมพูชา นับตั้งแต่การรัฐประหารของพล.อ.ประยุทธ์ และนับตั้งแต่นั้นความร่วมมือด้านการทหารระหว่างไทยและจีนก็เพิ่มมากขึ้น มีโครงการสั่งซื้ออาวุธยุทธโธปกรณ์จากจีนจำนวนมหาศาล รวมไปถึงความร่วมมือและการริเริ่มความร่วมมือด้านเศรษฐกิจอีกหลายโครงการ
ไทม์ระบุว่า สังคมเริ่มแสดงออกถึงความไม่พอใจการอยู่ในอำนาจของรัฐบาลทหารมากขึ้นเรื่อยๆซึ่งอาจนำไปสู่จุดวิกฤตได้ในไม่ช้าเช่นข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการทุจริตของเจ้าหน้าที่ระดับสูงปัญหาเศรษฐกิจ รวมถึงการจัดการกับกลุ่มผู้ประท้วงอย่างเด็ดขาด
ด้านพล.อ.ประยุทธ์ ยังคงยืนยันกับไทม์ว่า ตนไม่ได้เต็มใจที่จะเข้ามาอยู่ในอำนาจและว่าตนจะอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น
“ผมไม่เคยคิดที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีในแบบนี้เลย” และ “มันเป็นการตัดสินใจที่ยากที่สุดในชีวิตผม” พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ
ส่วนคำถามของไทม์ที่ว่านั่นหมายความว่าพล.อ.ประยุทธ์จะปล่อยมือจากอำนาจหลังเดือนกุมภาพันธ์ 2019 ซึ่งเป็นกำหนดเลือกตั้งหรือไม่นั้น
“นั่นขึ้นอยู่กับสถานการณ์และประชาชน” พล.อ.ประยุทธ์ ระบุพร้อมยักไหล่ “ผมไม่สามารถควบคุมเรื่องนี้ได้” ก่อนที่ไทม์จะปิดท้ายว่า ชาวไทยนับล้านคนก็รู้สึกในแบบเดียวกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี