วันนี้ (4 กันยายน 2561) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พันเอกหญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ
3. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว แบ่งออกเป็น 5 หมวด และบทเฉพาะกาลรวมทั้งสิ้น 28 มาตรา สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. กำหนดนิยามคำว่า “ทุนสนับสนุนการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรม” หมายความว่า เงินสนับสนุนจากหน่วยงานของรัฐที่จัดสรรให้แก่ผู้รับทุน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรม เพื่อให้ได้มาซึ่งผลงานวิจัยและนวัตกรรมตามพระราชบัญญัตินี้ และให้หมายรวมถึงเงินกองทุนที่หน่วยงานของรัฐจัดสรรให้แก่ผู้รับทุนเพื่อวัตถุประสงค์เดียวกัน แต่ไม่รวมถึงเงินสนับสนุนที่ใช้เพื่อว่าจ้าง หรือร่วมดำเนินการวิจัยและพัฒนา หรือดำเนินการอื่นใดเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ เทคโนโลยี ต้นแบบ หรือผลลัพธ์อื่นใดจากการนี้อันเป็นการดำเนินการตามภารกิจปกติของหน่วยงาน
2. กำหนดให้หน่วยงานให้ทุนของรัฐสามารถให้ทุนวิจัยพัฒนาและนวัตกรรมแก่หน่วยงานของรัฐ หน่วยงานภาคการศึกษา หน่วยงานภาคเอกชน หรือสถาบันวิจัยได้ และหน่วยงานผู้ให้ทุนสนับสนุนแก่หน่วยงานภาคเอกชนนั้น จะต้องพิจารณาว่าโครงการนั้นมีความเป็นไปได้สูงในการนำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน หรือเป็นประโยชน์ต่อภาคการเกษตร สังคม ชุมชน และประชาชน
3. กำหนดให้หน่วยงานภาคเอกชนที่จะขอรับทุนวิจัย พัฒนาและนวัตกรรม จะต้องเป็นนิติบุคคลที่มีผู้ถือหุ้นสัญชาติไทยไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบเอ็ดของทุนจดทะเบียน และมีสถานประกอบการตั้งอยู่ในประเทศไทย
4. กำหนดให้สิทธิในผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่เกิดจากสัญญารับทุนสนับสนุนการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรมตามพระราชบัญญัตินี้เป็นของผู้รับทุน โดยผู้รับทุนจะต้องรายงานผลงานวิจัยและนวัตกรรมให้ผู้ให้ทุนทราบก่อนดำเนินการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา ทั้งนี้ หากผู้รับทุนไม่ประสงค์ถือครองสิทธิในผลงานวิจัยและนวัตกรรม ให้ผู้รับทุนทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรแจ้งความประสงค์ไม่ถือครองสิทธิไปยังผู้ให้ทุน และให้สิทธิในผลงานวิจัยและนวัตกรรมเป็นของผู้ให้ทุน โดยการใช้ประโยชน์ในผลงานวิจัยและนวัตกรรมขึ้นอยู่กับการตกลงระหว่างผู้ให้ทุนและผู้รับทุนเป็นรายกรณี
5. กำหนดให้มีคณะกรรมการส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม ซึ่งมีปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นประธาน กรรมการโดยตำแหน่ง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ วาระการดำรงตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ เช่น กำหนดนโยบายหรือมาตรการที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่เกิดจากการสนับสนุนทุนวิจัยพัฒนาและนวัตกรรมจากภาครัฐ และส่งเสริมและพัฒนาให้เกิดการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่เกิดจากการสนับสนุนทุนวิจัย พัฒนาและนวัตกรรมจากหน่วยงานภาครัฐไปใช้ประโยชน์
6. กำหนดให้ผู้รับทุนซึ่งถือครองสิทธิในผลงานวิจัยและนวัตกรรม หรือผู้รับโอนสิทธิจากผู้รับทุน ไม่ว่าจะเป็นการโอนสิทธิมาแล้วกี่ทอดก็ตาม มิได้ดำเนินการใด ๆ หรือไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะมีการดำเนินการใด ๆ เพื่อนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ในระยะเวลาสองปี นับแต่วันที่รายงานผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่ค้นพบต่อผู้ให้ทุน ให้สิทธิในผลงานวิจัยและนวัตกรรมกลับไปเป็นของผู้ให้ทุน โดยผู้ให้ทุนอาจดำเนินการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนสิทธิในผลงานวิจัยและนวัตกรรมต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ผลงานวิจัยและนวัตกรรมกลับไปเป็นของผู้ให้ทุน
7. กำหนดให้ในภาวะสงครามหรือในภาวะฉุกเฉิน หรือมีความจำเป็นเพื่อการเยียวยาด้านสาธารณสุข หรือความมั่นคง ความปลอดภัยของประเทศ หรือมีความจำเป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะตามที่กฎหมายกำหนด รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบจากคณะกรรมการมีอำนาจออกคำสั่งใช้สิทธิในผลงานวิจัยใด ๆ ที่เกิดจากทุนสนับสนุนของรัฐก็ได้ โดยเสียค่าตอบแทนที่เป็นธรรมแก่ผู้รับทุนซึ่งถือครองสิทธิในผลงานวิจัยและนวัตกรรม และต้องแจ้งให้ผู้รับทุนทราบเป็นหนังสือโดยไม่ชักช้า
8. กำหนดให้มีคณะกรรมการส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรมภายใน 180 วันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ในระหว่างที่ยังไม่มีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ให้คณะกรรมการส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรมทำหน้าที่คณะกรรมการส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรมไป พลางก่อน
2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติเขตพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบดังนี้
1. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับร่างพระราชบัญญัติเขตพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. …. ที่คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาเสนอไปตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี และความเห็นของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ สำนักงาน ก.พ. และคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
2. ให้คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาเร่งรัดดำเนินการจัดทำหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบความจำเป็นในการตราพระราชบัญญัติ (Checklist) และนำรายงานสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวไปเปิดเผยต่อประชาชน รวมทั้งจัดทำแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว แล้วส่งผลการดำเนินการไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาต่อไป
3. ให้คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษารับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมของคณะกรรมการผู้ชำนาญการและค่าตอบแทนของบุคคลหรือสถาบันที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการ พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมของคณะกรรมการผู้ชำนาญการและค่าตอบแทนของบุคคลหรือสถาบันที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการ พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
กำหนดเบี้ยประชุมของคณะกรรมการผู้ชำนาญการและค่าตอบแทนของบุคคลหรือสถาบันที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการ เป็นการเฉพาะ ดังนี้
เบี้ยประชุมของคณะกรรมการผู้ชำนาญการ เบี้ยประชุม/ค่าตอบแทน
1. กรรมการ 2,400 บาท/เฉพาะครั้งที่มาประชุม
2. กรรมการ ซึ่งมิได้เป็นข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้างของทางราชการ หรือพนักงานหรือลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจ ให้ได้รับเบี้ยประชุมเพิ่มขึ้นอีกไม่เกิน 1 ใน 4 จาก 2,400 บาท เป็น 3,000 บาท/เฉพาะครั้งที่มาประชุม
3. ประธานกรรมการให้ได้รับเบี้ยประชุมเพิ่มขึ้นอีกไม่เกิน 1 ใน 4 จาก 2,400 บาท เป็น 3,000 บาท/เฉพาะครั้งที่ประชุม
4. เลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการ (เลขานุการให้มีสิทธิได้รับเบี้ยประชุมไม่เกิน 1 คน และผู้ช่วยเลขานุการให้มีสิทธิรับเบี้ยประชุมไม่เกิน 2 คน) 2,400 บาท/เฉพาะครั้งที่มาประชุม
5. บุคคลหรือสถาบันใดที่คณะกรรมการผู้ชำนาญการมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจรายงานหรือเสนอความเห็น ให้ได้รับในอัตราเหมาจ่ายรายโครงการ 20,000 บาท/โครงการ
4. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่อำเภอเมืองนนทบุรี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี และเขตหลักสี่ เขตบางเขน เขตบึงกุ่ม เขตคันนายาว เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร พ.ศ. …. และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน ในท้องที่อำเภอเมืองนนทบุรี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี และเขตหลักสี่ เขตบางเขน เขตบึงกุ่ม เขตคันนายาว เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร พ.ศ. …. รวม 2 ฉบับ (โครงการรถไฟฟ้า สายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่อำเภอเมืองนนทบุรี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี และเขตหลักสี่ เขตบางเขน เขตบึงกุ่ม เขตคันนายาว เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร พ.ศ. …. และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน ในท้องที่อำเภอเมืองนนทบุรี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี และเขตหลักสี่ เขตบางเขน เขตบึงกุ่ม เขตคันนายาว เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร พ.ศ. …. รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ สำนักงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ร่างพระราชกฤษฎีกา รวม 2 ฉบับ ที่กระทรวงคมนาคมเสนอ เป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน และกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน ตามโครงการรถไฟฟ้า สายสีชมพู ช่วงแคราย – มีนบุรี ซึ่งเป็นการดำเนินการต่อเนื่องจากพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่อำเภอเมืองนนทบุรี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี และเขตหลักสี่ เขตบางเขน เขตบึงกุ่ม เขตคันนายาว เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2557 และพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน ในท้องที่อำเภอเมืองนนทบุรี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี และเขตหลักสี่ เขตบางเขน เขตบึงกุ่ม เขตคันนายาว เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2557 ซึ่งพระราชกฤษฎีกาทั้ง 2 ฉบับจะสิ้นสุดการใช้บังคับในวันที่ 24 ธันวาคม 2561 แต่การสำรวจอสังหาริมทรัพย์และจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้า สายสีชมพู ช่วงแคราย – มีนบุรี ยังไม่แล้วเสร็จ และมีบางพื้นที่อยู่ระหว่างการพิจาณาแก้ไขปัญหาการร้องเรียนเกี่ยวกับแนวเขตทางที่ยังไม่ได้ข้อยุติ อันทำให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ไม่อาจดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาใช้บังคับของพระราชกฤษฎีการวม 2 ฉบับดังกล่าว
2. กระทรวงคมนาคมได้ดำเนินการตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 โดยจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับโครงการขนส่งด้วยระบบรถไฟฟ้า สถานที่จอดรถสำหรับผู้โดยสาร และกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการรถไฟฟ้าตามโครงการรถไฟฟ้า สายสีชมพู ช่วงแคราย–มีนบุรีตามแบบฟอร์มที่กระทรวงการคลังกำหนดเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2561 ประกอบด้วย รายละเอียดโครงการ แผนบริหารจัดการโครงการเพื่อจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและส่งมอบพื้นที่ให้ทันตามแผนงานก่อสร้างโครงการฯ ประมาณการรายจ่ายตามกรอบวงเงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี แหล่งเงินที่ใช้ตลอดระยะเวลาดำเนินการ และประโยชน์ที่จะได้รับโดยเปิดบริการรถไฟฟ้าได้ทันตามแผนงาน
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดหาประกันภัยหรือหลักประกันทางการเงินและการออกใบรับรองความรับผิดทางแพ่งต่อความเสียหายจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการจัดหาประกันภัยหรือหลักประกันทางการเงินและการออกใบรับรองความรับผิดทางแพ่งต่อความเสียหายจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอและให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดให้เรือไทยที่บรรทุกน้ำมันในระวางอย่างสินค้าเกินกว่า 2,000 ตันขึ้นไป ให้จัดหาประกันภัยหรือหลักประกันทางการเงินตามประเภทที่กำหนดไว้ ได้แก่ ประกันภัยชนิดบลูการ์ด (Blue Card) หรือหนังสือค้ำประกันของธนาคารหรือหลักประกันอื่นใดในลักษณะเดียวกัน
2. กำหนดให้เรือไทยที่ต้องจัดหาประกันภัยหรือหลักประกันทางการเงินต้องมีจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัยหรือวงเงินให้ครอบคลุมความรับผิดตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางแพ่งต่อความเสียหายจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือ พ.ศ. 2560
3. กำหนดให้เจ้าของเรือจะต้องนำเอกสารหลักฐานมายื่นต่อกรมเจ้าท่าในการขอออกใบรับรอง การขอเปลี่ยนใบรับรอง และการขอต่ออายุใบรับรอง และการขอออกใบรับรองฉบับใหม่กรณีเกิดการสูญหาย
4. กำหนดวิธีการและเงื่อนไขในการออกใบรับรองโดยพนักงานเจ้าหน้าที่
5. กำหนดให้แบบของใบรับรองเป็นทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย
6. กำหนดอายุของใบรับรองไม่ให้มีอายุเกินกว่าระยะเวลาที่มีผลของการประกันภัยหรือหลักประกันทางการเงิน
7. กำหนดให้นำบทบัญญัติของกระทรวงนี้ไปใช้บังคับกับเรือต่างประเทศที่มิได้เป็นภาคีแห่งอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยความรับผิดทางแพ่งสำหรับความเสียหายจากมลพิษน้ำมัน ค.ศ. 1992 ด้วย
8. กำหนดให้เรือไทยที่บรรทุกน้ำมันในระวางอย่างสินค้าเกินกว่า 2,000 ตันขึ้นไป จะต้องขอใบรับรองภายใน 180 วัน นับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับ
6. เรื่อง ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและ ร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างระเบียบ
ปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ดังนี้1
. กำหนดบทนิยามคำว่า “ทรัพยากรน้ำ” ให้ครอบคลุมน้ำในบรรยากาศน้ำบนผิวดิน และน้ำใต้ดิน รวมถึงสิ่งอื่นที่ใช้เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ รวมทั้งกำหนดบทนิยามอื่น ๆ เช่น “การบริหารทรัพยากรน้ำ” “ลุ่มน้ำ” “องค์การผู้ใช้น้ำ” เป็นต้น
2. ปรับปรุงองค์ประกอบของ กนช. ดังนี้
2.1 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ จากเดิมนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธานกรรมการ
2.2 รองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นรองประธานกรรมการ จากเดิมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นรองประธานกรรมการคนที่หนึ่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นรองประธานกรรมการคนที่สอง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นรองประธานกรรมการคนที่สาม
2.3 กรรมการ ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงคมนาคม ปลัดกระทรวงพลังงาน ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เลขาธิการมูลนิธิปิดทองหลังพระสืบสานแนวพระราชดำริ อธิบดีกรมชลประทาน อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา และผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งจำนวนสามคน จากเดิมผู้แทนส่วนราชการและผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นกรรมการ
3. กำหนดหน้าที่และอำนาจของ กนช. เช่น การกำหนดลุ่มน้ำเพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำตามสภาพอุทกวิทยา สภาพภูมิศาสตร์ และวัตถุประสงค์ในการบริหาร พิจารณาให้ความเห็นชอบการผันน้ำระหว่างลุ่มน้ำ และการผันน้ำจากแหล่งน้ำระหว่างประเทศหรือต่างประเทศ เป็นต้น
4. กำหนดให้ สทนช. ทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของ กนช. จากเดิมกรมทรัพยากรน้ำ ทส. เป็นสำนักงานเลขานุการของ กนช.
5. ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการลุ่มน้ำ ประกอบด้วย (1) กรรมการลุ่มน้ำโดยตำแหน่ง ได้แก่ ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนสำนักงาน และผู้แทนหน่วยงานของรัฐ (2) กรรมการลุ่มน้ำผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (3) กรรมการลุ่มน้ำผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำที่มาจากภาคส่วนต่าง ๆ (4) กรรมการลุ่มน้ำผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรน้ำ โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดตาม (1) เลือกกันเองเพื่อประธานกรรมการลุ่มน้ำ และให้คณะกรรมการลุ่มน้ำเลือกกรรมการลุ่มน้ำอีกสองคนเป็นรองประธานกรรมการลุ่มน้ำ ทั้งนี้ การเลือกประธานกรรมการลุ่มน้ำ และรองประธานกรรมการลุ่มน้ำให้กระทำทุกสี่ปี่ และให้ กนช. แต่งตั้งข้าราชการของ สทนช. เป็นกรรมการและเลขานุการ และผู้ช่วยเลขานุการได้ตามความจำเป็น จากเดิม คณะกรรมการลุ่มน้ำ ประกอบด้วย ผู้แทนส่วนราชการ ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำ และผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรน้ำเป็นกรรมการ โดยให้แต่งตั้งประธานกรรมการจากกรรมการในลุ่มน้ำนั้น และให้ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรน้ำภาค ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ลุ่มน้ำที่รับผิดชอบ เป็นกรรมการและเลขานุการ และให้ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรน้ำภาคแต่งตั้งผู้ช่วยเลขานุการได้ตามความจำเป็น
6. กำหนดให้ สทนช. ทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการลุ่มน้ำ ในพื้นที่ลุ่มน้ำที่รับผิดชอบ จากเดิมสำนักงานทรัพยากรน้ำภาค กรมทรัพยากรน้ำ ทส. เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการลุ่มน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำที่รับผิดชอบ
7. เรื่อง ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปได้ด้วย
ร่างระเบียบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2550 โดยปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ในส่วนของฝ่ายเลขานุการ จากเดิมที่ให้ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมแต่งตั้งข้าราชการในกระทรวงวัฒนธรรมเป็นเลขานุการ 1 คน และผู้ช่วยเลขานุการ ไม่เกิน 2 คน เป็นให้อธิบดีกรมการศาสนาเป็นกรรมการและเลขานุการผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ และให้อธิบดีกรมการศาสนาแต่งตั้งข้าราชการในกรมการศาสนาเป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ 1 คน และผู้ช่วยเลขานุการอีก 1 คน รวมทั้งแก้ไข ให้กรมการศาสนาทำหน้าที่สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ แทนสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม
8. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดสินค้าต้องห้ามส่งออก นำเข้า และนำผ่านตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติสหประชาชาติ กรณีสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดสินค้าต้องห้ามส่งออก นำเข้า และนำผ่านตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติสหประชาชาติ กรณีสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาโดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศไปประกอบการพิจารณาด้วยแล้วดำเนินการต่อไปได้
พณ. เสนอว่า
1. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติวันที่ 31 มกราคม 2560 นั้น ในการตรวจพิจารณาร่างประกาศในเรื่องนี้ คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 (คกอ. 4) ได้ตรวจพิจารณาแล้ว มีความเห็นว่าการยกเลิกประกาศฉบับดังกล่าวโดยไม่มีการออกประกาศอีกฉบับหนึ่งในการกำหนดขั้นตอนหรือหลักเกณฑ์การนำเข้าหรือส่งออกอาวุธและยุทโธปรณ์ที่จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติก่อนดำเนินการ จะมีผลทำให้ประเทศไทยไม่มีมาตรการในการควบคุมการห้ามส่งออกอาวุธและยุทโธปรณ์ไปสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน การห้ามนำเข้าและนำผ่านอาวุธและยุทโธปกรณ์ที่ส่งมาจากหรือมีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ซึ่งไม่เป็นไปตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ 2231 (ค.ศ. 2015) และเห็นควรให้ พณ. เร่งดำเนินการจัดทำประกาศฉบับใหม่ที่เป็นไปตามข้อมติคณะมนตรีดังกล่าว เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบโดยเร็ว
2. โดยที่ประเทศไทยในฐานะรัฐสมาชิกสหประชาชาติมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตามข้อมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติตามข้อ 25 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ ดังนั้น เพื่อให้มีมาตรการในการกำหนดขั้นตอนการส่งออกอาวุธและยุทโธปกรณ์ไปสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน การกำหนดขั้นตอนการนำเข้าและนำผ่านอาวุธและยุทโธปกรณ์ที่ส่งมาจากหรือมีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน และเพื่อให้เป็นไปตามข้อมติคณะรัฐมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ 2231 (ค.ศ. 2015)จึงได้เสนอร่างประกาศกระทรวงดังกล่าวมาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างประกาศ1
1. ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การห้ามส่งออกอาวุธและยุทโธปกรณ์ไปสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน และการห้ามนำเข้าอาวุธและยุทโธปกรณ์ที่ส่งมาจากหรือมีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน พ.ศ. 2550 ลงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2550
2. กำหนดบทนิยามคำว่า “อาวุธและยุทโธปกรณ์”
3. กำหนดสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน
4. กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ที่ส่งมาจากหรือมีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน เป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้า และห้ามนำผ่านราชอาณาจักร
5. กำหนดให้การส่งออก การนำเข้าหรือการนำผ่านสินค้าตามข้อ 3 และ 4 หากได้รับความเห็นชอบจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติแล้วให้กระทำได้
9. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. .... และร่างกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวม 6 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ดังนี้ เห็นชอบ
1.1 ร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ....
1.2 ร่างพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
1.3 ร่างพระราชบัญญัติเทศบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
1.4 ร่างพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
1.5 ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ...
1.6 ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
รวม 6 ฉบับ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
2.ให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเร่งรัดดำเนินการส่งแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรอง ซึ่งต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. .... มายังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. ร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ....
1.1 กำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สามารถตรวจสอบการเลือกตั้งในเชิงรุกโดยไม่จำเป็นต้องรอให้มีผู้ร้องเรียนก่อน รวมทั้งกำหนดให้ชัดเจนว่า การประกาศผลการเลือกตั้ง ไม่เป็นการตัดอำนาจ กกต. ในการสืบสวนหรือไต่สวนการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตหรือเที่ยงธรรม นอกจากนี้ ยังกำหนดให้ในกรณีที่ กกต. ได้สั่งให้ผู้บริหาร ประธานหรือรองประธานสภาท้องถิ่น หรือสมาชิกสภาท้องถิ่นพ้นจากตำแหน่งไม่ว่าด้วยเหตุใด และ กกต. ได้จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่แทนตำแหน่งที่ว่างแล้ว แม้ภายหลังศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งว่าคำสั่งหรือคำวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนั้นไม่ชอบ ก็ย่อมไม่กระทบต่อการเลือกตั้งนั้น
1.2 กำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การกำหนดเขตเลือกตั้ง โดยกรณีเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นจะมีเกณฑ์การกำหนดเขตที่แตกต่างกันตามรูปแบบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
1.3 กำหนดเกี่ยวกับการได้มาซึ่งผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้ง และกำหนดหน้าที่และอำนาจในการดำเนินการเลือกตั้ง รวมทั้งค่าตอบแทนของผู้ปฏิบัติงานดังกล่าว
1.4 กำหนดเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง การใช้สิทธิเลือกตั้ง การไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง การตัดสิทธิกรณีไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง และการจัดทำบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
1.5 กำหนดเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง และกำหนดเกี่ยวกับการสมัครรับเลือกตั้ง และการดำเนินการรับสมัครโดยผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งการยื่นคำร้องคัดค้าน และการดำเนินการตรวจสอบเพื่อวินิจฉัยว่าผู้สมัครเป็นผู้ไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่ รวมทั้งกำหนดห้ามการรับจ้างหรือว่าจ้างให้สมัครหรือถอนการสมัครรับเลือกตั้ง
1.6 กำหนดเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง โดยให้ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดกำหนดจำนวนตามหลักเกณฑ์ที่ กกต. กำหนด การจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายในการเลือกตั้ง การกำหนดเวลาและข้อห้ามในการดำเนินการหาเสียง การหาเสียง โดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งการกำหนดให้ผู้สมัครสามารถมีผู้ช่วยหาเสียงได้แต่ต้องแจ้งจำนวนให้สำนักงาน กกต. จังหวัดทราบ โดยค่าตอบแทนของผู้ช่วยหาเสียงนั้นให้คำนวณเป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งด้วย
1.7 กำหนดวิธีการลงคะแนนเลือกตั้ง โดยให้ กกต. เป็นผู้กำหนดลักษณะบัตรและหีบบัตรเลือกตั้ง กำหนดเวลาออกเสียงเลือกตั้ง กำหนดข้อห้ามการดำเนินการในระหว่างการออกเสียงลงคะแนน รวมทั้งกำหนดให้ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจงดการลงคะแนนเลือกตั้งในหน่วยเลือกตั้งและจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด และกำหนดให้ กกต. มีอำนาจจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นที่จัดการเลือกตั้งไม่ได้
1.8 กำหนดความผิดและโทษเกี่ยวกับการฝ่าฝืนข้อห้ามหรือไม่ปฏิบัติตามร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้
2. ร่างพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....ร่างพระราชบัญญัติเทศบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... และร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....รวม 5 ฉบับ
2.1 แก้ไขเพิ่มเติมจำนวนสมาชิกสภาท้องถิ่นให้เหมาะสมและสอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
2.2 แก้ไขเพิ่มเติมคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น และผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่
.3 แก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการสิ้นสุดสมาชิกภาพของสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือการพ้นจากตำแหน่งของผู้บริหารท้องถิ่น และการนำมาอนุโลมใช้กับรองผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่น
2.4 เพิ่มเติมข้อยกเว้นเกี่ยวกับการดำรงตำแหน่งหรือปฏิบัติหน้าที่อื่นใดในหน่วยงานของรัฐ และแก้ไขเพิ่มเติมข้อห้ามในการมีส่วนได้เสียกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ชัดเจนและครอบคลุมยิ่งขึ้น
2.5 เพิ่มเติมบทบัญญัติที่ห้ามมิให้มีการใช้จ่ายเงินเพื่อการฝึกอบรมหรือดูงานในต่างประเทศของผู้บริหารท้องถิ่น สมาชิกสภาท้องถิ่น และผู้ช่วยบุคคลดังกล่าว พร้อมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติว่าด้วยรายจ่ายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
เศรษฐกิจ- สังคม
10. เรื่อง ขอขยายระยะเวลาการดำเนินงานโครงการภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจรปี 2560/61
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบดังนี้
1. เห็นชอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี 2560/61 จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ (1) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด ฤดูนาปรัง ปี 2561 (2) โครงการขยายการปลูกพืชปุ๋ยสด ฤดูนาปรัง ปี 2561 และ (3) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชอาหารสัตว์ฤดูนาปรัง ปี 2561 จากสิ้นสุดเดือนมิถุนายน 2561 เป็นสิ้นสุดในวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน 2561
2. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับดูแลให้การจ่ายเงินอุดหนุนให้เสร็จสิ้นภายในเดือนกันยายน 2561 โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
3. ในการดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในระยะต่อไป ให้กรทรวงเกษตรและสหกรณ์นำผลการประเมินโครงการมาประกอบการปรับปรุงโครงการและกำหนดเงื่อนไขของโครงการให้สอดคล้องกับความต้องการของเกษตรกร เพื่อให้สามารถดำเนินการได้บรรลุตามเป้าหมายโครงการอย่างแท้จริง
11. เรื่อง การใช้เงินของกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจเพื่อการพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอดังนี้
1. อนุมัติการใช้เงินของกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (กองทุนฯ) ตามความในมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ พ.ศ. 2558 ให้แก่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เพื่อให้ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพภย์ (ศขอ.) ดำเนินโครงการพัฒนาฐานข้อมูลอสังหาริมทรัพย์มือสอง จำนวน 31.1 ล้านบาท
2. อนุมัติการใช้เงินของกองทุนฯ ตามความในมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ให้แก่มูลนิธิเพื่อพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจเพื่อดำเนินโครงการจัดตั้งสถาบันนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงิน (Institute for Financial Innovation and Technology : InFinIT) จำนวน 650 ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2561 [เรื่อง แนวทางการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทางการเงิน (Financial Technology : Fin Tech)] รวมทั้งรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและธนาคารแห่งประเทศไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนของการจัดตั้งมูลนิธิเพื่อพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด เพื่อให้สอดคล้องกับการเริ่มดำเนินโครงการจัดตั้งสถาบันนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงิน (Institute for Financial Innovation and Technology : InFinIT) รวมทั้งให้ความสำคัญกับการกำกับ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานโครงการจัดตั้งสถาบัน InFinIT เป็นระยะ เพื่อให้การบริหารจัดการของสถาบัน InFinIT เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งอย่างแท้จริง
สาระสำคัญของเรื่อง
1. โครงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลอสังหาริมทรัพย์มือสองของธนาคารอาคารสงเคราะห์ จำนวน 31.1 ล้านบาท เป็นโครงการที่มีอยู่เดิมของธนาคารอาคารสงเคราะห์ โดยศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ของธนาคารอาคารสงเคราะห์มีความประสงค์จะพัฒนาระบบฐานข้อมูลของโครงการดังกล่าวให้เป็นตลาดกลางในการซื้อและขายอสังหาริมทรัพย์มือสองในรูปแบบตลาดดิจิทัล (Digital Virtual Market) ที่รองรับข้อมูลทั้งอสังหาริมทรัพย์มือสองและอสังหาริมทรัพย์ที่รอการขาย (Non – Performing Asset : NPA) ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจทุกแห่ง ให้อยู่ในระบบฐานข้อมูลที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานใดรวบรวมข้อมูลดังกล่าวได้ อย่างครบถ้วน อีกทั้งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการประชาสัมพันธ์ขายทรัพย์ NPA ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจแต่ละแห่งรวมถึงสามารถใช้ข้อมูลให้เป็นประโยชน์ในการวิเคราะห์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวม และนำมาใช้วางแผน การลงทุนและการพัฒนาที่อยู่อาศัยของภาครัฐและเอกชนได้ ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจและส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศต่อไปในอนาคต
2. โครงการจัดตั้งสถาบันนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงิน (InFinIT) จำนวน 650 ล้านบาท เป็นแนวทางหนึ่งภายใต้แนวทางการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทางการเงิน (Financial Technology : FinTech) ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการไว้เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2561 โดยกระทรวงการคลัง จะดำเนินการจัดตั้งมูลนิธิเพื่อพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจและจัดตั้งสถาบัน InFinIT ภายใต้มูลนิธิดังกล่าว เพื่อทำหน้าที่พัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรม FinTech ให้แก่ระบบการเงินทั้งระบบ ซึ่งรวมถึงผู้ประกอบกิจการ FinTech ในระยะเริ่มต้น (FinTech Startups) โดยนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้หรือปรับปรุงการให้บริการทางการเงินด้านต่าง ๆ เช่น การรับฝากเงิน การให้สินเชื่อ การระดมทุน และการซื้อขาย และวิเคราะห์หลักทรัพย์ เป็นต้น อีกทั้งสถาบัน InFinIT จะเป็นช่องทางให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจทุกแห่งสามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันในการพัฒนาระบบการให้บริการทางการเงินให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
12. เรื่อง การใช้เงินกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจเพื่อการเพิ่มทุนธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยและการกำหนดสัดส่วนและระยะเวลาการถือหุ้นธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ของกระทรวงการคลัง
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบทั้ง 2 ข้อ ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติการใช้เงินของกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจให้แก่ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) จำนวน 16,100 ล้านบาท และให้ ธอท. ดำเนินการสรรหาพันธมิตรควบคู่กับการปรับโครงสร้างทางการเงินโดยการเพิ่มทุน โดยเร่งเจรจาหาพันธมิตร ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้พันธมิตรเข้าร่วมลงทุนและเข้าร่วมปรับปรุงการบริหารจัดการภายในของ ธอท. ตามมติคณะกรรมการกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (คณะกรรมการกองทุนฯ) ในคราวประชุมครั้งที่ 3/2561 เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2561
2. เห็นชอบให้ กค. ถือหุ้นภายหลังการเพิ่มทุนในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 99.71 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด และจะดำเนินการลดสัดส่วนการถือหุ้นดังกล่าวเมื่อ กค. สามารถกระจายหุ้น ธอท. หรือ ธอท. สามารถสรรหาพันธมิตรเข้าร่วมลงทุนได้แล้ว
รวมทั้ง ให้กระทรวงการคลังและธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยรับความเห็นของคณะกรรมการกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (มติในคราวประชุมครั้งที่ 3/2561 เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2561) สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี และมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย
ต่างประเทศ
13. เรื่อง ท่าทีไทยสำหรับการประชุมแผนความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ครั้งที่ 7
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบท่าทีไทยสำหรับการประชุมแผนความร่วมมือระหว่าง พณ. แห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ครั้งที่ 7
2. หากในการประชุมดังกล่าวมีผลให้มีการตกลงเรื่องความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าในประเด็นอื่น ๆ นอกเหนือจากประเด็นในท่าทีตามข้อ 1 อันจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าสองฝ่ายระหว่างไทยกับ สปป.ลาว โดยไม่มีการจัดทำเป็นความตกลงหรือหนังสือสัญญาขึ้นมา ให้พณ. และผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวสามารถดำเนินการได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
3. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายรับรองผลการประชุมแผนความร่วมมือฯ ไทย-สปป.ลาว ครั้งที่ 7 รวมถึงเอกสารอื่น ๆ ที่เป็นผลจากการหารือขยายความร่วมมือเฉพาะด้าน (หากมี)
สาระสำคัญของเรื่อง สืบเนื่องจากการประชุมแผนความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 4 – 5 กุมภาพันธ์ 2558 ณ กรุงเทพมหานคร มีประเด็นที่ต้องดำเนินการต่อเนื่องเพื่อพัฒนาความร่วมมือกับทาง สปป.ลาว เช่น เป้าหมายการค้า การอำนวยความสะดวกทางการค้า การเชื่อมโยงเส้นทางและการขนส่งระหว่างสองประเทศและในภูมิภาค โดยในการประชุมแผนความร่วมมือฯ ครั้งที่ 7 ซึ่งจะจัดขึ้น ในวันที่ 5 – 6 กันยายน 2561 ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว มีประเด็นการหารือสำคัญในหลายประเด็น ซึ่ง พณ. ได้จัดประชุมเตรียมการสำหรับการประชุมแผนความร่วมมือฯ ครั้งที่ 7 แล้ว สรุปดังนี้
ประเด็น รายละเอียด
1. เป้าหมายการค้า- ผลักดันให้มูลค่าการค้าไทย – สปป.ลาวให้บรรลุ 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2564 (ในปี 2560 มูลค่าการค้าของไทย-สปป.ลาว ประมาณ 6,170.52 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งไทยเป็นฝ่ายเกินดุลการค้ามูลค่า 1,730.23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้นจากเป้าหมายเดิมในการประชุมครั้งที่ 6 ที่ตั้งไว้อยู่ที่ประมาณ 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
2. ประเด็นที่ต้องเจรจาต่อเนื่องจากการประชุมแผนความร่วมมือฯ ครั้งที่ 6 (1) ร่วมหารือแนวทางการอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุนระหว่างกัน(2) ดำเนินการด้านพิธีการศุลกากรตรวจแบบเสร็จ ณ จุดเดียว (3) เร่งรัดหาแนวทางการเชื่อมโยงระหว่างเขตเศรษฐกิจพิเศษของทั้งสองประเทศ (4) เจรจาในประเด็นความร่วมมือในการสร้างความเชื่อมโยงเส้นทางและการขนส่งระหว่างสองประเทศและในภูมิภาค (5) เจรจาเกี่ยวกับความคืบหน้าความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และ (6) ร่วมหา แนวทางการส่งเสริมและสนับสนุนภาคเอกชน
3. ประเด็นที่อาจจะหารือเพิ่มเติม ความร่วมมือด้านการเงินการธนาคาร ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว และความร่วมมือในกรอบอนุภูมิภาคและในภูมิภาค และความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญา
14. เรื่อง ขออนุมัติลงนามและให้สัตยาบันสนธิสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับฮังการีว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างสนธิสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับฮังการีว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามสนธิสัญญาฯ
3. ให้ กต. จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามในข้อ 2 ในกรณีที่ผู้ลงนามไม่ใช่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
4. ให้ กต. ดำเนินการให้สนธิสัญญาฯ มีผลใช้บังคับในโอกาสอันเหมาะสมตามแต่จะตกลงกับฝ่ายฮังการีต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง กต. ได้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างสนธิสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับฮังการีว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนและอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามสนธิสัญญาดังกล่าว ซึ่งคณะผู้แทนไทยที่ประกอบด้วยผู้แทนจากสำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด กระทรวงยุติธรรม และกระทรวงการต่างประเทศ (กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย) ได้ดำเนินการเจรจาจัดทำสนธิสัญญาดังกล่าวร่วมกับคณะผู้แทนฮังการี โดยทั้งสองฝ่ายสามารถเจรจาตกลงกันได้ทุกข้อบทแล้ว
ทั้งนี้ ร่างสนธิสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับฮังการีว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนเป็นการกำหนดเงื่อนไขและขั้นตอนในการส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่มีความสอดคล้องกับกรอบการเจรจาสนธิสัญญาโอนตัวนักโทษที่คณะรัฐมนตรีเคยมีมติ (23 พฤษภาคม 2560) เห็นชอบให้คณะผู้แทนไทยใช้ข้อกำหนดท่าทีในการเจรจาสนธิสัญญาประเภทดังกล่าวกับประเทศต่าง ๆ สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
ประเด็น รายละเอียดกรอบการเจรจา
ขอบเขตของสนธิสัญญา ครอบคลุมเฉพาะเรื่องความร่วมมือเกี่ยวกับการส่งผู้ร้ายข้ามแดนโดยไม่รวมถึงการโอน ตัวนักโทษ หรือการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องทางอาญา
ผู้ประสานงานกลาง ฝ่ายไทย ได้แก่ อัยการสูงสุดหรือผู้ที่อัยการสูงสุดมอบหมาย
บุคคลที่ถูกร้องขอให้ส่งเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ต้องเป็นบุคคลที่อยู่หรือเชื่อว่าอยู่ในดินแดนของประเทศผู้รับคำร้องขอในขณะ ที่มีการร้องขอ
ความผิดที่จะส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ ต้องเป็นความผิดซึ่งกฎหมายไทย และกฎหมายของประเทศคู่เจรจากำหนดให้เป็นความผิดที่มีโทษประหารชีวิตหรือมีโทษจำคุกหรือโทษจำกัดเสรีภาพในรูปแบบอื่นตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป
หลักเกณฑ์ในการส่งและปฏิเสธการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ไม่ขัดกับพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2551 อาทิ (1) การไม่ส่งผู้ร้ายข้ามแดนในความผิดที่มีลักษณะทางการเมืองหรือความผิดทางทหารโดยเฉพาะ (2) คดีขาดอายุความหรืออายุการบังคับโทษ (3) ประเทศผู้รับคำร้องขอมีเขตอำนาจเหนือความผิดที่มีการขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน
การจับกุมชั่วคราว อาจทำได้เมื่อมีการร้องขอในกรณีที่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วน โดยประเทศผู้ร้องขอจะต้องระบุเหตุดังกล่าวไว้ในคำร้องขอ
หลักเกณฑ์ว่าด้วยการพิจารณาความผิดเฉพาะเรื่องบุคคลที่ถูกส่งเป็นผู้ร้ายข้ามแดนจะต้องไม่ถูกดำเนินคดี ถูกลงโทษหรือถูกส่งเป็นผู้ร้ายข้ามแดนต่อไปยังประเทศที่สาม บนพื้นฐานของความผิดอื่นนอกจากความผิดที่ให้มีการส่งผู้ร้ายข้ามแดน
ในปัจจุบันประเทศไทยมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่มีผลใช้บังคับแล้วกับประเทศต่าง ๆ รวมทั้งหมด 15 ประเทศ ทั้งนี้ ทางการฮังการีได้เคยมีคำร้องขอให้ทางการไทยส่งบุคคลเป็นผู้ร้ายข้ามแดนจำนวน 2 คน ในปี 2542 และปี 2556 แต่ยังไม่มีการดำเนินการส่งผู้ร้ายข้ามแดน เนื่องจากในกรณีแรกฮังการีถอนคำร้อง ส่วนผู้ร้ายในกรณีที่สอง อยู่ระหว่างรับโทษในเรือนจำไทย จึงเลื่อนการดำเนินคดีส่งผู้ร้ายข้ามแดนออกไปก่อน ทั้งนี้ ฝ่ายไทยยังไม่เคยมีคำร้องขอให้ทางการฮังการีส่งผู้ร้ายข้ามแดน
แต่งตั้ง
15. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้งนางสุรีพร ศิริขันตยกุล ผู้อำนวยการกองตรวจสอบภาครัฐ (ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (วิชาการบัญชี) ระดับสูง) กรมบัญชีกลาง ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบบัญชี (นักบัญชีทรงคุณวุฒิ) กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม 2561 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
16. เรื่อง การแต่งตั้งผู้ที่จะดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอแต่งตั้ง นางสาวจารุวรรณ เฮงตระกูล รองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เพื่ทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
17. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ ก.พ. (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอแต่งตั้ง นางสาวสุลักขณา ธรรมานุสติ ที่ปรึกษาระบบราชการ (นักทรัพยากรบุคคลทรงคุณวุฒิ) ให้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการ ก.พ. สำนักงาน ก.พ. สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
18. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพาณิชย์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงพาณิชย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 3 ราย ดังนี้
1. นางสาวอรุณี พูลแก้ว ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นายสมศักดิ์ เกียรติชัยลักษณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นายสุพพัต อ่องแสงคุณ ที่ปรึกษาการพาณิชย์ (นักวิชาการพาณิชย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
19. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงศึกษาธิการ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 5 ราย ดังนี้
1. นางวัฒนาพร ระงับทุกข์ รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการสภาการศึกษา สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา
2. นายอำนาจ วิชยานุวัติ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นางสาวอุษณีย์ ธโนศวรรย์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานปลัดกระทรวง
4. นายศรีชัย พรประชาธรรม รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สำนักงานปลัดกระทรวง
5. นายณรงค์ แผ้วพลสง ศึกษาธิการภาค สำนักงานศึกษาธิการภาค 15 (เชียงใหม่) สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
20. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการลิขสิทธิ์
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการลิขสิทธิ์ชุดใหม่ จำนวน 12 คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิชุดเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2560 ดังนี้
1. นายสมพร มณีรัตนะกูล ผู้แทนสมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย
2. นายสุพล สิทธิธรรมพิชัย ผู้แทนสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ
3. นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร ผู้แทนสมาคมโรงแรมไทย
4. นางกนกวลี กันไทยราษฎร์ ผู้แทนสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย
5. นายสมศักดิ์ รักษ์สุวรรณ ผู้แทนสมาคมศิลปินทัศนศิลป์นานาชาติแห่งประเทศไทย
6. นางสุชาดา สหัสกุล ผู้แทนสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย
7. นางสาวอรพรรณ พนัสพัฒนา ผู้ทรงคุณวุฒิ
8. นายพิเศษ จียาศักดิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ
9. นางมรกต กุลธรรมโยธิน ผู้ทรงคุณวุฒิ
10. นายปีเตอร์ รุ่งเรืองกานต์ ผู้ทรงคุณวุฒิ
11. นางสาววิมลลักษณ์ ชูชาติ ผู้ทรงคุณวุฒิ
12. นายสรณันท์ จิวะสุรัตน์ ผู้ทรงคุณวุฒิ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2561 เป็นต้นไป และให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการดังกล่าวในครั้งต่อไปให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 เรื่อง การดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย
21. เรื่อง ผลการสรรหากรรมการในคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายชื่อบุคคลที่ได้รับคัดเลือกเพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการในคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า ให้ได้รับเลือกเป็นกรรมการในคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า จำนวน 7 คน ตามที่คณะกรรมการสรรหาได้คัดเลือกแล้ว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
1. นายสุธรรม อยู่ในธรรม 2. นายกฤษฎา เปี่ยมพงศ์สานต์ 3. นายสมชาติ สร้อยทอง 4. นางอร่ามศรี รุพันธ์ 5. นายวิษณุ วงศ์สินศิริกุล 6. นายสันติชัย สารถวัลย์แพศย์ 7. นายสมเกียรติ ตันกิตติวัฒน์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2561 เป็นต้นไป และให้บุคคลดังกล่าวประชุมร่วมกันเพื่อเลือกกันเองเป็นประธานกรรมการ และรองประธานกรรมการหนึ่งคนก่อนเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อมีคำสั่งแต่งตั้งต่อไป
22. เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาแทนตำแหน่งว่าง
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้ง นายนพดล เภรีฤกษ์ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ปารีณา ศรีวนิชย์ เป็นกรรมการในคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา แทนตำแหน่งว่าง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2561 เป็นต้นไป
23. เรื่อง ให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่อีกหนึ่งวาระ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ซึ่งจะครบวาระการดำรงตำแหน่งหนึ่งปี ในวันที่ 16 กันยายน 2561 คงอยู่ปฏิบัติหน้าที่อีกหนึ่งวาระ ตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2561 จำนวน 2 ราย ดังนี้ 1. พลตำรวจโท วรศักดิ์ นพสิทธิพร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อยู่ในบังคับบัญชารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) 2. นายธวัช สุนทราจารย์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข อยู่ในบังคับบัญชารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
24. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงอุตสาหกรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 3 ราย ดังนี้
1. นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม
2. นายอภิจิณ โชติกเสถียร เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นายสุรพล ชามาตย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
25. เรื่อง การแต่งตั้งผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอแต่งตั้ง นางสาวสมจิณณ์ พิลึก ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยให้ได้รับค่าตอบแทนรวมทั้งสิทธิประโยชน์อื่นของผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามร่างสัญญาจ้างผู้บริหารในตำแหน่งผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งกระทรวงการคลังให้ความเห็นชอบ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมมติ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี