"บิ๊กฉัตร"โชว์พัง"ซากเรือประมง"ต่อหน้าทูต20ประเทศ มั่นใจประสิทธิภาพตรวจสอบย้อนกลับ ยันไทยเข้มแก้ไอยูยู
12 ก.ย.61 พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี นำคณะเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย จำนวน 20 ประเทศ จากสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และประเทศสมาชิกอาเซียนลงพื้นที่ จ.สมุทรสาคร เพื่อตรวจติดตามการรื้อทำลายซากเรือประมง จำนวน 9 ลำ กลางแม่น้ำท่าจีน พร้อมนำชมการยกระดับประสิทธิภาพระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ของประเทศไทยที่ได้มาตรฐาน โดยมีผู้แทนจาก ศปมผ. , กรมประมง และกรมเจ้าท่า ร่วมให้การต้อนรับ
พล.อ.ฉัตรชัย กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU) ของประเทศไทยมีความก้าวหน้าและเห็นผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยขณะนี้รัฐบาลไทยสามารถบริหารจัดการเรือประมงไทยได้ทั้งระบบ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ทำให้ภาพลักษณ์การประมงของไทยในสายตาชาวโลกเกิดเป็นภาพบวก เช่น สร้างความยั่งยืนให้กับทรัพยากรประมง สามารถแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใส ตรวจสอบได้ในระบบการประมงของประเทศ ซึ่งที่ผ่านมา ภาครัฐมีการดำเนินการอย่างเข้มข้นที่จะสร้างความชัดเจนของสถานะกองเรือประมงไทย ไม่ว่าจะเป็นการจัดการเรือประมงให้ถูกกฎหมายอยู่ในระบบ ซึ่งขณะนี้รัฐบาลโดยกรมเจ้าท่าสามารถประกาศรายชื่อเรือประมงที่ถูกต้องตามกฎหมายได้ทั้งหมดจำนวน 10,743 ลำ ส่วนเรือประมงที่ถือว่าอยู่นอกระบบอย่างถาวรไม่สามารถกลับเข้าสู่ทะเบียนเรือไทยและเทียบท่าในประเทศไทยได้อีกต่อไป มีจำนวน 6,315 ลำ และมีเรือประมงที่ผุพังแล้วต้องดำเนินการรื้อทำลายซากเรือประมงนอกระบบทะเบียนเรือไทยตาม พรบ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย มาตรา 121 เพื่อไม่ให้มีการนำไปแอบแฝงกระทำผิดกฎหมายได้อีกต่อไป อีกจำนวน 861 ลำ
"วันนี้มีการทำลายซากเรือทั้งหมด 9 ลำ จากจำนวน 44 ลำ ของ จ.สมุทรสาคร ซึ่งภาครัฐมีการดำเนินการตามกระบวนการอย่างเป็นระบบมีการสำรวจและประชาสัมพันธ์ก่อนหน้านี้ภายใน 30 วันตามระเบียบ การรื้อทำลายเช่นนี้จะดำเนินการอย่างต่อเนื่องจนครบ 861 ลำ เพื่อกำจัด ซากเรือประมงนอกระบบทะเบียนเรือไทยให้หมดสิ้นไปจากน่านน้ำไทย หลังจากเป็นปัญหาเรื้อรังมาหลายสิบปี"
พล.อ.ฉัตรชัย กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญในกระบวนการผลิตของสินค้าประมงโดยจะต้องมีคุณภาพมาตรฐาน และไม่ได้มาจากการทำประมงผิดกฎหมาย รวมถึงสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ในทุกขั้นตอน ซึ่งปัจจุบันไทยได้มีการพัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับสินค้าสัตว์น้ำให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยแยกเป็น 2 ส่วน คือ ระบบตรวจสอบย้อนกลับเพื่อให้ทราบถึงแหล่งที่มาของสินค้าและผลิตภัณฑ์ประมงทะเลได้ตลอดสายการผลิตพร้อมกำหนดให้เรือประมงที่จับสัตว์น้ำต้องจดบันทึกการทำการประมง (logbook) ตามความเป็นจริงทุกครั้ง และมีรายละเอียดของชนิด นอกจากนี้ สัตว์น้ำ ปริมาณสัตว์น้ำ บริเวณที่จับ และเครื่องมือการทำประมง เมื่อนำสัตว์น้ำขึ้นที่ท่าเทียบเรือ ชนิดและปริมาณสัตว์น้ำที่ขึ้นท่าจะถูกรายงานโดยท่าเทียบเรือ และเมื่อมีการซื้อขายสัตว์น้ำ ผู้ซื้อผู้ขายต้องกรอกข้อมูลชนิดสัตว์น้ำและปริมาณที่ซื้อขายลงในเอกสารกำกับการซื้อขายสัตว์น้ำ (Marine Catch Purchasing Document : MCPD) เพื่อให้มีข้อมูลในการตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาของสัตว์น้ำได้ทุกขั้นตอนตลอดสายการผลิต
"ผลของการพลิกโฉมหน้าระบบตรวจสอบย้อนกลับสินค้าประมงเพื่อการส่งออก นอกจากจะเป็นการยกระดับคุณภาพกระบวนการตรวจสอบย้อนกลับได้ครบวงจรเหนือระดับมาตรฐานสากลแล้ว ยังทำให้เกิดความรวดเร็วในการออกใบรับรองการจับสัตว์น้ำ (catch certificate) ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญในการส่งออกสินค้าไปยังประเทศคู่ค้าทั่วโลก จากเดิมใช้เวลา 5 วัน ลดเหลือเพียง 3 วัน ทำให้สินค้าประมงไทยเป็นที่ยอมรับ มีความโปร่งใส ลดต้นทุนผู้ประกอบการ เสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันทางเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี"
พล.อ.ฉัตรชัย กล่าวว่า การที่เอกอัครราชทูตและผู้แทนสถานทูตต่างๆ เข้าเยี่ยมชมระบบตรวจสอบย้อนกลับสินค้าประมงไทยในครั้งนี้ จะเป็นการแสดงให้เห็นถึงเส้นทางของผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ ตั้งแต่การจับสัตว์น้ำขึ้นมาจากทะเล ผ่านกระบวนการขึ้นท่า ทั้งจากในและต่างประเทศ ส่งต่อเข้ากระบวนการผลิตในโรงงาน จนได้เป็นผลิตภัณฑ์ประมงเตรียมพร้อมสำหรับการส่งออก ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน เพื่อให้นานาประเทศเกิดความมั่นใจและเชื่อถือว่าผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำของประเทศไทย เป็นผลิตภัณฑ์ที่ปลอดจากการทำประมงผิดกฏหมาย
อย่างไรก็ตาม งานที่ทำอยู่วันนี้ถือว่าพึงพอใจ พร้อมที่จะให้คณะกรรมการจากนานาประเทศ เข้ามาตรวจสอบ ซึ่งแก้ไขปัญหาให้เป็นตามหลักสากลตามมาตรฐานที่กำหนด คาดว่าปลายเดือนนี้ทางคณะกรรมการของอียูจะเข้ามาตรวจสอบ รัฐบาลเดินหน้าเรื่องนี้ เราไม่ได้กังวลเรื่องใบเหลืองใบแดง แต่ต้องทำเพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาประมงอย่างยั่งยืน และร่วมงานกับอาเซียนด้วย
ด้าน นายเปียร์ก้า ตาปิโอลา เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรป ประจำประเทศไทย กล่าวว่า พอใจการทำงานของรัฐบาลไทย ที่มีความมุ่งมั่นในการตั้งใจแก้ปัญหานี้ ส่วนทางด้านเทคนิคเขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ หากรัฐบาลไทยมีระบบอะไรที่นำมาพัฒนาได้ ก็ขอให้ดำเนินการในส่วนนั้น
ขณะที่ นายวาลเดอมาร์ ดูบันยอฟสกี เอกอัครราชทูตโปรแลนด์ ประจำประเทศไทศ กล่าวแสดงความยินดีกับไทยที่มีระบบที่เป็นมืออาชีพและทันสมัยมาก รวมถึงระบบตรวจสอบย้อนกลับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี