25 ก.ย.61 เมื่อเวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ และ พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมแถลงผลการประชุม ครม.ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1.เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต้องเป็นไปตามมาตรฐานรวม 2 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระจกโฟลตใส ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระจกโฟลตสีตัดแสงต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
1. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระจกโฟลตใสต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... เป็นการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระจกโพลตใสต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 880 - 2560 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5004 (พ.ศ. 2560) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง ยกเลิกและกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระจกโฟลตใส ลงวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2560 โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 60 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
2. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระจกโฟลตสีตัดแสงต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... เป็นการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระจกโฟลตสีตัดแสงต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 1344 - 2560 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5007 (พ.ศ. 2560) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง ยกเลิกและกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระจกโฟลตสีตัดแสงลงวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2560 โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 60 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
2.เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐ ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ในฐานะประธานกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้
สำนักงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสื่อสร้างสรรค์เสนอว่า
1. กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ได้จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พ.ศ. 2558 โดยมีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ
2. โดยที่พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 บัญญัติให้หน่วยงานของรัฐ หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่น และมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น หรือรัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติ หรือพระราชกฤษฎีกา และให้หมายความรวมถึงหน่วยงานอื่นของรัฐที่พระราชกฤษฎีกากำหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัตินี้ ซึ่งกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐและใช้อำนาจรัฐในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พ.ศ. 2558 ยังไม่ได้ถูกกำหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐ ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ดังนั้น เพื่อให้กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์เป็นหน่วยงานของรัฐตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่อันจะทำให้เจ้าหน้าที่หรือลูกจ้างของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ที่ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายดังกล่าว
จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
กำหนดให้กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์เป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539
เศรษฐกิจ-สังคม
3.เรื่อง การขอขยายโครงข่ายเน็ตประชารัฐเพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบ ดังนี้
1. รับทราบผลการดำเนินโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
2. รับทราบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณตามแผนการจัดให้มีบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม (แผน USO) ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ และให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประสานความร่วมมือไปยังสำนักงาน กสทช. และจัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับพิจารณาจัดสรรงบประมาณตามแผน USO ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป
3. กรณีการขอขยายเวลาเบิกจ่ายงบประมาณโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม กิจกรรมที่ 1 การขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมทั่วประเทศเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศ (โครงการเน็ตประชารัฐ) จำนวน 1,072.1955 ล้านบาท และกิจกรรมที่ 2 การเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Digital Hub) จำนวน 1,000 ล้านบาทนั้น ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลังตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
4. กรณีการขอความเห็นชอบให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมนำงบประมาณเหลือจ่ายจากการดำเนินการโครงการเน็ตประชารัฐมาดำเนินกิจกรรมนั้น ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
5. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 และ 28 สิงหาคม 2561 ที่ให้ตรวจสอบ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินโครงการเน็ตประชารัฐ แล้วเสนอนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีทราบโดยเร็วต่อไป
6. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเร่งรัดการดำเนินโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ แล้วเสร็จตามแผนที่กำหนดไว้ อีกทั้งเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ ผลการดำเนินโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ในส่วนของกิจกรรมที่ 1 การขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมทั่วประเทศเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศ (โครงการเน็ตประชารัฐ) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมอยู่ระหว่างดำเนินกิจกรรม/โครงการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ของโครงข่ายเน็ตประชารัฐที่ติดตั้งแล้วเสร็จอย่างคุ้มค่า ซึ่งประกอบด้วย การตรวจสอบอุปกรณ์และระบบก่อนดำเนินการรับมอบ การจัดหาอุปกรณ์เพิ่มเติมเพื่อป้องกันไฟกระชาก (Surge Protection) การจัดกิจกรรมสร้างการรับรู้การใช้ประโยชน์จากเน็ตประชารัฐให้แก่ประชาชนในพื้นที่ การประเมินผลสัมฤทธิ์โดยการสำรวจความคิดเห็นประชาชน และการบำรุง และดูแลรักษาโครงข่ายที่สร้างขึ้น ส่วนกิจกรรมที่ 2 การเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Digital Hub) ประกอบด้วย 3 กิจกรรมย่อย โดยกิจกรรมย่อยที่มีความคืบหน้ามากที่สุด คือ กิจกรรมย่อยที่ 2 (การขยายความจุโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำระหว่างประเทศของระบบที่มีอยู่ 1,770 Gbps) ซึ่งบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการขยายความจุโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำฯ แล้วจำนวน 980 Gbps นอกจากนี้ ในส่วนของโครงการขยายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต กระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้โอนงบประมาณในลักษณะเบิกจ่ายแทนกันให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว
4.เรื่อง การโอนเงินหรือสินทรัพย์ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ยเงินกู้ FIDF 1 และ FIDF 3
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอให้โอนเงินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (กองทุนฯ) เข้าบัญชีสะสมเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (บัญชีสะสมฯ) ในปีงบประมาณ 2562 จำนวน 7,000 ล้านบาท โดยให้กองทุนฯ ทยอยโอนเงินดังกล่าวเข้าบัญชีสะสมฯ ตามปริมาณสภาพคล่องของกองทุนฯ
สาระสำคัญของเรื่อง
กค. รายงานว่า กองทุนฯ ได้พิจารณาประมาณการกระแสเงินรับ-จ่ายของกองทุนฯ ซึ่งคาดว่าในปีงบประมาณ 2562 กองทุนฯ จะมีเงินสดรับคงเหลือประมาณ 7,908 ล้านบาท กองทุนฯ จึงขอนำส่งเงินของ
กองทุนฯ เข้าบัญชีสะสมฯ ปีงบประมาณ 2562 จำนวน 7,000 ล้านบาท และคณะกรรมการจัดการกองทุนในการประชุมเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2561 ได้มีมติเห็นชอบการนำส่งเงินของกองทุนฯ จำนวนดังกล่าว เพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ยเงินกู้ FIDF 1 และ FIDF 3 โดยให้กองทุนฯ ทยอยโอนเงินจำนวนดังกล่าวเข้าบัญชีสะสมฯ ตามปริมาณสภาพคล่องของกองทุนฯ ทั้งนี้ หากกองทุนฯ นำส่งเงินเข้าตามที่เสนอ กองทุนฯ จะมีเงินสดคงเหลือประมาณ 908 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และภาระชดเชยที่อยู่ระหว่างดำเนินการ และหากกองทุนฯ มีสภาพคล่องคงเหลือ กองทุนฯ จะได้พิจารณาทบทวนเพื่อขออนุมัตินำส่งเงินเข้าบัญชีสะสมฯ เพิ่มเติมต่อไป
5.เรื่อง แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2562
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. อนุมัติและรับทราบ (ตามข้อ 1.1- 1.7) ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้
1.1 อนุมัติแผนการบริหารหนี้สาธารณะ (แผนฯ) ประจำปีงบประมาณ 2562 วงเงินรวม 1,663,001.98 ล้านบาท ได้แก่ แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงิน 743,901.31 ล้านบาท และแผนการบริหารหนี้เดิม วงเงิน 919,100.67 ล้านบาท และรับทราบแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ วงเงิน 165,117.20 ล้านบาท
1.2 อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งขออนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อดำเนินโครงการลงทุนและการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ภายใต้กรอบวงเงินของแผนฯ ประจำปีงบประมาณ 2562
1.3 อนุมัติให้กระทรวงการคลัง (กค.) เป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนฯ ประจำปีงบประมาณ 2562 ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ
1.4 อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมาย เป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กค. จะรายงานผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าวตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2549
1.5 รับทราบแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้คงค้างขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)
1.6 มอบหมายให้กระทรวงคมนาคม (คค.) นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้รัฐบาลรับภาระหนี้ของ ขสมก. เฉพาะในส่วนดอกเบี้ยจ่ายที่เกิดขึ้นจริง เพื่อ ขสมก. จะได้ขอรับจัดสรรงบประมาณในการชำระดอกเบี้ยตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาตรา 20 (3) การตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่อชำระหนี้ภาครัฐ ซึ่งเป็นหนี้สาธารณะ ที่ กค. ค้ำประกันทั้งต้นเงินกู้และดอกเบี้ยอย่างพอเพียง และประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง กำหนดสัดส่วนต่าง ๆ เพื่อเป็นกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ข้อ (3) สัดส่วนงบประมาณเพื่อการชำระดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายในการกู้เงินของรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐซึ่งรัฐบาลรับภาระ ต้องตั้งตามภาระที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปีงบประมาณนั้น
1.7 รับทราบประมาณการหนี้สาธารณะต่อ GDP ในช่วงปีงบประมาณ 2562 – 2571 และมอบหมายให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินโครงการลงทุนให้เป็นไปตามแผนที่กำหนด เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
โดยให้กระทรวงเจ้าสังกัดและหน่วยงานเจ้าของวงเงินกู้กำกับติดตามการดำเนินแผนงาน/โครงการให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดอย่างเคร่งครัด
2. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโนบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) พิจารณาเกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการหนี้ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2560 (เรื่อง แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2561)
3. ให้กระทรวงคมนาคมและองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เร่งดำเนินการเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการตามแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2561 (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 2/2561)
6.เรื่อง กรอบและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2562
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบกรอบและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2562 วงเงินดำเนินการ จำนวน 2,058,196 ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุนจำนวน 638,943 ล้านบาท ประกอบด้วย (1) กรอบการลงทุนสำหรับงานตามภารกิจปกติและโครงการต่อเนื่อง วงเงินดำเนินการ จำนวน 1,508,196 ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุนจำนวน 538,943 ล้านบาท และ (2) กรอบการลงทุนสำหรับการเพิ่มเติมระหว่างปี วงเงินดำเนินการ 550,000 ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน 100,000 ล้านบาท สำหรับโครงการที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และการลงทุนที่ใช้เงินงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ให้ดำเนินการได้เมื่อได้รับอนุมัติตามขั้นตอนแล้ว ทั้งนี้ กำหนดเป้าหมายให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 ของกรอบวงเงินอนุมัติเบิกจ่ายลงทุน
2. เห็นชอบให้ สศช. ปรับวงเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2562 ให้สอดคล้องกับผลการจัดสรรงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 รวมถึงงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม งบกลาง หรืองบประมาณที่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตามหลักเกณฑ์แวะวิธีการงบประมาณหรือได้รับความเห็นชอบจากสำนักงบประมาณแล้ว และปรับเพิ่มกรอบวงเงินดำเนินการ และกรอบวงเงินเบิกจ่ายลงทุนให้สอดคล้องกับการอนุมัติการลงทุนเพิ่มเติมตามมติคณะรัฐมนตรี เพื่อให้รัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการได้ทันทีภายในปีงบประมาณ
3. มอบหมายให้คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (คณะกรรมการฯ) เป็นผู้พิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนแปลงงบลงทุนระหว่างปีในส่วนงบลงทุน เพื่อการดำเนินงานปกติและโครงการต่อเนื่องที่การเปลี่ยนแปลงไม่มีผลกระทบต่อสาระสำคัญ และกรอบวงเงินโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้ว
4. ให้รัฐวิสาหกิจรายงานผลความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการลงทุนปี 2562 ให้ สศช. ทราบภายในทุกวันที่ 5 ของเดือนอย่างเคร่งครัด และให้กระทรวงเจ้าสังกัดรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายระดับกระทรวง และระดับองค์กรไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะและความก้าวหน้าการดำเนินโครงการลงทุนทุกไตรมาส เพื่อประโยชน์ในการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน และการลงทุนของรัฐวิสาหกิจได้อย่างต่อเนื่อง
5. รับทราบประมาณการงบทำการประจำปีงบประมาณ 2562 ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ 117,110 ล้านบาท และประมาณการแนวโน้มการดำเนินงานช่วงปี 2563 – 2565 ของรัฐวิสาหกิจในเบื้องต้นที่คาดว่าจะมีการลงทุนเฉลี่ยประมาณปีละ 612,711 ล้านบาท และผลประกอบการจะมีกำไรสุทธิเฉลี่ยประมาณปีละ 133,909 ล้านบาท
6. ให้กระทรวงการคลัง (กค.) พิจารณาจัดกลุ่มรัฐวิสาหกิจตามประเภทการดำเนินกิจการ โดยหากเป็นรัฐวิสาหกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขัน ให้พิจารณารูปแบบและสถานะขององค์กรให้สอดคล้องกับภาวะการแข่งขันของตลาด เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินกิจการ สามารถเพิ่มผลิตภาพและขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยกำหนดรูปแบบการกำกับดูแลภายใต้ความโปร่งใสและตรวจสอบได้ สำหรับรัฐวิสาหกิจที่ให้บริการเชิงสังคมสมควรทบทวนบทบาทและการคงสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ โดยอาจปรับเปลี่ยนรูปแบบเป็นหน่วยงานของรัฐประเภทอื่นที่ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ และให้แยกกิจกรรมที่สามารถให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมบริหารเพื่อลดภาระงบประมาณของรัฐ ทั้งนี้ ในช่วงที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาปรับเปลี่ยนสถานะหรือจัดกลุ่มที่ชัดเจน ภาครัฐต้องกำกับดูแลบทบาทของรัฐวิสาหกิจให้ยังคงสามารถให้บริการเพื่อประโยชน์สาธารณะได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในด้านการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย และเพื่อความรวดเร็วในการดำเนินการดังกล่าวอาจนำแนวทางการปรับสถานะและความจำเป็นในการดำรงอยู่ของรัฐวิสาหกิจที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเสนอคณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจให้ความเห็นชอบไว้แล้วในปี 2558 มาประกอบการพิจารณา
7. ให้ สศช. และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) มีบทบาทในกระบวนการพิจารณาการลงทุนของรัฐวิสาหกิจร่วมกัน โดย สศช. เป็นผู้พิจารณากรอบการลงทุนที่ตอบสนองกับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ และ สคร. เป็นผู้ตรวจสอบและกำกับการลงทุนให้เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจ เพื่อให้มีข้อมูลประกอบการพิจารณาทิศทางการลงทุนที่สอดคล้องกับนโยบายการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจด้วย
8. ให้กำหนดเงื่อนไขและกรอบระยะเวลาให้กระทรวงเจ้าสังกัดจัดทำแผนการลงทุนของรัฐวิสาหกิจเพื่อกำหนดทิศทางการลงทุนของรัฐวิสาหกิจในระยะยาวให้ชัดเจน โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจด้านคมนาคมขนส่ง ด้านพลังงาน และรัฐวิสาหกิจที่อยู่ในช่วงการฟื้นฟูกิจการ โดยให้เสนอขออนุมัติโครงการตามขั้นตอนที่สอดคล้องกับแผนการลงทุนดังกล่าว และในการเสนอของบลงทุนให้มีรายละเอียดเรื่องการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ด้วย
7.เรื่อง ข้อเสนอโครงการเสริมสร้างศักยภาพของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการโครงการเสริมสร้างศักยภาพของ สศช. และกรอบงบประมาณเป็นเงินอุดหนุนสำหรับดำเนินการตามข้อเสนอโครงการดังกล่าวในช่วงระยะครึ่งหลังของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 – 2565)
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าว ขอให้ สศช. พิจารณาจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โดยคำนึงถึงความครอบคลุมของงบประมาณหรือแหล่งเงินนอกงบประมาณให้ครบถ้วน เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป รวมทั้งกำหนดแนวทางในการบริหารจัดการสถาบันฯ ให้มีความชัดเจน โดยเฉพาะการสรรหาบุคลากรและการสร้างกลไกความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้มีความซ้ำซ้อน โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด การพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้น เป็นสำคัญตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
2. เห็นชอบให้มีสถาบันนโยบายสาธารณะและการพัฒนา (Institute of Public Policy and Development) ในรูปแบบสถาบันภายใต้มูลนิธิพระยาสุริยานุวัตร เป็นหน่วยงานดำเนินโครงการเสริมสร้างศักยภาพของ สศช.
สาระสำคัญของเรื่อง
สศช. ได้นำเสนอข้อเสนอโครงการเสริมสร้างศักยภาพ สศช. และกรอบงบประมาณเป็นเงินอุดหนุนสำหรับการดำเนินการในช่วงระยะครึ่งหลังของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 – 2565) รวมถึงขอดำเนินการจัดตั้ง “สถาบันนโยบายสาธารณะและการพัฒนา (Institute of Public Policy and Development)” เป็นหน่วยงานดำเนินโครงการเสริมสร้างศักยภาพของ สศช.ในรูปแบบสถาบันภายใต้มูลนิธิพระยาสุริยานุวัตร ซึ่งเป็นมูลนิธิที่ สศช. ได้จัดตั้งและดำเนินการอยู่แล้ว เพื่อเป็นกลไกในการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางวิชาการและการวิจัย และสนับสนุนบทบาทการทำงานให้ สศช. เป็นคลังสมอง (Think Tank) ของประเทศในด้านการศึกษาวิจัยประเด็นการพัฒนาและนโยบายที่สำคัญ เพื่อให้ สศช. กำหนดยุทธศาสตร์และแนวทางการพัฒนาประเทศทั้งในระยะยาว ระยะปานกลาง และระยะสั้นได้อย่างชัดเจนมากขึ้น โดยโครงการเสริมสร้างศักยภาพของ สศช. ที่ สศช. เสนอมานี้ มีแผนงาน/โครงการที่สำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศ เช่น แผนงานการสร้างฐานสำหรับการวิเคราะห์วิจัยด้านเศรษฐกิจและสังคมเชิงลึก โครงการพัฒนาเครื่องมือและระบบการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อการตัดสินใจเชิงนโยบายทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โครงการพัฒนาระบบเตือนภัยทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่รองรับพลวัตที่รวดเร็ว แม่นยำ และมีประสิทธิภาพสูง แผนงานการวิเคราะห์คาดการณ์แนวโน้มอนาคตและผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โครงการวิเคราะห์ภาพอนาคต (Scenario) ของการเปลี่ยนแปลงอันเป็นผลจากการดำเนินนโยบายสำคัญของรัฐบาล แผนงานการออกแบบและการพัฒนานโยบายสาธารณะ (Policy Design and Development) โครงการพัฒนานโยบายสร้างพื้นที่เติบโตทางเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ โครงการออกแบบนโยบายพัฒนาสาขาการผลิตและบริการ ที่จะเป็นเครื่องจักรการเติบโตทางเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ เป็นต้น ซึ่งคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเห็นชอบเรื่องดังกล่าวด้วยแล้ว
8.เรื่อง การลงทุนจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลา
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการการลงทุนจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลา ภายในกรอบวงเงิน 2,890,402,000 บาท ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
สำหรับแหล่งเงินทุนที่จะนำมาใช้ดำเนินโครงการดังกล่าว เห็นสมควรใช้จ่ายจากรายได้ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นลำดับแรกก่อน อย่างไรก็ตามหากมีความจำเป็นก็เห็นควรให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อขอสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีสำหรับเป็นค่าก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลาตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
และให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในคราวประชุมครั้งที่ 4/2560 เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2560 อย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในคราวประชุมเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2561 ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
2. ในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลา กระทรวงอุตสาหกรรมควรพิจารณาความสอดคล้องกับนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ จังหวัดสงขลา ตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน และใช้จุดเด่นของนิคมอุตสาหกรรมในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลาดึงดูดผู้ประกอบการ/นักลงทุนเพื่อให้เกิดการลงทุนได้อย่างรวดเร็วด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงอุตสาหกรรมได้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบการลงทุนจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลา ซึ่งจะจัดตั้งขึ้นในพื้นที่ตำบลสำนักขาม อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา บนพื้นที่ดินราชพัสดุประมาณ 927.925 ไร่ ซึ่งปัจจุบันได้ทำสัญญาเช่าที่ดินประมาณ 629.425 ไร่ (ระยะที่ 1) กับกรมธนารักษ์เป็นเวลา 50 ปี เรียบร้อยแล้ว [ส่วนที่เหลือ (ระยะที่ 2) จะทำสัญญาเช่าจนครบเต็มพื้นที่ต่อไป] ใช้เงินลงทุนโครงการรวม 2,890.402 ล้านบาท มีอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ อุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมเบา อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานพาหนะหรือเครื่องจักร อุตสาหกรรมผลิตเครื่องไฟฟ้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมบริการ โดยระยะที่ 1 คาดว่าจะใช้เวลาพัฒนาโครงการประมาณ 15 เดือน ส่วนระยะที่ 2 เริ่มก่อสร้างในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 คาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 12 เดือน และคาดว่าจะให้เช่าพื้นที่แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมและนักลงทุนได้หมดภายใน 6 ปี ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ได้ให้ความเห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้ว
9.เรื่อง การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2561 เรื่อง การยกระดับการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศสู่ Thailand 4.0
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบดังนี้
1. เห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ
1.1 เห็นชอบหลักเกณฑ์กลางในการบริหารองค์การมหาชนด้านการวิจัย เพื่อให้องค์การมหาชนที่จัดตั้งโดยพระราชกฤษฎีกาออกตามความในพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ นำไปใช้เป็นแนวปฏิบัติต่อไป
1.2 เห็นชอบให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นองค์การมหาชนด้านการวิจัย และสามารถดำเนินการได้ตามหลักเกณฑ์กลางที่กำหนด
และให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมถึงข้อเสนอแนะของกระทรวงวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีไปพิจารณาดำเนินการในส่วนี่เกี่ยวข้องต่อไป
2. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2561 ในส่วนของการทบทวนความเหมาะสมของสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรขององค์การมหาชนในแต่ละปีอย่างเคร่งครัด และให้พิจารณาครอบคลุมถึงความเหมาะสมของสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรขององค์การมหาชนด้านการวิจัยในคราวเดียวกัน เพื่อให้เกิดความเหมาะสมและสอดคล้องทั้งระบบ
3. ให้สำนักงาน ก.พ. เร่งดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2559 โดยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาและวิเคราะห์ รวมทั้งจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐในภาพรวมเพื่อเป็นการพัฒนาระบบบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐให้สามารถดึงดูด รักษา จูงใจผู้มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานได้อย่างเป็นมืออาชีพสอดคล้องตามแผนปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดิน (พ.ศ. 2561 - 2565)
สาระสำคัญของเรื่อง
สำนักงาน ก.พ.ร. โดยคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบหลักเกณฑ์กลางในการบริหารองค์การมหาชนด้านการวิจัย และให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติเป็นองค์การมหาชนด้านการวิจัย และสามารถดำเนินการได้ตามหลักเกณฑ์กลางที่กำหนดไว้ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2561 สำหรับหลักเกณฑ์กลางดังกล่าว มีสาระสำคัญครอบคลุม 2 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1) ลักษณะขององค์การมหาชนที่จะถือว่าเป็นองค์การมหาชนด้านการวิจัย เช่น (1) กฎหมายจัดตั้งองค์การมหาชนกำหนดให้มีภารกิจ “ดำเนินการวิจัย” เป็นหลัก (2) มีงบประมาณเพื่อดำเนินการวิจัยเป็นหลัก รวมทั้งมีค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรวิจัยเป็นหลัก (3) จำนวนบุคลากรวิจัยมากกว่าบุคลากรสายงานอื่น 2) แนวทางการบริหารองค์การมหาชนด้านการวิจัย ได้แก่ (1) การกำหนดอัตราเงินเดือน และประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้อำนวยการองค์การมหาชนที่ยังคงหลักการตามนัยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2547 (2) แนวทางการจ่ายเงินเพิ่มพิเศษแก่ผู้อำนวยการองค์การมหาชน (3) ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรขององค์การมหาชนที่กำหนดว่าหากเกินกว่าร้อยละ 30 ของแผนการใช้จ่ายเงินก็ให้เสนอคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนพิจารณายกเว้นให้เป็นรายกรณี (4) การประเมินผลการปฏิบัติงาน และ (5) แนวทางการดำเนินการเพื่อเข้าร่วมเป็นองค์การมหาชนด้านการวิจัย ทั้งนี้ คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน ในการประชุมครั้งที่ 4/2561 เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2561 เห็นชอบด้วยแล้ว
10.เรื่อง ขออนุมัติดำเนินงานโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนา
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ดำเนินงานโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนาตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ และอนุมัติกรอบวงเงินตามความเห็นของสำนักงบประมาณ เพื่อดำเนินโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนา ภายในกรอบวงเงินทั้งสิ้น 286,678,000 บาท ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบแล้ว และมีข้อสั่งการ “ปลูกในพื้นที่ที่ถูกกฎหมาย” โดยกรอบวงเงินดังกล่าวมีรายละเอียด ดังนี้
1. ค่าบริหารจัดการโครงการ จำนวน 103,678,000 บาท เห็นควรให้กรมส่งเสริมการเกษตรดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 จากโครงการที่มีลำดับความสำคัญน้อยกว่าในโอกาสแรกก่อน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการประชุมสัมมนาเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ จัดเวทีชุมชนรับสมัครเกษตรกร จัดเวทีวางแผนการผลิตการตลาด อบรมเกษตรกร ติดตามประเมินผล และสรุปบทเรียน
2. ค่าชดเชยดอกเบี้ย อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี ระยะเวลา 6 เดือน วงเงินรวม 168,000,000 บาท ประกอบด้วย 1) ค่าชดเชยดอกเบี้ยสินเชื่อเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จำนวน 60,000,000 บาท และ 2) ค่าชดเชยดอกเบี้ยเพื่อเสริมสภาพคล่องแก่สถาบันเกษตรกรในการรวบรวมและรับซื้อผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเกษตรกร จำนวน 108,000,000 บาท เห็นควรให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
3. ค่าปรับปรุงและจัดทำแอพพลิเคชั่น จำนวน 15,000,000 บาท เห็นควรให้กรมส่งเสริมการเกษตรดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 จากโครงการขึ้นทะเบียนและปรับปรุงทะเบียนเกษตรกร ซึ่งได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว จำนวน 133,936,600 บาท
4. สำหรับค่าเบี้ยประกันภัยไร่ละ 65 บาท จำนวน 2,000,000 ไร่ เนื่องจากการประกันความเสี่ยงให้กับเกษตรกรเมื่อประสบภัยพิบัติ ขาดความชัดเจนของการประเมินความคุ้มค่าในการดำเนินโครงการประกันภัยในส่วนที่เกี่ยวข้องกับจำนวนเกษตรกรผู้เอาประกันภัย จำนวนของพื้นที่การเพาะปลูก ประเภทของภัยที่จะคุ้มครอง อัตราเบี้ยประกันภัย วงเงินความคุ้มครอง และความซ้ำซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น จึงเห็นสมควรเสนอให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการบริหารจัดการสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทั้งระบบพิจารณาเห็นชอบในหลักการก่อนและนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
ทั้งนี้ ภาระที่รัฐต้องชดเชยค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการดังกล่าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามนัยมาตรา 28 ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่เกษตรกรจะได้รับเป็นสำคัญ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำหรับโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนา มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับสมดุลของปริมาณการผลิตการตลาดข้าวและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อีกทั้งเกษตรกรมีรายได้และอาชีพที่มั่นคง ยั่งยืน จากกิจกรรมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในช่วงฤดูนาปรัง และเพื่อให้อุตสาหกรรมต่อเนื่องของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีเสถียรภาพในการผลิตสินค้า ลดการพึ่งพาจากภายนอกประเทศ โดยมีเป้าหมายและพื้นที่ดำเนินการ ในพื้นที่ปลูกข้าวในเขตชลประทาน และนอกเขตชลประทานที่มีความเหมาะสม ตาม Zoning by Agri – Map ของกรมพัฒนาที่ดิน รวมพื้นที่ 2 ล้านไร่ ใน 33 จังหวัด ดังนี้
ภาค |
จังหวัด |
ภาคเหนือ |
15 จังหวัด ได้แก่ กำแพงเพชร เชียงราย ลำพูน ลำปาง น่าน แพร่ ตาก นครสวรรค์ พะเยา พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ สุโขทัย อุตรดิตถ์ อุทัยธานี |
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ |
15 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา นครพนม สกลนคร กาฬสินธุ์ ขอนแก่น ชัยภูมิ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อุดรธานี อุบลราชธานี |
ภาคกลาง |
2 จังหวัด ได้แก่ ชัยนาท สระบุรี |
ภาคตะวันออก |
1 จังหวัด ได้แก่ ปราจีนบุรี |
คุณสมบัติเกษตรกร เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเป็นหัวหน้าครัวเรือนในทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตร ซึ่งมีความประสงค์ปรับเปลี่ยนการปลูกข้าวมาเป็นการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในนาช่วงฤดูแล้ง โดยพื้นที่ที่เข้าร่วมโครงการต้องอยู่ในเขตชลประทาน หรือพื้นที่นอกเขตชลประทานที่มีศักยภาพในการบริหารจัดการน้ำและอยู่ในพื้นที่ที่โครงการกำหนด ทั้งนี้ เกษตรกรต้องมีบัญชีเงินฝากกับ ธ.ก.ส. ยกเว้นเกษตรกรที่เป็นสมาชิกสถาบันเกษตรกร และมีความประสงค์ขอรับสินเชื่อจากสถาบันเกษตรกร
โดยมีมาตรการจูงใจให้กับเกษตรกร ด้วยการจัดหาปัจจัยการผลิตและการเตรียมดิน โดยจะให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการเป็นผู้ที่สามารถขอสินเชื่อจาก ธ.ก.ส. ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
ผู้ขอสินเชื่อ |
รายละเอียด |
การชำระเงินกู้ |
1. เกษตรกร
|
- กรณีเกษตรกรขอรับสินเชื่อจาก ธ.ก.ส. ผ่านบัตรเกษตรสุขใจหรือใบจัดหาปัจจัยการผลิตกับร้านจำหน่ายการผลิตที่ขึ้นทะเบียนตามโครงการ - ธ.ก.ส. คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี วงเงินไร่ละ 2,000 บาท (ไม่เกิน 15 ไร่ต่อราย) เป้าหมายพื้นที่ 2 ล้านไร่ แบ่งเป็น (1) เกษตรกร/สถาบันเกษตรกรถูกเรียกเก็บดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 ต่อปี (2) รัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้ ธ.ก.ส. แทนเกษตรกร/สถาบันเกษตรกร ร้อยละ 3.99 ต่อปี ระยะเวลา 6 เดือน |
- ชำระคืนไม่เกิน 6 เดือนนับแต่วันกู้ - กรณีมีเหตุจำเป็นไม่เกิน 12 เดือนนับแต่วันกู้ - กรณีไม่ชำระหนี้เงินกู้ได้ตามกำหนดชำระ ให้ ธ.ก.ส. สามารถคิดดอกเบี้ยเพิ่มกับเกษตรกรเป็นไปตามประกาศของธนาคาร |
2. สถาบันเกษตรกร |
- ชำระคืนไม่เกิน 6 เดือนนับแต่วันกู้ - กรณีสถาบันเกษตรกรไม่สามารถชำระคืนเงินกู้ได้ตามกำหนด ให้ ธ.ก.ส. สามารถคิดดอกเบี้ยเพิ่มกับสถาบันเกษตรกรเป็นไปตามประกาศของธนาคาร ทั้งนี้การพิจารณาสินเชื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ ธ.ก.ส. กำหนด |
ต่างประเทศ
11.เรื่อง ขออนุมัติการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทย และสำนักงานการประมง กระทรวงเกษตร ป่าไม้และการประมงแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยความร่วมมือด้านประมง
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทย และสำนักงานการประมง กระทรวงเกษตร ป่าไม้และการประมง แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยความร่วมมือด้านประมง
2. อนุมัติในหลักการว่า ก่อนที่จะมีการลงนาม หากมีความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขบันทึกความเข้าใจฯ ในประเด็นที่ไม่ใช่หลักการสำคัญ ให้ กษ. ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
3. อนุมัติให้อธิบดีกรมประมงเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ
รวมทั้ง ให้ กษ. รับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
1. กษ. เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราอาณาจักรไทย และสำนักงานการประมง กระทรวงเกษตร ป่าไม้และการประมงแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยความร่วมมือด้านประมง และอนุมัติให้อธิบดีกรมประมงเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว โดยบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างและสนับสนุนความร่วมมือทางด้านวิชาการและเศรษฐกิจ รวมถึงการดำเนินโครงการร่วม และการส่งเสริมการค้าในสาขาประมงด้านต่าง ๆ ระหว่างคู่ภาคี และมีขอบเขตความร่วมมือ เช่น การบริหารจัดการและการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำ การพัฒนาเทคโนโลยีด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและการประมง การส่งเสริมการลงทุนและการค้าสัตว์น้ำ และการขยายตลาดโดยคำนึงถึงประโยชน์ร่วมกันในบริบทของภูมิภาค เป็นต้น รวมทั้งระบุให้มีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมด้านประมง (Joint Fisheries Working Group - JFWG) เพื่อดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ โดยมีการจัดประชุมทุกปี
2. บันทึกความเข้าใจฯ ฉบับนี้ ไม่ได้กล่าวถึงการป้องกันการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุมโดยตรง เนื่องจากฝ่ายกัมพูชามีความประสงค์ที่จะทำบันทึกความเข้าใจด้านการประมง (ที่ครอบคลุมประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการประมงอย่างกว้าง ๆ) ซึ่งจะมีความสอดคล้องกับบทบาทหน้าที่ของสำนักงานการประมงของกัมพูชาซึ่งเป็นหน่วยงานระดับกรมมากกว่า แต่ได้มีการระบุขอบเขตความร่วมมือที่มีความเกี่ยวข้องกับการป้องกันการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม เช่น การบริหารจัดการและการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำ ไว้ในบันทึกความเข้าใจฯ ด้วยแล้ว
12.เรื่อง การรับรองการปรับปรุงรายการข้อสงวนของสหพันธรัฐมาเลเซีย ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการลงทุนอาเซียน (ASEAN Comprehensive Investment Agreement)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในจดหมายรับรองการปรับปรุงรายการข้อสงวนของสหพันธรัฐมาเลเซียภายใต้ความตกลงว่าด้วยการลงทุนอาเซียน (ASEAN Comprehensive Investment Agreement: ACIA) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในจดหมายรับรองการปรับปรุงรายการข้อสงวนของสหพันธรัฐมาเลเซียภายใต้ความตกลงว่าด้วยการลงทุนอาเซียนเพื่อให้กระบวนการการปรับปรุงรายการข้อสงวนของมาเลเซียเสร็จสมบูรณ์ โดยการปรับปรุงรายการข้อสงวนของสหพันธรัฐมาเลเซียดังกล่าว มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้รายการข้อสงวนมีความชัดเจนโปร่งใสมากยิ่งขึ้น โดยหลังจากการปรับปรุงรายการข้อสงวนของสหพันธรัฐมาเลเซียแล้วจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ลงทุนของประเทศสมาชิกอาเซียนที่จะไปลงทุนในมาเลเซีย และไม่มีผลกระทบในเชิงลบต่อเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกอื่น ซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของอาเซียนที่ประเทศสมาชิกควรต้องดำเนินการลดหรือยกเลิกอุปสรรคที่มีต่อการลงทุนอย่างเป็นลำดับหรือเปิดเสรีมากขึ้นด้วยข้อจำกัดที่น้อยลง ซึ่งการปรับปรุงรายการข้อสงวนของสหพันธรัฐมาเลเซีย มีรายละเอียด เช่น ทุกบริษัทที่จัดตั้งในมาเลเซียจะต้องมีผู้บริหารอย่างน้อย 2 ราย ที่มีถิ่นที่อยู่หลักหรือมีถิ่นที่อยู่เพียงแห่งเดียวในมาเลเซีย การกำหนดคำนิยามของเรือประมงและน่านน้ำประมงและการเปิดเสรีให้กิจการผลิตเหล็กเส้น เหล็กแท่ง และการผ่อนปรนให้กิจการผลิตน้ำตาลทรายให้อยู่ในรายการที่เปิดเสรีแต่มีเงื่อนไขเฉพาะ โดยการปรับปรุงรายการข้อสงวนดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนไทยที่มีความสนใจจะเข้าไปลงทุนในมาเลเซีย สามารถศึกษาได้จากรายการข้อสงวนนี้ และไม่มีผลกระทบเชิงลบต่อผู้ประกอบการไทยที่จะไปลงทุนในมาเลเซียเนื่องจากเป็นข้อสงวนที่มีอยู่เดิมแต่ขยายความให้ชัดเจนขึ้น รวมทั้งไม่มีผลกระทบต่อผู้ประกอบการในประเทศไทย เนื่องจากการปรับเปลี่ยนรายการข้อสงวนเป็นการปรับเปลี่ยนสำหรับการลงทุนในประเทศมาเลเซียเท่านั้น
13.เรื่อง ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 24 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ ดังนี้
1. ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 24 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT) (Draft Joint Statement of the Twenty-Forth Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle Ministerial Meeting) และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ให้ สศช. สามารถดำเนินการได้ โดยให้ สศช. นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบในภายหลังหากมีการปรับปรุงแก้ไขพร้อมด้วยเหตุผลประกอบ
2. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมร่วมกับรัฐมนตรีของประเทศสมาชิกให้การรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 24 แผนงาน IMT-GT โดยไม่มีการลงนามในการประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงาน IMT-GT ครั้งที่ 24 ในวันที่ 1 ตุลาคม 2561
สาระสำคัญของเรื่อง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 24 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT) ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการชื่นชมความก้าวหน้าในการดำเนินงานในรอบปี 2560-2561 และการขับเคลื่อนแผนดำเนินงานระยะห้าปี ปี 2560-2564 (IB2017-2021) เพื่อบรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ปี 2579 ของ IMT-GT ซึ่งได้รับรองในที่ประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 11 แผนงาน IMT-GT ตลอดจนเป็นการยืนยันเจตนารมณ์ในการพัฒนาความร่วมมือในด้านต่าง ๆ เช่น การขับเคลื่อนโครงการด้านการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน ความร่วมมือด้านการเกษตรเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารในอนุภูมิภาค การพัฒนายุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยว การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการฮาลาลและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ อันจะส่งผลให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์จากความร่วมมือดังกล่าวในด้านต่าง ๆ เช่น การดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนทั้งภายในและต่างประเทศ การสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว ตลอดจนการพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้ การประชุมดังกล่าวยังเป็นโอกาสที่ดีในการขับเคลื่อนแนวระเบียงเศรษฐกิจที่หกที่ประเทศไทยได้ริเริ่มไว้ เมื่อคราวการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 23 แผนงาน IMT-GT ซึ่งสอดคล้องกับการพัฒนาของพื้นที่เป้าหมายของรัฐบาล คือ การพัฒนาความเชื่อมโยงกับพื้นที่สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมจะต้องร่วมกับรัฐมนตรีของประเทศสมาชิกให้การรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ดังกล่าวในการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 24 แผนงาน IMT-GT ในวันที่ 1 ตุลาคม 2561
14.เรื่อง ร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 24 และร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนว่าด้วยการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพสำหรับการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพสมัยที่ 14
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการของร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 24 (Draft ASEAN Joint Statement on Climate Change to the 24th Session of the Conference of the Parties to the United Nations Framework Convention on Climate Change : COP 24) และร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนว่าด้วยการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ สำหรับการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ 14 (Draft ASEAN Joint Statement to the 14th Meeting of the Conference of the Parties to the Convention on Biological Diversity : CBD COP 14)
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) เป็นผู้ให้การรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนฯ ทั้งสองฉบับ
3.เห็นชอบให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนฯ ทั้งสองฉบับในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 33 (The 33rd ASEAN Summit) (ระหว่างวันที่ 11 – 15 พฤศจิกายน 2561 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์) และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไปแล้ว ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสามารถดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียสองฉบับ ได้แก่
1. ร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 24 ซึ่งเป็นเอกสารในการแสดงจุดยืนร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนในการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยคำนึงถึงขีดความสามารถของแต่ละภาคี เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การสนับสนุนกลไกทางการเงิน การให้ความช่วยเหลือทางด้านเทคโนโลยีเพื่อการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในประเด็นต่าง ๆ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
2. ร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนว่าด้วยการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพสำหรับการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ 14 ซึ่งเป็นเอกสารในการแสดงจุดยืนร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ โดยให้ความสำคัญกับการเร่งส่งเสริมกิจกรรมการบูรณาการความหลากหลายทางชีวภาพเข้าสู่แผนระดับชาติและภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสนับสนุนการแก้ไขปัญหาขยะทางทะเลที่ส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลและชายฝั่ง ตลอดจนจัดเตรียมทรัพยากรทางการเงินและวิชาการเพื่อสนับสนุนความพยายามของประเทศกำลังพัฒนาในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนในภูมิภาค
โดยอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้ให้การรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนฯ ทั้งสองฉบับข้างต้น (ซึ่งจะต้องให้การรับรองภายในเดือนกันยายน 2561) เพื่อเสนอต่อที่ประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 33 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้การรับรองต่อไป โดยมีนายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจะเป็นผู้ร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนฯ ทั้งสองฉบับในการประชุมดังกล่าว (ระหว่างวันที่ 11 – 15 พฤศจิกายน 2561 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์)
15.เรื่อง การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารรัฐคอซอวอว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารรัฐคอซอวอว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการ
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ
3. มอบหมายให้ กต. จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามในข้อ 2
4. อนุมัติในหลักการให้ กต. มีหนังสือแจ้งฝ่ายคอซอวอเพื่อให้ความตกลงฯ มีผลบังคับใช้ต่อไป
5. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างความตกลงฯ โดยไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้ กต. สามารถดำเนินการได้ โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
สาระสำคัญของเรื่อง กระทรวงการต่างประเทศได้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐคอซอวอว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการ ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบร่างความตกลงฯ ร่วมกันแล้ว และกำหนดที่จะลงนามในร่างความตกลงฯ ในช่วงที่คณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 73 ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 24 – 30 กันยายน 2561 โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการยกเว้นการตรวจลงตราแก่บุคคลที่ถือหนังสือเดินทางทูตหรือราชการของแต่ละฝ่ายในการเดินทางเข้า – ออก เดินทางผ่าน และพำนักอยู่ในดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่งโดยได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราเป็นระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน โดยมีเงื่อนไขว่าบุคคลเหล่านั้นต้องไม่ทำงานใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินกิจการตนเอง หรือกิจกรรมส่วนตัวอื่นใดในดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่ง แต่หากบุคคลดังกล่าวเป็นบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกในคณะผู้แทนทางการทูต สถานทำการทางกงสุล หรือตัวแทนประจำองค์การระหว่างประเทศ (รวมถึงสมาชิกในครอบครัวซึ่งถือหนังสือเดินทางทูตหรือราชการ) สามารถขยายระยะเวลาออกไปจนสิ้นสุดวาระการปฏิบัติหน้าที่ของบุคคลดังกล่าวนั้น นอกจากนี้ ความตกลงฯ จะมีผลใช้บังคับ 60 วันนับจากวันที่ได้รับแจ้งครั้งสุดท้ายว่าคู่ภาคีทั้งสองฝ่ายได้ดำเนินการตามกระบวนการภายในที่จำเป็นเพื่อให้ความตกลงมีผลใช้บังคับเสร็จสิ้นแล้ว เป็นต้น ทั้งนี้ร่างความตกลงดังกล่าวมีลักษณะเดียวกับร่างความตกลงที่ใช้จัดทำความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการกับประเทศอื่น ๆ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติเห็นชอบเรื่องในลักษณะเดียวกันนี้ไว้แล้ว
16.เรื่อง การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งจอร์เจียว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการหรือหนังสือเดินทางพิเศษ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1.เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งจอร์เจียว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการหรือหนังสือเดินทางพิเศษ* (*หนังสือเดินทางพิเศษ คือ หนังสือเดินทางประเภทหนึ่งที่รัฐบาลจอร์เจียออกให้แก่เจ้าหน้าที่ของ กต. จอร์เจียในสายงานสนับสนุน เช่น เจ้าพนักงานธุรการ ทั้งนี้ ในส่วนของประเทศไทยไม่มีหนังสือเดินทางประเภทนี้)
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ
3. มอบหมายให้ กต.จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามในข้อ 2
4. อนุมัติในหลักการให้ กต.มีหนังสือแจ้งฝ่ายจอร์เจีย เพื่อให้ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับต่อไป
5. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างความตกลงฯ โดยไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้ กต. สามารถดำเนินการได้ โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงการต่างประเทศได้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งจอร์เจียว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการหรือหนังสือเดินทางพิเศษ ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบร่างความตกลงฯ ร่วมกันแล้ว และมีกำหนดลงนามในระหว่างการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 73 ในวันที่ 24-30 กันยายน 2561 ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยร่างความตกลงดังกล่าวมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการยกเว้นการตรวจลงตราแก่ (1) บุคคลที่ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการหรือหนังสือเดินทางพิเศษที่มีอายุใช้ได้ของแต่ละฝ่ายในการเดินทางเข้า – ออก แวะผ่าน และพำนักอยู่ในดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่งได้เป็นระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน ภายในระยะเวลา 180 วันใด ๆ นับตั้งแต่วันที่เดินทางเข้า (ในช่วงระยะเวลา 180 วันจะเดินทางเข้า – ออกกี่ครั้งก็ได้ แต่รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 90 วัน) โดยมีเงื่อนไขว่าบุคคลเหล่านั้นจะต้องไม่ทำงานใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินกิจการของตนเองหรือกิจกรรมส่วนตัวอื่นใดในดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่ง และ (2) บุคคลที่ถือหนังสือเดินทางประเภทดังกล่าว ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกในคณะผู้แทนทางการทูตหรือในสถานทำการทางกงสุลหรือองค์การระหว่างประเทศที่มีที่ตั้งอยู่ในดินแดนของอีกฝ่ายรวมทั้งสมาชิกในครอบครัวซึ่งถือหนังสือเดินทางประเภทดังกล่าวสามารถเดินทางเข้า พำนักและออกจากดินแดนของอีกฝ่ายได้ไม่เกิน 90 วัน โดยร่างความตกลงฯ จะมีผลใช้บังคับในวันที่ 30 นับจากวันที่ทั้งสองฝ่ายได้แจ้งซึ่งกันและกันเป็นลายลักษณ์อักษรฉบับสุดท้ายผ่านช่องทางการทูตว่าได้ปฏิบัติตามขั้นตอนภายในที่จำเป็นแล้วโดยไม่มีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุด แต่อาจขอยกเลิกได้โดยแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งนี้ ร่างความตกลงดังกล่าวเป็นรูปแบบเดียวกับร่างความตกลงมาตรฐานที่ใช้จัดทำความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการกับประเทศอื่น ๆ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติเห็นชอบในเรื่องทำนองเดียวกันนี้ไว้แล้ว
17.เรื่อง การต่ออายุความตกลงประเทศเจ้าภาพระหว่างไทยกับสหประชาชาติในรูปแบบของหนังสือแลกเปลี่ยนสำหรับการฝึกอบรมหลักสูตรกฎหมายระหว่างประเทศระดับภูมิภาคของสหประชาชาติ (United Nations Regional Course in International Law) ประจำปี 2561
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติให้ต่ออายุความตกลงประเทศเจ้าภาพระหว่างไทยกับสหประชาชาติในรูปแบบของหนังสือแลกเปลี่ยนให้ใช้บังคับกับการฝึกอบรมหลักสูตรกฎหมายระหว่างประเทศระดับภูมิภาคของสหประชาชาติ (United Nations Regional Course in International Law) ประจำปี 2561 ระหว่างวันที่ 19 พฤศจิกายน – 14 ธันวาคม 2561 ที่กรุงเทพมหานคร
2. อนุมัติให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ของฝ่ายไทยสำหรับการฝึกอบรมฯ ประจำปี 2561 พร้อมทั้งอนุมัติให้ กต. จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม
ทั้งนี้ ในกรณีที่กระทรวงการต่างประเทศต้องแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ก็ให้ดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2558 (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศ
3. อนุมัติในหลักการให้ต่ออายุความตกลงประเทศเจ้าภาพได้ หากสหประชาชาติทาบทามให้ไทยร่วมเป็นเจ้าภาพในปีต่อ ๆ ไป โดย กต. จะเสนอความตกลงประเทศเจ้าภาพเพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบเมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ในเนื้อหาและถ้อยคำเรียบร้อยแล้ว
สาระสำคัญของเรื่อง
ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนสำหรับการฝึกอบรมดังกล่าว ประจำปี 2561 มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดรายละเอียดของการฝึกอบรม เช่น กลุ่มเป้าหมายได้แก่ผู้ที่มีภูมิหลังหรือประสบการณ์ด้านกฎหมายระหว่างประเทศจากภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิกจำนวนไม่เกิน 30 คน ซึ่งไทยสามารถส่งผู้แทนเข้าร่วมได้ 5 คน และการให้เอกสิทธิและความคุ้มกันแก่ผู้แทนจากประเทศต่าง ๆ ผู้บรรยายและพนักงานของสหประชาชาติที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะเป็นไปตามพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสหประชาชาติและทบวงการชำนัญพิเศษในประเทศไทย พ.ศ. 2504 ทั้งนี้ ความตกลงดังกล่าวจะมีผลใช้บังคับ ณ วันที่มีการลงนามหนังสือฉบับนี้
สำหรับการแบ่งส่วนความรับผิดชอบค่าใช้จ่าย โดยสหประชาชาติจะรับผิดชอบในการเตรียมหลักสูตรการฝึกอบรมฯ ส่วนรัฐบาลไทยจะรับผิดชอบค่าที่พัก อาหารเช้า และอาหารค่ำ การจัดรถรับ – ส่งผู้เข้าร่วมระหว่างโรงแรมที่พักกับสนามบิน และการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมให้แก่ผู้เข้าร่วม ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศจะใช้จัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 งบรายจ่ายอื่น โครงการสัมมนากฎหมายระหว่างประเทศระดับภูมิภาคของสหประชาชาติ ส่วนประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากการเป็นเจ้าภาพจัดการฝึกอบรมดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอ ได้แก่ การยกระดับภาพลักษณ์ของไทยให้เป็นศูนย์กลางด้านกฎหมายระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก ตลอดจนสะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมืออันดีระหว่างไทยกับสหประชาติ อันจะเชิดชูบทบาทของไทยในเวทีระหว่างประเทศ
18.เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมระดับสูงของสมัชชาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อสู้กับวัณโรค และร่างปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมระดับสูงของสมัชชาสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบต่อ (1) ร่างปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมระดับสูงของสมัชชาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อสู้กับวัณโรค และ (2) ร่างปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมระดับสูงของสมัชชาสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ (จะมีการรับรองร่างปฏิญญาฯ ทั้งสองฉบับระหว่างการประชุมระดับสูงของสมัชชาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อสู้กับวัณโรค และการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ ระหว่างวันที่ 26-27 กันยายน 2561)
สำหรับในกรณีที่มีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างปฏิญญาฯ ที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้สามารถดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
2. ให้ สธ. (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข) และกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ) ร่วมรับรองร่างปฏิญญาทั้งสองฉบับดังกล่าว
ร่างปฏิญญาฯ ทั้งสองฉบับดังกล่าวมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. ร่างปฏิญญาฯ ว่าด้วยการต่อสู้กับวัณโรค
1) ยืนยันคำมั่นในการยุติวัณโรคภายในปี พ.ศ. 2573 ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
2) มุ่งมั่นที่จะให้การวินิจฉัยและรักษาผู้ป่วยวัณโรค 40 ล้านคน ระหว่างปี พ.ศ. 2561 – 2565
3) มุ่งมั่นที่จะชนะวิกฤตของวัณโรคดื้อยาหลายขนานด้วยการป้องกัน วินิจฉัย การรักษา และการให้การดูแล รวมทั้งประสานงานและร่วมมือกันในการดำเนินโครงการเกี่ยวกับเอชไอวีและวัณโรค
4) มุ่งมั่นที่จะพัฒนาการให้บริการสาธารณสุขระดับชุมชนเพื่อแก้ปัญหาวัณโรค
5) มุ่งมั่นในการปรับปรุงนโยบายและระบบสาธารณสุข เพื่อให้บรรลุหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ยั่งยืน เพื่อให้ผู้ป่วยวัณโรคและผู้มีความเสี่ยงสามารถเข้าถึงการรักษาได้โดยไม่เกิดภาระทางการเงินที่มากเกินไป
6) มุ่งมั่นจัดสรรเงินทุนทั่วโลกให้เพียงพอต่อการรับมือกับวัณโรค โดยตั้งเป้าว่าจะลงทุนเงินทุนอย่างน้อย 13,000 ล้านบาทต่อปีภายในปี พ.ศ. 2565
7) มุ่งมั่นที่จะพัฒนาหรือเสริมสร้างความเข้มแข็งของแผนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยวัณโรค
8) เรียกร้องให้เลขาธิการสหประชาชาติ โดยการสนับสนุนขององค์การอนามัยโลกจัดทำรายงานความคืบหน้าในระดับโลกและระดับชาติในปี พ.ศ. 2563 เพื่อเตรียมการทบทวนอย่างครอบคลุมโดยผู้นำรัฐบาลในการประชุมระดับสูงในปี พ.ศ. 2566 ต่อไป
2. ร่างปฏิญญาฯ ว่าด้วยการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ
1) ยืนยันความมุ่งมั่นทางการเมืองในการเร่งดำเนินการตามปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมระดับสูงของสมัชชาสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ เมื่อปี พ.ศ. 2555 และเอกสารผลลัพธ์การประชุมระดับสูงของสมัชชาสหประชาชาติว่าด้วยการทบทวนและประเมินอย่างครอบคลุมเกี่ยวกับความคืบหน้าในการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อเมื่อปี พ.ศ. 2557
2) เพิ่มความมุ่งมั่นในการส่งเสริมให้เกิดความสอดคล้องทางนโยบาย โดยใช้ความร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วนและแนวทางทุกนโยบายห่วงใยสุขภาพโดยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามามีส่วนร่วม
3) จัดตั้งหรือเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่กลไกระดับชาติเพื่อดำเนินการตามแผนปฏิบัติระดับชาติด้านการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ
4) ส่งเสริมให้เกิดการแก้ปัญหาโรคไม่ติดต่ออย่างครอบคลุมเพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีผ่านการมีกิจกรรมทางกายอย่างสม่ำเสมอ
5) เสริมสร้างระบบสาธารณสุขเพื่อให้บรรลุหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยร่วมกันป้องกัน คัดกรอง และควบคุมโรคไม่ติดต่อ รวมถึงความผิดปกติทางจิต
6) ให้ความรู้ด้านสุขภาพแก่ประชาชนเกี่ยวกับโทษของการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์แบบอันตราย
7) เชิญชวนให้ภาคเอกชนเพิ่มความมุ่งมั่นในการช่วยป้องกัน ควบคุม และรักษาโรคไม่ติดต่อ
8) เรียกร้องให้เลขาธิการสหประชาชาตินำเสนอรายงานต่อที่ประชุมเกี่ยวกับความคืบหน้าในการดำเนินการตามปฏิญญานี้ภายในปี พ.ศ. 2567 เพื่อเป็นการเตรียมการสำหรับการประชุมระดับสูง เพื่อทบทวนการดำเนินการอย่างครอบคลุมด้านการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อในปี พ.ศ. 2568
19.เรื่อง การเป็นเจ้าภาพร่วมและการรับรองเอกสาร Global Call to Action on the World Drug Problem
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เสนอ ดังนี้
1. รับทราบการเป็นเจ้าภาพร่วมกิจกรรม Global Call to Action on the World Drug Problem
2. เห็นชอบร่างเอกสาร Global Call to Action on the World Drug Problem โดยหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนการลงนาม อนุมัติให้กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) และ / หรือกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) สามารถดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
3. มอบหมายให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทย (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ) ที่เข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ ครั้งที่ 73 หรือผู้แทนเป็นผู้รับรองเอกสาร Global Call to Action on the World Drug Problem ในนามผู้แทนรัฐบาลไทย
สาระสำคัญของเรื่อง
1. กระทรวงยุติธรรมได้เสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบการเป็นเจ้าภาพร่วมกิจกรรม Global Call to Action on the World Drug Problem และพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างเอกสาร Global Call to Action on the World Drug Problem รวมทั้งมอบหมายให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทย (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ) ที่เข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ ครั้งที่ 73 หรือผู้แทนเป็นผู้รับรองเอกสาร Global Call to Action on the World Drug Problem ในนามผู้แทนรัฐบาลไทย โดยมีกำหนดการประชุมดังกล่าวระหว่างวันที่ 18-30 กันยายน 2561 ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งร่างเอกสารฯ เป็นการแสดงความมุ่งมั่นทางการเมืองระหว่างประเทศร่วมกับกลุ่มประเทศที่มีความคิดเห็นในทิศทางเดียวกัน เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือและดำเนินการเพื่อจัดการกับปัญหายาเสพติด โดยการเป็นเจ้าภาพร่วมกิจกรรมและการรับรองเอกสารข้างต้นจะช่วยส่งเสริมบทบาทของประเทศไทยในกรอบพหุภาคีในฐานะประเทศที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจจริงในการแก้ไขปัญหายาเสพติด และช่วยส่งเสริมสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกาอีกด้วย
20.เรื่อง การบริจาคเงินสมทบทุนสำหรับพันธมิตรหลากอารยธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Alliance of Civilizations – UNAOC)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอดังนี้
1. อนุมัติการเบิกจ่ายเงินสมทบทุนสำหรับพันธมิตรหลากอารยธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Alliance of Civilizations – UNAOC) โดยสมัครใจเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานและกิจกรรมของ UNAOC ประจำปี 2561 จำนวน 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็นเงินบาทประมาณ 325,990 บาท) จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2561 งบเงินอุดหนุน ซึ่ง กต. ได้รับอนุมัติจัดสรรแล้ว
2. อนุมัติการบริจาคเงินสมทบทุนกองทุนฯ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานและกิจกรรมของ UNAOC ประจำปี 2562-2565 รวม 4 ปี ๆ ละจำนวน 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็นเงินบาทประมาณ 1,303,960 บาท) จากงบเงินอุดหนุน ซึ่ง กต. จะขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป โดยไม่ต้องเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงจำนวนหรือคำนวณอัตราการบริจาคใหม่
(หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ณ วันที่ 18 กันยายน 2561 คือ 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 32.599 บาท)
สาระสำคัญของเรื่อง
กต. แจ้งว่า กองทุนสำหรับพันธมิตรหลากอารยธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Alliance of Civilizations – UNAOC) จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นเวทีเสริมสร้างสันติภาพ ผ่านการส่งเสริมการเสวนาระหว่างวัฒนธรรม ศาสนา และความเชื่อที่แตกต่างกัน ลดความขัดแย้งระหว่างโลกมุสลิมกับโลกตะวันตก และป้องกันแนวคิดความรุนแรงสุดโต่งในกลุ่มเยาวชน ซึ่งประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกเมื่อปี 2548 และที่ผ่านมาประเทศไทยได้บริจาคเงินสมทบกองทุนฯ เพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของ UNAOC มาโดยตลอด จำนวน 9 ครั้ง เป็นการบริจาคครั้งละ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยล่าสุดคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (21 พฤษภาคม 2556) อนุมัติให้เบิกจ่ายเงินสมทบกองทุนฯ ในระหว่างปี 2556-2560 และเพื่อเป็นการสนับสนุนการดำเนินงานและกิจกรรมของ UNAOC อย่างต่อเนื่อง กต. จึงเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติการเบิกจ่ายเงินสมทบกองทุนฯ จำนวน 10,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ในปี 2561 จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2561 งบเงินอุดหนุน ที่ได้รับการจัดสรรไว้แล้ว และอนุมัติการบริจาคเงินสมทบกองทุนฯ จำนวน 10,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ในปี 2562-2565 โดยกระทรวงการต่างประเทศจะจัดทำคำขอการรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย เช่น 1) เป็นการแสดงท่าทีของประเทศไทยที่ให้ความสำคัญต่อเรื่องเสรีภาพในการนับถือศาสนา การเสวนาระหว่างศาสนา ความเชื่อ วัฒนธรรม และหลักขันติธรรม 2) เกื้อหนุนต่อการสมัครรับเลือกตั้งของไทยในตำแหน่งสมาชิกคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ วาระปี ค.ศ. 2020-2022 กต. จะแจ้งการร่วมบริจาคเงินสมทบดังกล่าวในที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาติ สมัยที่ 73 ในช่วงการประชุม UNAOC Group of Friends Annual Ministerial Meeting ในวันที่ 29 กันยายน 2561 ต่อไปด้วย
แต่งตั้ง
21.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตีเสนอรับโอน พลตำรวจเอก ธรรมศักดิ์ วิชชารยะ ข้าราชการตำรวจ ตำแหน่ง ที่ปรึกษา (สบ 10) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และแต่งตั้งให้เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแน่งที่ว่าง โดย พลตำรวจเอก ธรรมศักดิ์ฯ แสดงความประสงค์และสมัครใจในการไปรับราชการที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และผู้มีอำนาจสั่งบรรจุทั้งสองฝ่ายได้ตกลงยินยอมในการโอนข้าราชการดังกล่าว
22.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. นายเอนก มีมงคล ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง
2. นายวิโรจน์ นรารักษ์ ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง และทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ ตามลำดับ
23.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศ จำนวน 3 ราย ดังนี้
1. นายศรัณย์ เจริญสุวรรณ อธิบดีกรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส
2. นายรัศม์ ชาลีจันทร์ เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมาปูโต สาธารณรัฐโมซัมบิก ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอัสตานา สาธารณรัฐคาซัคสถาน
3. นายทศพร มูลศาสตรสาทร เอกอัครราชทูตประจำกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมาปูโต สาธารณรัฐโมซัมบิก
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ซึ่งการแต่งตั้งข้าราชการให้ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับ
24.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอแต่งตั้ง นางสาวอัจฉรา วงศ์แสงจันทร์ เลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ให้ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
25.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง กระทรวงมหาดไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 24 ราย ดังนี้
1. นายกมล เชียงวงค์ รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดสมุทรปราการ สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นางกานต์เปรมปรีด์ ชิตานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดจันทบุรี สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นายนิพันธ์ บุญหลวง รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดแพร่ สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
4. นายปิยะ วงศ์ลือชา รองอธิบดี (นักบริหาร ระดับต้น) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
5. ว่าที่ ร.ต.พิเชียน ลิมป์หวังอยู่ รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
6. นายมนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัฒน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดปทุมธานี สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
7. นายรังสรรค์ ตันเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดสมุทรสงคราม สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
8. นายสมชาย บำรุงทรัพย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดเพชรบุรี สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
9. นายสมบูรณ์ ศิริเวช รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดเชียงราย สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
10. นายสุวพงศ์ กิติภัทย์พิบูลย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดตาก สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
11. นายเชาวลิตร แสงอุทัย รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดชลบุรี สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
12. นายลือชัย เจริญทรัพย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดปัตตานี สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดตรัง สำนักงานปลัดกระทรวง
13. นายเอกรัฐ หลีเส็น รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดนราธิวาส สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดนราธิวาส สำนักงานปลัดกระทรวง
14. นายวรกิตติ ศรีทิพากร รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดน่าน สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดน่าน สำนักงานปลัดกระทรวง
15. นายธีรวัฒน์ วุฒิคุณ รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดอุตรดิตถ์ สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดบุรีรัมย์ สำนักงานปลัดกระทรวง
16. นายวรพันธุ์ สุวัณณุสส์ รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดนครนายก สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดพิจิตร สำนักงานปลัดกระทรวง
17. นายกอบชัย บุญอรณะ รองอธิบดี (นักบริหาร ระดับต้น) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดเพชรบุรี สำนักงานปลัดกระทรวง
18. นายชยันต์ ศิริมาศ รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดร้อยเอ็ด สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดมุกดาหาร สำนักงานปลัดกระทรวง
19. นายจารุวัฒน์ เกลี้ยงเกลา รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดสตูล สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดสตูล สำนักงานปลัดกระทรวง
20. นายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ รองอธิบดี (นักบริหาร ระดับต้น) กรมการปกครอง ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดสิงห์บุรี สำนักงานปลัดกระทรวง
21. นายไมตรี ไตรติลานันท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดอุทัยธานี สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดสุโขทัย สำนักงานปลัดกระทรวง
22. นายชัยธวัช เนียมศิริ รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดขอนแก่น สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดหนองบัวลำภู สำนักงานปลัดกระทรวง
23. นายเรวัต ประสงค์ รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดอ่างทอง สำนักงานปลัดกระทรวง
24. นายณรงค์ รักร้อย รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดกาญจนบุรี สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดอุทัยธานี สำนักงานปลัดกระทรวง
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
26.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (ตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้ง นายปรีชา สุนทรานันท์ เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ [รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายอุดม คชินทร)] ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไป
27.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอการแต่งตั้ง นายสุรศักดิ์ เรียงเครือ ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี (ผู้ตรวจราชการกระทรวง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อทดแทนตำแหน่งที่จะว่างลง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
28.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพลังงาน)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง เพื่อทดแทนตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการและสับเปลี่ยนหมุนเวียน จำนวน 5 ตำแหน่ง ได้แก่
1. ย้ายนางสาวนันธิกา ทังสุพานิช รองปลัดกระทรวง (นักบริหาร ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพลังงาน เพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน
2. ย้ายนางเปรมฤทัย วินัยแพทย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพลังงาน เพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน
3. ย้ายนายยงยุทธ จันทรโรทัย รองปลัดกระทรวง (นักบริหาร ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพลังงาน เพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน
4. ย้ายนายประพนธ์ วงษ์ท่าเรือ อธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน เพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพลังงาน
5. ย้ายนายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงาน (นักบริหาร ระดับสูง) สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน เพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพลังงาน
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
29.เรื่อง ขอความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแต่งตั้ง นายสุชาติ ชลศักดิ์พิพัฒน์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ รวมทั้งค่าตอบแทนพิเศษประจำปี และสิทธิประโยชน์อื่นที่ผู้รับจ้างจะได้รับ ตามที่กระทรวงการคลังเห็นชอบแล้ว
30.เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพิจารณามาตรการปกป้อง
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพิจารณามาตรการปกป้อง แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิชุดเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี จำนวน 7 คน ดังนี้
1. นางอรทัย ศิลปนภาพร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเกษตร
2. นายอาทิตย์ วุฒิคะโร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการอุตสาหกรรม
3. นางอุบล มลิลา ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารธุรกิจ
4. นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการค้าระหว่างประเทศ
5. นายสิงห์ชัย อรุณวุฒิพงศ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบัญชีและการเงิน การคลัง
6. นายชยงการ ภมรมาศ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ
7. นางสาวนุชนาถ เกษมพิบูลย์ไชย ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2561 เป็นต้นไป และให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพิจารณามาตรการปกป้องในครั้งต่อไปให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 เรื่อง การดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย
31.เรื่อง ให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่ออีกหนึ่งวาระ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.) เสนอให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ซึ่งจะครบวาระการดำรงตำแหน่งหนึ่งปี ในวันที่ 7 ตุลาคม 2561 คงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่ออีกหนึ่งวาระตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2561 จำนวน 5 ราย ดังนี้
1. นายไพศาล พืชมงคล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อยู่ในบังคับบัญชารองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ)
2. ศาสตราจารย์ไชยา ยิ้มวิไล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อยู่ในบังคับบัญชารองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม)
3. พลเอก รุ่งโรจน์ จำรัสโรมรัน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงกลาโหม อยู่ในบังคับบัญชารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
4. พลตำรวจโท ณัฐพิชย์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงมหาดไทย อยู่ในบังคับบัญชารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
5. นางฉวีรัตน์ เกษตรสุนทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม อยู่ในบังคับบัญชารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม
32.เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน จำนวน 6 คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่จะครบวาระการดำรงตำแหน่งสี่ปี ในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2561 ดังนี้
1. นายธวัชชัย โสภาเสถียรพงศ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการค้าระหว่างประเทศ
2. นายประสัณห์ เชื้อพานิช ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบัญชี
3. นายคนิต ลิขิตวิทยาวุฒิ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเกษตร
4. นายศักดา ธนิตกุล ผู้ทรงคุณวุฒิด้านนิติศาสตร์
5. นายเสน่ห์ นิยมไทย ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการอุตสาหกรรม
6. นางวริชนันท์ ต่อวงศ์ไพชยนต์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 18 พฤศจิกายน 2561 เป็นต้นไป
33.เรื่อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 232/2561 เรื่อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค
ตามที่ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 325/2560 เรื่อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ ลงวันที่ 4 ธันวาคม 2560 และคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 334/2560 เรื่อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ลงวันที่ 8 ธันวาคม 2560 ไปแล้ว นั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 มาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และมาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2550 ประกอบกับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค พ.ศ. 2547 ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. 2560 ประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ เรื่อง การจัดตั้งกลุ่มจังหวัดและกำหนดจังหวัดที่เป็นศูนย์ปฏิบัติการของกลุ่มจังหวัด (ฉบับที่ 3) ลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2560 และคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 221/2561 เรื่อง กำหนดพื้นที่การตรวจราชการของผู้ตรวจราชการ ลงวันที่ 10 กันยายน 2561 นายกรัฐมนตรีจึงมีคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 325/2560 ลงวันที่ 4 ธันวาคม 2560 และคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 334/2560 ลงวันที่ 8 ธันวาคม 2560 และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ดังต่อไปนี้
1.พื้นที่
1.1 รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการภาคกลาง ดังนี้
1) เขตตรวจราชการที่ 1 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ประกอบด้วย จังหวัดชัยนาท จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดลพบุรี จังหวัดสระบุรี จังหวัดสิงห์บุรี และจังหวัดอ่างทอง
2) เขตตรวจราชการที่ 2 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัด ภาคกลางปริมณฑล ประกอบด้วย จังหวัดนนทบุรี จังหวัดปทุมธานี จังหวัดนครปฐม และจังหวัดสมุทรปราการ
3) เขตตรวจราชการที่ 3 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัด ภาคกลางตอนล่าง 1 ประกอบด้วย จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดราชบุรี และจังหวัดสุพรรณบุรี
4) เขตตรวจราชการที่ 4 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัด ภาคกลางตอนล่าง 2 ประกอบด้วย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดสมุทรสงคราม และจังหวัดสมุทรสาคร
1.2 รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดังนี้
1) เขตตรวจราชการที่ 10 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 ประกอบด้วย จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดเลย จังหวัดหนองคาย จังหวัดหนองบัวลำภู และจังหวัดอุดรธานี
2) เขตตรวจราชการที่ 11 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 ประกอบด้วย จังหวัดนครพนม จังหวัดมุกดาหาร และจังหวัดสกลนคร
3) เขตตรวจราชการที่ 12 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง ประกอบด้วย จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดขอนแก่น จังหวัดมหาสารคาม และจังหวัดร้อยเอ็ด
4) เขตตรวจราชการที่ 13 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 ประกอบด้วย จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดสุรินทร์
5) เขตตรวจราชการที่ 14 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 ประกอบด้วย จังหวัดยโสธร จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดอำนาจเจริญ และจังหวัดอุบลราชธานี
1.3 รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการภาคตะวันออก ดังนี้
1) เขตตรวจราชการที่ 8 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 1 ประกอบด้วย จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดชลบุรี และจังหวัดระยอง
2) เขตตรวจราชการที่ 9 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 2 ประกอบด้วย จังหวัดจันทบุรี จังหวัดตราด จังหวัดนครนายก จังหวัดปราจีนบุรี และจังหวัดสระแก้ว
1.4 รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการภาคเหนือ ดังนี้
1) เขตตรวจราชการที่ 15 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 ประกอบด้วย จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดลำปาง และจังหวัดลำพูน
2) เขตตรวจราชการที่ 16 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ประกอบด้วย จังหวัดเชียงราย จังหวัดน่าน จังหวัดพะเยา และจังหวัดแพร่
3) เขตตรวจราชการที่ 17 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 ประกอบด้วย จังหวัดตาก จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดสุโขทัย และจังหวัดอุตรดิตถ์
4) เขตตรวจราชการที่ 18 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 2 ประกอบด้วย จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดพิจิตร และจังหวัดอุทัยธานี
1.5 รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการภาคใต้และภาคใต้ชายแดน ดังนี้
1) เขตตรวจราชการที่ 5 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย ประกอบด้วย จังหวัดชุมพร จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดพัทลุง จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดสงขลา
2) เขตตรวจราชการที่ 6 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคใต้ ฝั่งอันดามัน ประกอบด้วย จังหวัดกระบี่ จังหวัดตรัง จังหวัดพังงา จังหวัดภูเก็ต จังหวัดระนอง และจังหวัดสตูล
3) เขตตรวจราชการที่ 7 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคใต้ชายแดน ประกอบด้วย จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา
1.6 รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) ช่วยปฏิบัติงานในการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการของรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) เขตตรวจราชการที่ 7 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคใต้ชายแดน ประกอบด้วย จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา
1.7 รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล) ช่วยปฏิบัติงานในการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการของรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ดังนี้
1) เขตตรวจราชการที่ 13 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 ประกอบด้วย จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดสุรินทร์
2) เขตตรวจราชการที่ 14 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 ประกอบด้วย จังหวัดยโสธร จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดอำนาจเจริญ และจังหวัดอุบลราชธานี
2.การกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคตามคำสั่งนี้ หมายถึง การตรวจราชการ การขอให้เจ้าหน้าที่ของรัฐรายงานเหตุการณ์และผลการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาล และนายกรัฐมนตรี ยุทธศาสตร์ชาติ ยุทธศาสตร์กลุ่มจังหวัด และยุทธศาสตร์จังหวัด การประสานราชการเพื่อให้เกิดการบูรณาการยุทธศาสตร์กลุ่มจังหวัด และยุทธศาสตร์จังหวัด ไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมการเร่งรัด การติดตามผล การให้คำแนะนำช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ของรัฐในพื้นที่ และการประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมถึงการตรวจสอบความถูกต้องในการดำเนินโครงการและการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐ โดยให้คณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดมีส่วนร่วมในการตรวจสอบด้วย
3.ให้รองนายกรัฐมนตรีรายงานปัญหาอุปสรรค แนวทางการแก้ไข ตลอดจนข้อเสนอแนะต่าง ๆ อันเนื่องจากการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในเขตตรวจราชการหรือพื้นที่ในความรับผิดชอบต่อนายกรัฐมนตรี
4.ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจัดให้ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีประจำเขตตรวจราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นฝ่ายเลขานุการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในกรณีที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีติดภารกิจจำเป็นเร่งด่วน สามารถมอบหมายให้ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีประจำเขตตรวจราชการปฏิบัติหน้าที่แทนแล้วรายงานผลการปฏิบัติงานให้ทราบต่อไป
5.ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ตรวจราชการกระทรวง และหัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดที่เกี่ยวข้องเสนอข้อมูล อำนวยความสะดวก และให้ความร่วมมือในการปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งนี้ด้วย
6.ให้เบิกค่าใช้จ่ายในการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคของรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีจากงบประมาณของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี หมวดเงินอุดหนุนทั่วไป โครงการเพิ่มขีดสมรรถนะในการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคของรองนายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี