10 ต.ค.61 เมื่อเวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พันเอกหญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมแถลงผลการประชุม ครม.ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองกรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
3. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. กำหนดให้ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 180 วันนับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
2. กำหนดให้เพิ่มบทนิยามศัพท์คำว่า “เจ้าพนักงานท้องภิ่น” เพื่อให้มีหน้าที่และอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันการทารุณกรรมและจัดสวัสดิภาพสัตว์
3. กำหนดให้ราชการส่วนท้องถิ่นออกข้อบัญญัติท้องถิ่นเกี่ยวกับการควบคุมทางทะเบียน และให้เจ้าของสัตว์มาแจ้งเพื่อขอขึ้นทะเบียนสัตว์ ทั้งนี้ ไม่รวมถึงกรณีของหน่วยงานของรัฐหรือสถานสงเคราะห์สัตว์โดยกำหนดให้รายได้จากค่าธรรมเนียมและค่าปรับเป็นของราชการส่วนท้องถิ่น
4. กำหนดโทษสำหรับความผิดของเจ้าของสัตว์ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อบัญญัติท้องถิ่น
5. กำหนดให้เพิ่มอำนาจเปรียบเทียบให้กับเจ้าพนักงานท้องถิ่น และอัตราค่าธรรมเนียม ท้ายพระราชบัญญัติ
2.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็น และข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
ร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนด ให้มีกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายสุขภาพแห่งชาติ โดยกำหนดให้คณะกรรมการนโยบายสุขภาพแห่งชาติเป็นคณะกรรมการระดับชาติ ทำหน้าที่กำหนดนโยบายสุขภาพแห่งชาติเพื่อกำหนดทิศทางและนโยบายหลักด้านสุขภาพของประเทศและประชาชน ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน มีเอกภาพและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ รวมทั้งกำกับดูแล หน่วยงานด้านสุขภาพต่าง ๆ ที่มีการดำเนินการในระบบสุขภาพ ตลอดจนทำหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาระบบสุขภาพในระดับประเทศ ทั้งนี้ เพื่อสร้างเอกภาพในทางนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการจัดทำบริการสาธารณสุขและลดความเหลื่อมล้ำของประชาชนในการเข้าถึงระบบสุขภาพที่ดี อันสอดคล้องกับมาตรา 55 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่บัญญัติให้รัฐดำเนินการให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง และยุทธศาสตร์การสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในสังคมตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ซึ่งมุ่งเน้นกระจายการให้บริการภาครัฐ ทั้งด้านการศึกษา สาธารณสุข และสวัสดิการ ที่มีคุณภาพให้ครอบคลุมและทั่วถึง ตลอดจนเป็นไปตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านการสาธารณสุขซึ่งกำหนดให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายสุขภาพแห่งชาติเพื่อให้มีการอภิบาลระบบบริการสุขภาพ เพื่อให้ระบบสุขภาพ ของประเทศมีเอกภาพการดำเนินงานด้านสุขภาพของทุกภาคส่วนเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
3.เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและห้องชุดเพื่อใช้อยู่อาศัย สำหรับโครงการประชารัฐสวัสดิการของกรมบังคับคดี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
กำหนดให้ยกเว้นอากรแสตมป์ให้แก่ผู้ออกใบรับสำหรับการโอนอสังหาริมทรัพย์ฯ กรณีการซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและห้องชุดเพื่อใช้อยู่อาศัย สำหรับโครงการประชารัฐสวัสดิการของกรมบังคับคดี เฉพาะการโอนให้แก่ผู้ซื้อทอดตลาดที่ได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 เป็นต้นไป
4.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติการกำกับดูแลผู้ให้บริการทางการเงิน พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการกำกับดูแลผู้ให้บริการทางการเงินพ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานอัยการสูงสุดสำนักงาน คปภ. และสำนักงาน ก.ล.ต.ไปประกอบการพิจารณาด้วย และให้ปรับแก้ไขร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรี (11 เมษายน 2560 และ 6 มิถุนายน 2560) เกี่ยวกับการอ้างบทจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามมาตรา 26 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. กำหนดคำนิยาม “ผู้ให้บริการทางการเงิน”หมายความว่า ผู้ให้บริการทางการเงินประเภทให้สินเชื่อ ผู้ให้บริการทางการเงินที่มีลักษณะคล้ายการให้สินเชื่อและผู้ประกอบธุรกิจประเภทอื่นตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา ทั้งนี้ ไม่รวมถึงสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน ธนาคารหรือสถาบันการเงินที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้นบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของสถาบันการเงินและผู้ให้บริการทางการเงินที่ให้บริการทางการเงินแก่บริษัทในเครือเดียวกันกับผู้ให้บริการทางการเงินเป็นการเฉพาะ
2. กำหนดให้มี “คณะกรรมการกำกับดูแลผู้ให้บริการทางการเงิน” ซึ่งมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการ โดยมีอำนาจหน้าที่กำหนดนโยบายการกำกับและส่งเสริม ตลอดจนกำกับดูแลประกอบกิจการทางการเงิน
3. กำหนดให้จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับดูแลผู้ให้บริการทางการเงินขึ้นเป็นหน่วยงานของ
รัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ โดยมีฐานะเป็นนิติบุคคล มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับ ส่งเสริม และพัฒนาการประกอบกิจการของผู้ให้บริการทางการเงินตามนโยบาย มติ หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และแนวปฏิบัติที่คณะกรรมการกำกับดูแลผู้ให้บริการทางการเงินกำหนด ทั้งนี้ ให้สำนักงานมีสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพมหานครหรือจังหวัดใกล้เคียงและจะตั้งสาขาหรือตัวแทนขึ้น ณ ที่อื่นใดก็ได้
4. กำหนดให้กิจการของสำนักงานฯ ไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน กฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์กฎหมายว่าด้วยประกันสังคม และกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน แต่พนักงานและลูกจ้างของสำนักงานต้องได้รับประโยชน์ตอบแทนไม่น้อยกว่าที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน กฎหมายว่าด้วยประกันสังคม และกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน
5. กำหนดให้ทุนและทรัพย์สินในการดำเนินงานของสำนักงานฯ ประกอบด้วย เงินประเดิมจากรัฐบาล เงินอุดหนุนจากรัฐบาล ค่าธรรมเนียมหรือค่าตอบแทนที่เรียกเก็บตามพระราชบัญญัตินี้ เงินและทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้ และดอกผลของเงินหรือรายได้จากทรัพย์สินของสำนักงาน ทั้งนี้ บรรดารายได้ทั้งปวงที่สำนักงานฯ ได้รับจากการดำเนินงานในปีหนึ่ง ๆ ให้ตกเป็นของสำนักงานเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินงาน โดยไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน
6. กำหนดให้ผู้ให้บริการทางการเงินประเภทให้สินเชื่อจะกระทำได้เฉพาะนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัดหรือนิติบุคคลอื่นตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนดโดยได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการฯ
7. กำหนดให้ผู้ให้บริการทางการเงินประเภทที่มีลักษณะคล้ายการให้สินเชื่อต้องขึ้นทะเบียนเป็นผู้ให้บริการทางการเงินประเภทที่มีลักษณะคล้ายการให้สินเชื่อกับสำนักงานฯ ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้มีการประกอบธุรกิจ
8. กำหนดให้รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการฯ มีอำนาจพิจารณาสั่งเพิกถอนใบอนุญาตของผู้ให้บริการทางการเงินประเภทให้สินเชื่อ หากปรากฏว่าผู้ให้บริการทางการเงินประเภทให้สินเชื่อรายนั้นไม่ประกอบธุรกิจหรือหยุดประกอบธุรกิจตามหลักเกณฑ์ที่ประกาศกำหนด กรรมการ ผู้จัดการ หรือพนักงานผู้มีอำนาจในการจัดการของผู้ให้บริการทางการเงินมีลักษณะต้องห้ามตามพระราชบัญญัตินี้ หรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ประกาศกำหนดหรือตามพระราชบัญญัตินี้หรือกระทำความผิดซ้ำอีกจนเป็นเหตุให้เชื่อได้ว่าอาจส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อผู้ใช้บริการโดยรวม หรือต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ
9. กำหนดให้มีคณะกรรมการพิจารณาโทษปรับทางปกครองจำนวนสามคนประกอบด้วยผู้แทนกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการผู้แทนสำนักงานและผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุดเป็นกรรมการมีอำนาจในการพิจารณาลงโทษปรับทางปกครอง
10. กำหนดโทษปรับทางปกครองสำหรับผู้ประกอบธุรกิจโดยมิได้ขึ้นทะเบียนต้องระวางโทษปรับ ไม่เกิน 100,000 บาท และผู้ใดที่ไม่ปฏิบัติตามที่หลักเกณฑ์ วิธีการ หรือเงื่อนไขที่คณะกรรมการฯ ประกาศกำหนด ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 300,000 บาท
11. กำหนดโทษทางอาญาสำหรับผู้ประกอบธุรกิจโดยมิได้รับอนุญาตและผู้ขัดขวางหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งหรือไม่อำนวยความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
12. กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์และผู้ประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อให้เช่าแบบลีสซิ่ง และแฟคตอริ่ง ในวันที่พระราชบัญญัติมีผลบังคับใช้หากประสงค์จะประกอบธุรกิจต่อไปให้ยื่นคำขออนุญาตหรือขึ้นทะเบียนแล้วแต่กรณีต่อสำนักงานฯ ภายใน 120 วัน และในวาระเริ่มแรกให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ไปพลางก่อน
5.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบดังนี้
1. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ ของกระทรวงการคลัง ที่สำนักงานคณะกรรมการกฎษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้เสนอคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. ร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
1.1 กำหนดบทบัญญัติเพื่อรองรับการใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ในธุรกิจประกันชีวิต
1.2 แก้ไขบทบัญญัติว่าด้วยผู้ขอรับใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันชีวิต กรณีบุคคลล้มละลายทุจริตเป็นลักษณะต้องห้าม และกำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยมีอำนาจประกาศกำหนดหลักสูตร วิธีการ และเงื่อนไขในการสอบความรู้เกี่ยวกับการประกันชีวิต
1.3 กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของนายหน้าประกันชีวิตให้มีความเหมาะสมและชัดเจนยิ่งขึ้น กำหนดหน้าที่และความรับผิดของนายหน้าประกันชีวิตและกำหนดให้นายหน้าประกันชีวิตทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาที่มีการชี้ช่องหรือจัดการให้บุคคลทำสัญญาประกันชีวิตกับบริษัทต้องได้รับใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันชีวิต
1.4 กำหนดอำนาจของนายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบการปฏิบัติของตัวแทนประกันชีวิตหรือนายหน้าประกันชีวิต
1.5 กำหนดเหตุและขั้นตอนในการดำเนินการการพักใช้ใบอนุญาตตัวแทนประกันชีวิตและนายหน้าประกันชีวิต
1.6 กำหนดระยะเวลาในการอุทธรณ์คำสั่งและระยะเวลาที่คณะกรรมการต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จ
1.7 กำหนดบทกำหนดโทษสำหรับการกระทำความผิดต่าง ๆ เพิ่มเติม
1.8 กำหนดบทเฉพาะกาล ดังนี้
1.8.1 กำหนดบทเฉพาะกาลกรณีตัวแทนประกันชีวิตหรือนายหน้าประกันชีวิต ที่ออกใบอนุญาตให้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ยังคงใช้ได้
1.8.2 เร่งรัดหน่วยงานในการออกกฎหมายลำดับรอง
1.8.3 กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
2. ร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
2.1 กำหนดบทบัญญัติเพื่อรองรับการใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ในธุรกิจประกันวินาศภัย
2.2 กำหนดให้การขอรับใบอนุญาตเป็นผู้ประเมินวินาศภัยต้องเป็นนิติบุคคลเท่านั้น กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ประเมินวินาศภัย กำหนดอายุใบอนุญาต การพักใช้และการเพิกถอนใบอนุญาตเป็นผู้ประเมินวินาศภัย รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติในการอุทธรณ์คำสั่ง เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการของร่างพระราชบัญญัติ
2.3 เพิ่มกรณีบุคคลล้มละลายทุจริตเป็นลักษณะต้องห้ามและกำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยมีอำนาจประกาศกำหนดเกี่ยวกับการได้รับการศึกษาวิชาประกันวินาศภัย
2.4 กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของนายหน้าประกันวินาศภัยให้มีความเหมาะสมและชัดเจนยิ่งขึ้น
2.5 กำหนดอำนาจของนายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบการปฏิบัติของตัวแทนหรือนายหน้าประกันวินาศภัย
2.6 กำหนดเหตุและขั้นตอนการพักใช้และเพิกถอนใบอนุญาตตัวแทนประกันวินาศภัยและนายหน้าประกันวินาศภัย
2.7 กำหนดระยะเวลาในการอุทธรณ์คำสั่งและระยะเวลาที่คณะกรรมการต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จ
2.8 กำหนดบทกำหนดโทษสำหรับการกระทำความผิดต่าง ๆ เพิ่มเติม
2.9 กำหนดบทเฉพาะกาล ดังนี้
2.9.1 กำหนดบทเฉพาะกาลกรณีผู้ประเมินวินาศภัยที่ออกใบอนุญาตให้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ยังคงใช้ได้ต่อไปอีกหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ
2.9.2 กำหนดบทเฉพาะกาลกรณีตัวแทนหรือนายหน้าประกันวินาศภัยที่ออกใบอนุญาตให้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ยังคงใช้ได้
2.9.3 เร่งรัดหน่วยงานในการออกกฎหมายลำดับรอง
2.9.4 กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
6.เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดสาขาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุม พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดสาขาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุม พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
2. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
กำหนดให้วิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสาขาธรณีวิทยาและสาขาอนามัยสิ่งแวดล้อม เป็นวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุม
7.เรื่อง ร่างกฎหมายกำหนดชนิดและลักษณะของแสตมป์สรรพสามิต และเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีของทางราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎหมายกำหนดชนิดและลักษณะของแสตมป์สรรพสามิต และเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีของทางราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดลักษณะของแสตมป์สรรพสามิตเพิ่มเติม เป็น 5 ประเภท คือ (1) แสตมป์สุราสำหรับสุราที่ผลิตในราชอาณาจักร (2) แสตมป์สุราสำหรับสุราที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร (3) แสตมป์ยาสูบสำหรับยาสูบชนิดบุหรี่ซิกาแรตที่ผลิตในราชอาณาจักร (4) แสตมป์ยาสูบสำหรับยาสูบชนิดอื่นที่ผลิตในราชอาณาจักร นอกจากบุหรี่ซิกาแรต ขนาดบรรจุต่ำกว่า 20 กรัม และขนาดบรรจุตั้งแต่ 20 กรัม ขึ้นไป และ (5) แสตมป์ยาสูบสำหรับยาสูบชนิดบุหรี่ซิกาแรตที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร
8.เรื่อง ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอนทะเบียนรถจากการควบรวมกิจการของธนาคารพาณิชย์ไทยตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ 3 พ.ศ. …. และร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอนทะเบียนรถจากการควบรวมกิจการของธนาคารพาณิชย์ไทยตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ 3 พ.ศ. …. และร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอนทะเบียนรถจากการควบรวมกิจการของธนาคารพาณิชย์ไทยตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ 3 พ.ศ. …. เป็นการกำหนดให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอนทะเบียนรถที่อยู่ในระหว่างการให้ลูกหนี้เช่าซื้อสำหรับธนาคารพาณิชย์ไทย ที่ควบรวมกิจการตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ 3 ทั้งนี้ เฉพาะธนาคารพาณิชย์ไทยที่ได้รับอนุมัติจากธนาคารแห่งประเทศไทยให้ควบรวมกิจการภายในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2562 โดยต้องดำเนินการควบรวมกิจการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2564 และต้องดำเนินการโอนทะเบียนรถที่อยู่ในระหว่างการให้ลูกหนี้เช่าซื้อให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565
2. ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ พ.ศ. 2546 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2557 เพื่อกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการโอนทะเบียนรถ จากการควบรวมกิจการของธนาคารพาณิชย์ไทยตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินระยะที่ 3 ดังนี้
2.1 การโอนทะเบียนรถที่อยู่ในระหว่างการให้ลูกหนี้เช่าซื้อสำหรับธนาคารพาณิชย์ไทยที่ควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนให้แก่กัน ตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินระยะที่ 3 ทั้งนี้ เฉพาะธนาคารพาณิชย์ไทยที่ได้รับอนุมัติจากธนาคารแห่งประเทศไทยให้ควบรวมกิจการภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2562 โดยต้องดำเนินการควบรวมกิจการให้แล้วเสร็จก่อนวันที่ 31 ธันวาคม 2564 และต้องดำเนินการโอนทะเบียนรถที่อยู่ในระหว่างการให้ลูกหนี้เช่าซื้อให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ครั้งละ 50 บาท
2.2 การโอนทะเบียนรถนอกจากข้อ 2.1 ครั้งละ 100 บาท
9.เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน ดังนี้
ประเภทค่าธรรมเนียม |
อัตราค่าธรรมเนียม ท้ายพระราชบัญญัติ ฉบับละ/บาท |
อัตราค่าธรรมเนียม ตามร่างกฎกระทรวง ฉบับละ/บาท |
1. ค่าขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน |
5,000 |
1,500 |
2. ค่าต่ออายุใบอนุญาต |
2,500 |
1,000 |
3. ค่าหนังสือรับรองการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน |
500 |
200 |
4. ค่าใบแทนใบอนุญาต |
500 |
200 |
10.เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและนำผ่านไปยังสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลีย และกำหนดให้ถ่านไม้ที่ส่งมาจากหรือมีแหล่งกำเนิดจากสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้าและนำผ่านมาในราชอาณาจักร พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและนำผ่านไปยังสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลีย และกำหนดให้ถ่านไม้ที่ส่งมาจากหรือมีแหล่งกำเนิดจากสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้าและนำผ่านมาในราชอาณาจักร พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
พณ. เสนอว่า
1. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561) นั้น เป็นการต่ออายุมาตรการลงโทษทางอาวุธและยุทโธปกรณ์ต่อสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลีย และมาตรการห้ามนำเข้าถ่านไม้จากสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียออกไปจนถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2561
2. โดยที่ประเทศไทยในฐานะรัฐสมาชิกสหประชาชาติมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตามข้อมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติตามข้อ 25 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องดำเนินการออกประกาศกระทรวงพาณิชย์เพื่อต่ออายุมาตรการคว่ำบาตรต่อสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ 2385 (ค.ศ. 2017) ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561
จึงได้เสนอร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ดังกล่าวมาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างประกาศ
1. ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกไปสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลีย และกำหนดให้ถ่านไม้เป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้าจากสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลีย พ.ศ. 2559 ลงวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2559
2. กำหนดบทนิยามคำว่า “อาวุธและยุทโธปกรณ์” และคำว่า “ข้อมติ” เพื่อให้เกิดความชัดเจนของหน่วยงานที่ดำเนินการ
3. กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและนำผ่านไปยังสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลีย และกำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออก และนำผ่านไปยังสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลีย บุคคลหรือองค์กรตามที่กำหนดไว้ในข้อมติ (บุคคลและองค์กรรวม 14 ราย เช่น ABUBAKER, SHARIFF, AHMED, ฯลฯ) ยกเว้นการส่งออกหรือนำผ่านอาวุธและยุทโธปกรณ์เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของสหประชาชาติ รวมถึงคณะผู้แทนให้ความช่วยเหลือของสหประชาชาติในสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลีย การส่งออกหรือนำผ่านอาวุธและยุทโธปกรณ์ตามที่รัฐบาลสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียได้ร้องขอ ซึ่งได้แจ้งต่อเลขาธิการสหประชาชาติแล้ว การส่งออกหรือนำผ่านอาวุธและยุทโธปกรณ์เพื่อการพัฒนาหน่วยงานด้านความมั่นคงของสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลีย การส่งออกหรือนำผ่านอาวุธและยุทโธปกรณ์ เพื่อการพัฒนากองกำลังรักษาความมั่นคงแห่งชาติของสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลีย (Somali National Security Forces) ในการรักษาความปลอดภัยแก่ประชาชนโซมาเลีย และการส่งออกหรือนำผ่านอาวุธและยุทโธปกรณ์ที่ไม่เป็นอันตรายร้ายแรงถึงแก่ชีวิต เพื่อนำไปใช้ในด้านมนุษยธรรม
4. กำหนดให้ถ่านไม้ที่ส่งมาจากหรือมีแหล่งกำเนิดจากสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียเป็นสินค้า ที่ต้องห้ามนำเข้าและนำผ่านมาในราชอาณาจักร
11.เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 4 ฉบับ (การปรับปรุงมาตรการภาษีเกี่ยวกับสำนักงานใหญ่)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 4 ฉบับ ประกอบด้วย 1. ร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มาตรการภาษี ROH 1 และ ROH 2 2. ร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มาตรการภาษี IHQ 3. ร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มาตรการภาษี ITC 4. ร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มาตรการภาษี IBC ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของเรื่อง
ร่างพระราชกฤษฎีกา รวม 4 ฉบับ ที่กระทรวงการคลังเสนอ เป็นการปรับปรุงมาตรการภาษีเกี่ยวกับสำนักงานใหญ่ที่เป็นการยกเลิกมาตรการภาษีเกี่ยวกับสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค (Regional Operating Headquarters หรือ ROH1) สำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค (ROH2) สำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ (International Headquarters หรือ IHQ) และบริษัทการค้าระหว่างประเทศ (International Trading Center หรือ ITC) รวมทั้งออกมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ (International Business Centre หรือ IBC) มาทดแทน ซึ่งสอดคล้องกันกับโครงการ BEPS ของ OECD ประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิก Inclusive Framework on Base Erosion and Profit Shifting ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา อันมีผลทำให้ประเทศไทยต้องปฏิบัติตามพันธกรณีโดยต้องยกเลิกและปรับปรุงมาตรการทางภาษีทั้งหมดที่มีลักษณะเป็นการกัดกร่อนฐานภาษีของประเทศอื่น
12.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และร่างพระราชบัญญัติสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และร่างพระราชบัญญัติสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. …. รวม 2 ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ และให้เสนอคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติ รวม 2 ฉบับดังกล่าว ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
3. ให้ยุติการดำเนินการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 ให้กฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นไปตามมาตรฐานสากล รวมทั้งปรับปรุงกลไกในการกำกับดูแลการประกอบธุรกิจบริการเกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ให้ชัดเจน และสอดคล้องกับการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
2. ร่างพระราชบัญญัติสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. …. มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงสถานะและอำนาจหน้าที่ของสำนักงานพัฒนาธุกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) เพื่อให้สามารถรองรับการปฏิบัติงานตามภารกิจได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนา ส่งเสริมและสนับสนุนการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศ
เศรษฐกิจ-สังคม
13.เรื่อง ขอขยายระยะเวลาการชำระหนี้เงินกู้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย เพื่อช่วยเหลือชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิตปี 2558/2559
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ ดังนี้
1. รับทราบการปรับโครงสร้างหนี้ระหว่างกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดยขยายระยะเวลาการชำระหนี้จากเดิมต้องชำระให้แล้วเสร็จ ภายในเดือนกรกฎาคม 2561 ออกไปอีกเป็นเวลาประมาณ 5 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับแหล่งรายได้เพื่อการชำระหนี้ที่ชัดเจนต่อไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณานำเงินของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายที่มีอยู่และรายได้ที่คาดว่าจะนำส่งเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายมาใช้เพื่อการชำระหนี้ดังกล่าวเป็นลำดับแรก ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามพันธกรณีภายใต้องค์การการค้าโลกอย่างเคร่งครัด
2. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
3. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมชี้แจงทำความเข้าใจกับบราซิลเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายว่าเป็นไปตามข้อกำหนดภายใต้องค์การการค้าโลก และเป็นไปตามที่ไทยเคยแจ้งไว้กับบราซิล
14.เรื่อง ขออนุมัติปรับเปลี่ยนกิจกรรมโครงการส่งเสริมการใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐปีงบประมาณ 2560 (งบกลาง)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอให้กรมปศุสัตว์ดำเนินกิจกรรมเพิ่มศักยภาพอาสาปศุสัตว์ เพื่อเป็นฟาร์มต้นแบบการใช้แผ่นยางปูพื้นคอกปศุสัตว์ 7,196 ราย โดยสนับสนุนแผ่นยางปูพื้นรายละ 4 แผ่น รวม 28,784 แผ่น ซึ่งกรมปศุสัตว์ได้ดำเนินการจัดซื้อแผ่นยางปูพื้นไว้เรียบร้อยแล้ว
สาระสำคัญของเรื่อง
กษ. รายงานว่า
1. กษ. (กรมปศุสัตว์) ได้รับอนุมัติงบประมาณตามโครงการส่งเสริมการใช้ยางพาราในหน่วยงานภาครัฐ ปี 2560 จากสำนักงบประมาณ (สงป.) เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2560 รวมทั้งสิ้น 114,314,500 บาท และได้ดำเนินโครงการแล้ว ดังนี้
กิจกรรม |
รายละเอียด |
1. กิจกรรมเพิ่มศักยภาพอาสาปศุสัตว์และสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานภาครัฐ |
|
กิจกรรมย่อยที่ 1 เพิ่มศักยภาพอาสาปศุสัตว์ |
- จัดซื้อถุงมือตรวจโรคให้อาสาปศุสัตว์ จำนวน 50,000 ราย รายละ 1 กล่อง ขณะนี้ดำเนินการจัดซื้อเรียบร้อยแล้ว กำหนดส่งมอบเสร็จสิ้นไม่เกิน 26 กันยายน 2561 - จัดหาแผ่นยางปูพื้นคอกปศุสัตว์ให้อาสาปศุสัตว์ จำนวน 500 ราย รายละ 4 แผ่น เสร็จสิ้นแล้ว |
กิจกรรมย่อยที่ 2 เปลี่ยนยางรถแทรกเตอร์ ในหน่วยงานรัฐ |
- เปลี่ยนยางล้อรถแทรกเตอร์ในหน่วยงานรัฐ จำนวน 50 คัน เสร็จสิ้นแล้ว (มีการปรับเปลี่ยนจำนวนเป้าหมายตามราคาที่แท้จริง) |
2. กิจกรรมส่งเสริมการใช้แผ่นยางปูพื้นคอกในกลุ่มเกษตรกรเลี้ยงโคขุน |
|
กิจกรรมย่อยที่ 1 แผ่นยางธรรมชาติปูพื้น รถขนส่งปศุสัตว์ |
- จัดหาแผ่นยางปูพื้นรถขนส่งปศุสัตว์ 100 คัน จำนวน 560 แผ่น เสร็จสิ้นแล้ว |
กิจกรรมย่อยที่ 2 แผ่นยางธรรมชาติปูพื้น คอกโคขุนเพื่อการส่งออก |
- จัดซื้อแผ่นยางปูพื้นคอกโคขุนเพื่อการส่งออก (ในส่วนของงบกลาง) เป้าหมายเกษตรกร จำนวน 5,285 ราย รายละ 7 แผ่น รวม 36,995 แผ่น (ไม่ได้ดำเนินการในส่วนของงบเหลือจ่าย เนื่องจากไม่มีงบประมาณ) |
2. อย่างไรก็ตาม กิจกรรมที่ 2 กิจกรรมส่งเสริมการใช้แผ่นยางปูพื้นคอก ในกลุ่มเกษตรกรเลี้ยงโคขุน กิจกรรมย่อยที่ 2 แผ่นยางธรรมชาติปูพื้นคอกโคขุนเพื่อการส่งออก เกษตรกรยื่นความจำนงเข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 1,173 ราย ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมาย จำนวน 4,112 ราย (จากจำนวนเป้าหมาย 5,285 ราย) เนื่องจากกรมปศุสัตว์ได้ปรับเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายจากเกษตรกรกลุ่มผู้เลี้ยงโคขุนเพื่อการส่งออก เป็นเกษตรกรรายย่อย (กรมปศุสัตว์แจ้งว่า กรมปศุสัตว์มุ่งสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโคขุนให้เกษตรกรรายย่อยเป็นหลัก) ซึ่งส่วนใหญ่จะขาดกำลังซื้อ โดยกิจกรรมนี้เกษตรกรต้องซื้อแผ่นยางปูพื้นคอกสมทบ รายละ 3 แผ่น แผ่นละ 2,500 บาท รวมเป็นเงิน 7,500 บาท ประกอบกับเกษตรกรยังไม่เห็นความสำคัญของการใช้แผ่นยางปูพื้นคอกปศุสัตว์ รวมทั้งไม่มีตัวอย่าง ให้เห็นเป็นรูปธรรม จึงไม่มั่นใจว่าจะใช้ประโยชน์ได้จริง ส่งผลให้แผ่นยางคงเหลือจากการดำเนินการ 28,784 แผ่น
3. กรมปศุสัตว์พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ จึงได้จัดทำโครงการกิจกรรมเพิ่มศักยภาพอาสาปศุสัตว์ กิจกรรมย่อย : ฟาร์มต้นแบบการใช้แผ่นยางปูพื้นคอกปศุสัตว์ด้วยการสนับสนุนแผ่นยางปูพื้นคอกปศุสัตว์ ในส่วนที่กรมปศุสัตว์จัดซื้อแล้ว ตามกิจกรรมย่อยแผ่นยางธรรมชาติปูพื้นคอกโคขุน เพื่อการส่งออก แต่มีเกษตรกรเข้าร่วมกิจกรรมต่ำกว่าเป้าหมาย จำนวน 28,784 แผ่น [จัดซื้อแผ่นยางรวม 36,995 แผ่น – (เกษตรกรยื่นความจำนง 1,173 รายxรัฐสนับสนุนรายละ 7 แผ่น)] ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่เห็นว่า ในระยะต่อไป หน่วยงานภาครัฐจำเป็นที่จะต้องจัดทำแผนและแนวทางการใช้ยางพาราเพื่อส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์ยางพาราในประเทศอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างกลไกการดูดซับปริมาณผลผลิตยางพาราของประเทศให้มีความต่อเนื่อง โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้
ประเด็น |
รายละเอียด |
1. โครงการ |
โครงการส่งเสริมการใช้ยางหน่วยงานภาครัฐ กิจกรรม : เพิ่มศักยภาพอาสาปศุสัตว์ กิจกรรมย่อย : ฟาร์มต้นแบบการใช้แผ่นยางปูพื้นคอกปศุสัตว์ |
2. วัตถุประสงค์ |
2.1 เพื่อส่งเสริมการใช้ยางพาราภายในประเทศสำหรับภาคปศุสัตว์ให้มากขึ้น 2.2 เพื่อสร้างฟาร์มต้นแบบการใช้แผ่นยางปูพื้นคอกปศุสัตว์ในการเพิ่มประสิทธิภาพ การผลิต 2.3 เพื่อส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพ สร้างขวัญและกำลังใจแก่อาสาปศุสัตว์ ผู้ปฏิบัติงานให้กับทางราชการ 2.4 เพื่อสนับสนุนนโยบายของ กษ. ในการพัฒนาศักยภาพอาสาเกษตร |
3. วิธีดำเนินการ |
สนับสนุนแผ่นยางปูพื้นคอกปศุสัตว์ที่จัดซื้อแล้วให้อาสาปศุสัตว์ที่ได้รับการคัดเลือกเพื่อการสาธิต รายละ 4 แผ่น |
4. กลุ่มเป้าหมาย |
อาสาปศุสัตว์ที่ปฏิบัติงานดี และมีความเสียสละทุ่มเททำงานให้กับราชการ จำนวน 7,196 คน (7,196 คนxรายละ 4 แผ่น = 28,784 แผ่น) จากจำนวน ผู้ที่ปฏิบัติงานทั่วประเทศ จำนวน 53,607 คน โดยกำหนดคุณสมบัติของอาสาปศุสัตว์ที่เข้าร่วมโครงการ ดังนี้ 4.1 เป็นอาสาปศุสัตว์ที่ปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่องมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี 4.2 เป็นอาสาปศุสัตว์ที่ปฏิบัติงานดี มีความเสียสละทุ่มเทการทำงานช่วยเหลือราชการ กรมปศุสัตว์ 4.3 เป็นอาสาปศุสัตว์ที่มีการเลี้ยงโคนม/โคเนื้อ/กระบือ ตั้งแต่ 5 ตัวขึ้นไป หรือเลี้ยงแพะ แกะ ตั้งแต่ 10 ตัวขึ้นไป 4.4 มีคอกหรือโรงเรือนสำหรับเลี้ยงโคนม/โคเนื้อ/กระบือ/แพะ หรือแกะ ที่แข็งแรง ปลอดภัย พื้นคอกมีความเหมาะสมในการใช้แผ่นยางปูพื้น โดยผ่านการพิจารณา ของปศุสัตว์อำเภอหรือเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 4.5 ยินดีเป็นฟาร์มต้นแบบการใช้แผ่นยางปูพื้นคอกโคนม/โคเนื้อ/กระบือ/แพะ หรือแกะ เพื่อส่งเสริมและขยายผลการใช้ยางพาราในประเทศ 4.6 อาสาปศุสัตว์ที่ได้รับคัดเลือกต้องไม่ซ้ำซ้อนกับรายที่เคยได้รับแผ่นยางปูพื้นคอกสัตว์ ไปแล้ว (รายละ 4 แผ่น) |
5. ระยะเวลา ดำเนินโครงการ |
ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2561 |
6. งบประมาณ |
ใช้แผ่นยางปูพื้นคอกปศุสัตว์ที่จัดซื้อไว้แล้ว จำนวน 28,784 แผ่น (งบประมาณ แผ่นละ 2,500 บาท รวม 71.96 ล้านบาท) |
15.เรื่อง ขออนุมัติดำเนินโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง รองรับผู้อยู่อาศัยเดิม ระยะที่ 2, 3 และ 4 ตามแผนแม่บทโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง (พ.ศ. 2559 – 2567)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบ ดังนี้
1. อนุมัติในหลักการการดำเนินโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง รองรับผู้อยู่อาศัยเดิม ระยะที่ 2, 3 และ 4 ตามแผนแม่บทโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง (พ.ศ. 2559 – 2567) ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ โดยอนุมัติวงเงินลงทุนรวมของโครงการรวม 9,872.119 ล้านบาท และรัฐบาลสนับสนุนการชดเชยดอกเบี้ยตามที่จ่ายจริงไม่เกินร้อยละ 2.15 ต่อปี ในระหว่างการก่อสร้างและเมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ เห็นควรนำรายได้จากค่าเช่ามาชำระคืนเงินต้นและค่าดอกเบี้ยต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ สำหรับแหล่งเงินทุนของโครงการ ให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ที่ให้การเคหะแห่งชาติ (กคช.) กู้เงินภายในประเทศ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของโครงการฯ โดย กค.เป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ และให้ กคช. พิจารณาใช้เงินรายได้ของ กคช. สำหรับค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับที่ดินและค่าจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำหรับการยกเว้นการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันเงินกู้ ให้เป็นไปตามกฎกระทรวงกำหนดอัตราและเงื่อนไขการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันของ กค. พ.ศ. 2551 ทั้งนี้ ในการดำเนินโครงการในแต่ละระยะ ให้ดำเนินการได้ต่อเมื่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแล้ว
2. เห็นชอบในหลักการเพิ่มหมวดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับที่ดิน โดยปรับเกลี่ยจากกรอบงบประมาณ จำนวน 35,754.25 ล้านบาท ตามแผนแม่บทโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง (พ.ศ. 2559 – 2567) รวมถึงการบริหารจัดการคนเข้าอยู่อาศัยในโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง รองรับผู้อยู่อาศัยเดิม ระยะที่ 1 - 4 ในกรณีที่มีหน่วยพักอาศัยคงเหลือจากการบรรจุผู้อยู่อาศัยเดิมในแต่ละระยะของโครงการฯ ตามที่ พม. เสนอ ดังนี้
2.1 กรณีที่มีหน่วยพักอาศัยคงเหลือจากการรื้อย้ายตามแผนแม่บทโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง (พ.ศ. 2559 – 2567) ในแต่ละระยะ ให้ผู้อยู่อาศัยเดิมที่มีสิทธิในระยะถัดไป สามารถยื่นคำร้องขอรับสิทธิเช่าอาคารพักอาศัยได้ ตามเกณฑ์ที่ กคช. กำหนด
2.2 กรณีที่มีผู้ขอรับค่าชดเชยสิทธิ เกินกว่ากรอบงบประมาณที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ [ตามแผนแม่บทโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง (พ.ศ. 2559 – 2567)] ให้ กคช. สามารถปรับเกลี่ยระหว่างรายการ ภายใต้กรอบลงทุน 35,754.25 ล้านบาท ตามที่ได้รับอนุมัติไว้
2.3 การเข้าอยู่อาศัยโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง ระยะที่ 1-4 หากมีกรณีต้องดำเนินการตามข้อ 2.1 หรือ 2.2 หรือมีกรณีจำเป็นเร่งด่วนอื่น ๆ ที่ไม่กระทบสาระสำคัญตามแผนแม่บทโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง (พ.ศ. 2559 – 2567) ตามมติคณะรัฐมนตรี (17 สิงหาคม 2559) ให้คณะกรรมการ กคช. เป็นผู้มีอำนาจพิจารณาดำเนินการ
3. ให้ พม. (การเคหะแห่งชาติ) รับความเห็นของ กค. กระทรวงมหาดไทย และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
พม. รายงานว่า
1. ความคืบหน้าอาคารพักอาศัยแปลง G ก่อสร้างเป็นอาคารสูง 28 ชั้น จำนวน 334 หน่วย มีขนาดห้องพักอาศัย 33 ตารางเมตร รองรับผู้อยู่อาศัยเดิมจากอาคารแฟลต 18 – 22 ปัจจุบันก่อสร้างแล้วเสร็จตามแผนทุกประการ และจะเริ่มรื้อย้ายชาวชุมชนที่ได้รับสิทธิเข้าอยู่อาศัยได้ระหว่างเดือนกรกฎาคม - สิงหาคม 2561 ปัจจุบันผู้อยู่อาศัยได้ย้ายเข้าอาคารพักอาศัยแปลง G เรียบร้อยแล้ว
2. การดำเนินงานตามแผนรองรับผู้อยู่อาศัยเดิม กคช. ได้พิจารณาและจัดทำรายละเอียดโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดงรองรับผู้อยู่อาศัยเดิม ระยะที่ 2, 3 และ 4 จำนวน 6,212 หน่วย เสนอต่อคณะกรรมการ กคช. ซึ่งได้รับความเห็นชอบแล้วในการประชุม กคช. ครั้งที่ 10/2560 เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2560
3. โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดงรองรับผู้อยู่อาศัยเดิม ระยะที่ 2, 3 และ 4 จำนวน 6,212 หน่วย เป็นไปตามกรอบแผนแม่บทโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง (พ.ศ. 2559 – 2567) พัฒนาบนพื้นที่ราชพัสดุของ กค. โดย กคช. เป็นผู้ใช้ที่ดินเพื่อจัดทำโครงการรวม 40.57 ไร่ โดยจะเริ่มภายหลังการย้ายผู้อยู่อาศัยเดิมจากอาคารแฟลต 18 – 22 ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับก่อสร้างโครงการ ระยะที่ 2 เข้าอยู่อาศัยในอาคารแปลง G ในทุกระยะได้วางแผนให้แต่ละอาคารเดิมมีการรื้อย้ายเพียงครั้งเดียว คือสร้างอาคารใหม่แล้วเสร็จ จึงทำการย้ายผู้อยู่อาศัยขึ้นตึก เพื่อให้ชาวชุมชนดินแดงไม่ต้องย้ายออกไปหาที่อยู่อาศัยชั่วคราวระหว่างดำเนินการก่อสร้าง สำหรับโครงการฯ รองรับผู้อยู่อาศัยเดิม ระยะที่ 2, 3 และ 4 จะพัฒนาเป็นอาคารสูง 26 – 35 ชั้น จำนวน 10 อาคาร รวมจำนวนหน่วยพักอาศัย 6,212 หน่วย โดยทุกระยะมีขนาดห้องพัก 33 ตารางเมตร
16.เรื่อง โครงการเงินช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยเพื่อซื้อปัจจัยการผลิต
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการโครงการเงินช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยเพื่อซื้อปัจจัยการผลิต ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ โดยให้ อก. (สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย) ขอรับจัดสรรงบประมาณตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง และได้ตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนแล้ว ภายในวงเงินไม่เกิน 6,500 ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ กค. อนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม 2562 ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้เป็นไปตามพันธกรณีภายใต้องค์การการค้าโลกอย่างเคร่งครัด และให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย และให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดตั้งกลไกในการติดตามและกำกับดูแลการดำเนินนโยบายของหน่วยงานของรัฐเกี่ยวกับการอุดหนุนสินค้าเกษตรให้เป็นไปตามพันธกรณีและข้อตกลงภายใต้องค์การการค้าโลก
สาระสำคัญของเรื่อง
อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบ พ.ศ. 2559-2564 เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมอ้อยและ
น้ำตาลทรายในระยะยาวได้อย่างยั่งยืน สอดคล้องกับข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศ และการเพิ่มมูลค่าอ้อยและน้ำตาลทรายของประเทศให้สูงขึ้น ประกอบกับคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 1/2561 เรื่อง
การแก้ไขกฎหมายเพื่อรองรับการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบ ส่งผลให้ระบบอ้อยและน้ำตาลทรายของไทยเปลี่ยนแปลงไปสู่การค้าเสรีมากขึ้น โดยเฉพาะการยกเลิการกำหนดโควตาน้ำตาล และยกเลิกการกำหนดราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในประเทศ รวมถึงการยกเลิกการจ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อย (160 บาท /ตันอ้อย) และขณะนี้อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านของระบบใหม่ ซึ่งมีระยะเวลาสองปี (ฤดูการผลิตปี 2560/2561 และปี 2561/2562) ซึ่งยังคงต้องดำเนินการเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับกลไกในการบริหารจัดการระบบอย่างต่อเนื่อง และจากสถานการณ์ปัจจุบันราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกตกต่ำต่อเนื่องมากว่า 2 ปี โดยเฉพาะราคาคาดการณ์อ้อยขั้นต้นในฤดูการผลิต ปี 2561/2562 อยู่ที่ประมาณ 680 บาท/ตันอ้อย ซึ่งต่ำกว่าต้นทุนการผลิตซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1,100 บาท/ตันอ้อย ทำให้เกษตรกรได้รับผลกระทบจากทั้งด้านราคาที่ตกต่ำและระบบใหม่สามารถเข้ามาแทรกแซงหรือพยุงราคาได้เหมือนในอดีตที่ผ่านมา
การผลิต เพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อยในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ โดยเฉพาะชาวไร่อ้อยรายเล็กให้สามารถเข้าถึงปัจจัยด้านการผลิตที่จำเป็นอย่างเร่งด่วนโดยเร็ว ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบกับอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายและผู้บริโภคภายในประเทศ สรุปได้ดังนี้
ที่จำเป็นซึ่งเป็นเกษตรกรที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นชาวไร่อ้อยกับสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย และเป็นคู่สัญญากับโรงงาน หรือมีการส่งอ้อยผ่านหัวหน้ากลุ่มชาวไร่อ้อย จำนวนประมาณ 340,000 ราย ในอัตราตันอ้อยละไม่เกิน 50 บาท รายละไม่เกิน 5,000 ตันอ้อย โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจะโอนเงินช่วยเหลือเข้าบัญชีธนาคารของชาวไร่อ้อยคู่สัญญาของแต่ละโรงงานโดยตรง สำหรับหัวหน้ากลุ่มชาวไร่อ้อย จะต้องแสดงบัญชีรายชื่อชาวไร่รายย่อยที่อยู่ในสังกัด พร้อมจำนวนตันอ้อย เพื่อที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจะได้โอนเงินช่วยเหลือไปยังบัญชีธนาคารของชาวไร่อ้อยรายย่อยดังกล่าวโดยตรง
ต่างประเทศ
17.เรื่อง ขอความเห็นชอบในการจัดทำร่างความตกลงทางเทคนิคระหว่างกองทัพเรือกับกองทัพเรือสาธารณรัฐอินเดียสำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเรือพาณิชย์ที่ประกอบอาชีพโดยสุจริต
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหม (กห.) เสนอ ดังนี้
1. ให้ กห. จัดทำความตกลงทางเทคนิคระหว่างกองทัพเรือกับกองทัพเรือสาธารณรัฐอินเดียสำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเรือพาณิชย์ที่ประกอบอาชีพโดยสุจริต
2. ให้ผู้บัญชาการทหารเรือหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย
3. หากมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของร่างความตกลงฯ โดยไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญของร่างความตกลงฯ ให้ กห. พิจารณาดำเนินการได้ตามความเหมาะสม
ทั้งนี้ ให้ กห. รับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง กห. รายงานว่า กองทัพเรือและกองทัพเรือสาธารณรัฐอินเดียได้ร่วมกันพิจารณาและเห็นชอบร่างความตกลงทางเทคนิคระหว่างกองทัพเรือกับกองทัพเรือสาธารณรัฐอินเดียสำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเรือพาณิชย์ที่ประกอบอาชีพโดยสุจริตเพื่อกำหนดแนวทางในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเรือพาณิชย์ที่ประกอบอาชีพโดยสุจริตเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างความตระหนักรู้สถานการณ์ทางทะเลและสนับสนุนการป้องกันการกระทำผิดกฎหมายในทะเล โดยข้อมูลข่าวสารที่อ้างถึงในความตกลงฉบับนี้จะเป็นข้อมูลที่ไม่มีชั้นความลับ (เปิดเผยได้) ที่เกี่ยวข้องกับเรือพาณิชย์เท่านั้นและเฉพาะเรือที่ติดตั้งระบบรายงานตนอัตโนมัติ (AIS)] ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยน เช่น ฝ่ายรับจะนำข้อมูลข่าวสารที่ได้รับจากฝ่ายให้ไปใช้ในวัตถุประสงค์ด้านความมั่นคงและไม่นำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารจะกระทำผ่านเครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์ คำพูด การมองเห็น การเขียน หรือรูปแบบอื่น ๆ ซึ่งความตกลงฯ มีผลบังคับใช้ในวันที่ลงนามและสิ้นสุดลงโดยความเห็นชอบเป็นลายลักษณ์อักษรของทั้งสองฝ่าย ซึ่งรายละเอียดของข้อมูลข่าวสารที่จะทำการแลกเปลี่ยนขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและการตกลงกันระหว่างสองฝ่ายโดยจะหารือและจัดทำเป็นคู่มือปฏิบัติงานแยกต่างหากภายหลังจากที่ร่างความตกลงฯ มีผลใช้บังคับแล้ว ทั้งนี้ ร่างความตกลงฯ ได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการจัดทำความตกลงระหว่างกระทรวงกลาโหมกับมิตรประเทศและองค์การระหว่างประเทศแล้ว และมีกำหนดจะลงนามในร่างความตกลงฯ ในห้วงเวลาที่ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารเรือสาธารณรัฐอินเดียมีกำหนดการเดินทางเยือนไทยระหว่างวันที่ 9 – 15 ธันวาคม 2561
18.เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปคประจำปี 2561
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการต่อร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปคประจำปี 2561 (ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ)
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ
ทั้งนี้ ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างแถลงการณ์ร่วมเพิ่มเติมจากที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไปแล้ว หากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติ หรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้ กค. สามารถดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
สาระสำคัญของร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปคประจำปี 2561 เป็นการแสดงเจตนารมณ์ในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการเงินการคลังระหว่างกันของกลุ่มประเทศสมาชิกเอเปคใน 4 ประเด็นสำคัญ คือ (1) การเร่งรัดการลงทุนและระดมทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Accelerating Infrastructure Development and Financing) (2) การสนับสนุนการเข้าถึงบริการทางการเงิน (Advancing Financial Inclusion) (3) การผลักดันความร่วมมือด้านภาษีและความโปร่งใส (Fostering International Tax Cooperation and Transparency) และ (4) การดำเนินการตามแผนปฏิบัติการเซบู (Cebu Action Plan) ซึ่งการดำเนินการตามร่างแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล เช่น การส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การสนับสนุนการเข้าถึงบริการทางการเงิน เป็นต้น ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของประเทศสมาชิกเอเปคให้การรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ดังกล่าว ในการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค (APEC Finance Ministers’ Meeting: APEC FMM) ครั้งที่ 25 ในวันที่ 17 ตุลาคม 2561 ณ กรุงพอร์ตมอร์สบี รัฐเอกราชปาปัวนิวกินี
สำหรับประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับจากการเข้าร่วมการประชุมฯ การร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความพร้อมของประเทศไทยในการส่งเสริมความร่วมมือด้านต่าง ๆ และเป็นการกระชับความสัมพันธ์กับสมาชิกเอเปค
19.เรื่อง ขออนุมัติการจัดทำและลงนามบันทึกความเข้าใจด้านการสอบสวนอากาศยานประสบอุบัติเหตุและอุบัติการณ์ระหว่างคณะกรรมการสอบสวนอุบัติเหตุของอากาศยานในราชอาณาจักรกับ Aviation and Railway Accident Investigation Board (ARAIB) สาธารณรัฐเกาหลี
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติการจัดทำและลงนามบันทึกความเข้าใจด้านการสอบสวนอากาศยานประสบอุบัติเหตุและอุบัติการณ์ระหว่างคณะกรรมการสอบสวนอุบัติเหตุของอากาศยานในราชอาณาจักรกับ Aviation and Railway Accident Investigation Board (ARAIB) สาธารณรัฐเกาหลี
2. อนุมัติให้ประธานกรรมการสอบสวนอุบัติเหตุของอากาศยานในราชอาณาจักร (พลตำรวจเอก วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี) หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าว
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้ คค. ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2558 (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
โดยจะมีการลงนามในระหว่างการประชุม Sixth Meeting of the Asia Pacific Accident Investigation Group (APAC-AIG/6) ณ สำนักงานสาขาองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 11 – 12 ตุลาคม 2561
สาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความปลอดภัยด้านการบินและ การประสานงานเกี่ยวกับกิจกรรมการสอบสวนระหว่างทั้งสองฝ่าย ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะให้ความร่วมมือภายในขอบเขต เพื่อประโยชน์ร่วมกัน ภายใต้กฎหมาย ข้อบังคับ กฎเกณฑ์ ขั้นตอนการปฏิบัติ ตลอดจนนโยบายของประเทศ ในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
1. การให้การสนับสนุนการสอบสวนตามที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดร้องขอตามความเหมาะสมและทรัพยากรที่มี
2. การให้ความเชี่ยวชาญและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการสอบสวนตามความเหมาะสมและทรัพยากรที่มี
3. การให้โอกาสในการสังเกตการณ์การสอบสวน
4. การให้โอกาสในการเข้าร่วมฝึกอบรมด้านการสอบสวนเมื่อสามารถกระทำได้
5. การแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับเทคนิค วิธีการ มาตรฐานและขั้นตอนการสอบสวนเฉพาะทาง ตามที่กฎหมายและกฎเกณฑ์อนุญาต
6. การร่วมมือพัฒนา เทคนิค วิธีการ มาตรฐานและขั้นตอนการสอบสวน
7. การแลกเปลี่ยนข้อมูลประสบการณ์ด้านการสอบสวนและการปฏิบัติ และการพัฒนานโยบายและกฎหมายตามที่กฎหมายและกฎเกณฑ์อนุญาต
8. การส่งเสริมให้สาธารณะเกิดความเข้าใจเรื่องความเป็นอิสระของการสอบสวนอุบัติเหตุ
20.เรื่อง การเข้าร่วมการประชุมกรุงลอนดอนว่าด้วยการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมาย (London Conference on the Illegal Wildlife Trade)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบต่อเอกสาร จำนวน 4 ฉบับ ดังนี้
1.1 ปฏิญญาลอนดอนว่าด้วยการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมาย (London Declaration on Illegal Wildlife Trade) พ.ศ. 2557 (ปฏิญญาลอนดอนฯ)
1.2 แถลงการณ์คาซาเนว่าด้วยการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมาย (Kasane Statement on Illegal Wildlife Trade) พ.ศ. 2558 (แถลงการณ์คาซาเนฯ)
1.3 แถลงการณ์ฮานอยว่าด้วยการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมาย (Hanoi Statement on Illegal Wildlife Trade) พ.ศ. 2559 (แถลงการณ์ฮานอยฯ)
1.4 ร่างแถลงการณ์ของการประชุมกรุงลอนดอนว่าด้วยการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมาย (Illegal Wildlife Trade Conference Statement) ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2561 (ร่างแถลงการณ์ของการประชุมกรุงลอนดอนฯ) พร้อมร่างคำมั่นสัญญาของประเทศไทย (Thailand commitments) ในภาคผนวก (ร่างคำมั่น สัญญาฯ)
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารทั้ง 4 ฉบับ (ตามข้อ 1.1 – 1.4)
ทั้งนี้ ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไปแล้ว ให้ ทส. สามารถดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2558 (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
สาระสำคัญของเอกสาร ทั้ง 4 ฉบับ สรุป ดังนี้ (1) ปฏิญญาลอนดอนว่าด้วยการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมาย พ.ศ. 2557 (2) แถลงการณ์คาซาเนว่าด้วยการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมาย พ.ศ. 2558 (3) แถลงการณ์ฮานอยว่าด้วยการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมาย พ.ศ. 2559 เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมาย โดยมีการกล่าวถึงระดับและผลกระทบจากการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมาย กรอบการดำเนินงานระหว่างประเทศในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว การให้คำมั่นและเรียกร้องให้ประชาคมโลกสนับสนุนการดำเนินการ เช่น การขจัดตลาดที่มีการค้าผลิตภัณฑ์สัตว์ป่าและพืชป่าที่ผิดกฎหมาย การสร้างกรอบทางกฎหมายและการยับยั้งที่มีประสิทธิภาพ ฯลฯ โดยเอกสารทั้ง 3 ฉบับ ประเทศไทยยังไม่ได้ร่วมให้การรับรอง เนื่องจากประเทศไทยไม่ได้เข้าร่วมการประชุมในปี พ.ศ. 2557 – 2559 และ (4) ร่างแถลงการณ์ของการประชุมกรุงลอนดอนว่าด้วยการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมาย ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2561 พร้อมร่างคำมั่นสัญญาของประเทศไทย ในภาคผนวก เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองและเรียกร้องให้ประชาคมโลกร่วมกันแก้ไขปัญหาการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมาย โดยมีการกล่าวถึงผลกระทบจากการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมาย การสร้างพันธมิตรเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาดังกล่าว การปิดตลาดที่สัตว์ป่าถูกค้าอย่างผิดกฎหมาย
ทั้งนี้ จะมีการรับรองเอกสารทั้ง 4 ฉบับ ในการประชุมกรุงลอนดอนว่าด้วยการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมาย (London Conference on the Illegal Wildlife Trade) ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 11 – 12 ตุลาคม 2561 ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ซึ่ง ทส. พิจารณาแล้วเห็นว่า การเข้าร่วมประชุมกรุงลอนดอนฯ ครั้งที่ 4 และการร่วมรับรองเอกสาร ทั้ง 4 ฉบับ จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยในด้านต่าง ๆ เช่น เป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยในการแสดงเจตนารมณ์สนับสนุน และส่งเสริมการแก้ไขปัญหาการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าที่ผิดกฎหมายร่วมกับประเทศต่าง ๆ เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของประเทศไทย
21.เรื่อง การให้ความเห็นชอบเอกสารของคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ในฐานะคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนของไทยให้ความเห็นชอบเอกสารร่างหลักการสำคัญเรื่องแนวปฏิบัติที่ดีด้านกฎระเบียบของอาเซียน ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ
สาระสำคัญของเอกสารร่างหลักการสำคัญเรื่องแนวปฏิบัติที่ดีด้านกฎระเบียบของอาเซียน (The ASEAN Good Regulatory Practices (GRP) Core Principles) ที่คณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะให้ความเห็นชอบ มีสาระไม่ก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ จึงไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่เข้าข่ายเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 รวมทั้งจะไม่มีการลงนามเอกสารดังกล่าว โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
ร่างหลักการสำคัญเรื่องแนวปฏิบัติที่ดีด้านกฎระเบียบของอาเซียน มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยพัฒนาแนวปฏิบัติด้านกฎระเบียบของประเทศสมาชิกอาเซียน และส่งเสริมความร่วมมือด้านกฎระเบียบภายในภูมิภาค ซึ่งหลักการสำคัญเรื่องแนวปฏิบัติที่ดีด้านกฎระเบียบของอาเซียนไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย แต่องค์กรรายสาขาและประเทศสมาชิกอาเซียนสามารถนำไปปรับใช้ได้ตามความเหมาะสม ซึ่งหลักการสำคัญเรื่อง GRP ของอาเซียน ประกอบด้วยหลักการสำคัญ 6 ประการ คือ
(1) มีความชัดเจนของนโยบาย วัตถุประสงค์ และกรอบเชิงสถาบัน กฎระเบียบต้องประกอบด้วยเหตุผลทางนโยบายที่มีความชัดเจน มีการระบุวัตถุประสงค์ นอกจากนั้น ต้องมีการระบุหน้าที่และความรับผิดชอบของหน่วยงานผู้ปฏิบัติและหน่วยงานสนับสนุนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งต้องกำหนดและให้อำนาจการกำกับดูแลที่ชัดเจนและเหมาะสมสำหรับหน่วยงานผู้ปฏิบัติ รวมไปถึงการกำหนดความร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
(2) สร้างประโยชน์โดยก่อให้เกิดต้นทุนและการบิดเบือนตลาดน้อยที่สุด กฎระเบียบต้องก่อให้เกิดต้นทุน ความเสี่ยง และผลกระทบเชิงลบต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องน้อยที่สุด ทั้งนี้ ในบริบทของอาเซียนจะมุ่งเน้นให้การปฏิบัติตามพันธกรณีในภูมิภาคเกิดต้นทุนน้อยที่สุด
(3) มีความสอดคล้อง โปร่งใส และสามารถนำไปปฏิบัติได้ กฎระเบียบต้องไม่มีความซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งกับกฎระเบียบที่ใช้บังคับอยู่ ในบริบทของอาเซียน กฎระเบียบนั้นต้องมีความสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. 2025 และพันธกรณีหรือข้อริเริ่มของสาขาต่าง ๆ และกฎระเบียบต้องมีความโปร่งใส โดยคำนึงถึงผู้ใช้กฎระเบียบให้สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง
(4) สนับสนุนความร่วมมือด้านกฎระเบียบในภูมิภาค กฎระเบียบต้องอาศัยความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลหรือการปรับประสานกฎเกณฑ์ร่วมกันระหว่างภาครัฐ หน่วยงานผู้กำกับดูแลกฎระเบียบและหน่วยงานที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลนั้น รวมทั้งองค์กรระหว่างประเทศ ในบริบทของอาเซียน จะอาศัยความร่วมมือและการประสานงานระหว่างองค์กรรายสาขาหรือหน่วยงานของประเทศสมาชิกที่เกี่ยวข้อง
(5) สร้างการมีส่วนร่วมระหว่างกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย มีการวางแนวทางการสร้างความร่วมมือของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างเป็นระบบในทุกขั้นตอนของกระบวนการออกกฎระเบียบ เพื่อสนับสนุนหลักความโปร่งใสและการมีส่วนร่วม
(6) มีการทบทวนความสอดคล้อง ประสิทธิภาพ และประสิทธิผล ต้องมีระบบประเมินประสิทธิภาพ ประสิทธิผลของกฎระเบียบหลังมีผลบังคับใช้อย่างสม่ำเสมอ และภายหลังการประเมินผลควรมีการปรับปรุงกฎระเบียบตามความเหมาะสม เพื่อนำไปสู่การยกระดับความสามารถทางการแข่งขันของอาเซียน
แต่งตั้ง
22.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงแรงงาน)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงแรงงานเสนอแต่งตั้ง นายศักดิ์สกล จินดาสวัสดิ์ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาวิชาการแรงงาน (นักวิชาการแรงงานทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงาน ตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม 2561 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
23.เรื่อง การแต่งตั้งผู้ที่จะดำรงตำแหน่งกรรมการร่างกฎหมายประจำ (นักกฎหมายกฤษฎีกาทรงคุณวุฒิ) (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอแต่งตั้ง นายเชวง ไทยยิ่ง ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนานักกฎหมายมหาชน (ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (นิติการ) สูง) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้ดำรงตำแหน่ง กรรมการร่างกฎหมายประจำ (นักกฎหมายกฤษฎีกาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2560 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
24.การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 4 ราย ดังนี้
1. นายธนา เวสโกสิทธิ์ เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโรม สาธารณรัฐอิตาลี ให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย
2. นายเชิดชู รักตะบุตร อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโรม สาธารณรัฐอิตาลี
3. นายดามพ์ บุญธรรม อัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงราบัต ราชอาณาจักรโมร็อกโก
4. นางสาววันทนีย์ วิพุธวงศ์สกุล อัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ บันดาร์เสรีเบกาวัน บรูไนดารุสซาลาม
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียนและทดแทนผู้เกษียณอายุราชการ ซึ่งการแต่งตั้งข้าราชการให้ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศตามข้อ 1. - 4. ได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับ
25.เรื่อง แต่งตั้งผู้แทนพิเศษของรัฐบาลและเลขานุการผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในฐานะสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เสนอ การแก้ไของค์ประกอบผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 338/2560 เรื่อง แก้ไของค์ประกอบผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ลงวันที่ 14 ธันวาคม 2560 ดังนี้
ตำแหน่งผู้แทนพิเศษของรัฐบาลและเลขานุการผู้แทนพิเศษของรัฐบาล
เดิม นายพรชาต บุนนาค เป็น นายฉัตรพงศ์ ฉัตราคม
26.เรื่อง แต่งตั้งผู้แทนกองทัพอากาศเป็นกรรมการในคณะกรรมการกำกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแต่งตั้ง พลอากาศเอก ภานุพงศ์ เสยยงคะ ผู้แทนกองทัพอากาศ (ซึ่งได้รับการเสนอชื่อจากกองทัพอากาศ) ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการในคณะกรรมการกำกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย แทน พลอากาศเอก ยรรยง คันธสร กรรมการเดิมที่เกษียณอายุราชการ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2561 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไป
27.เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมและกำกับธุรกิจโรงแรม
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมและกำกับธุรกิจโรงแรม จำนวน 5 คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี ดังนี้
1. นายปกอนันท์ โลหะภัณฑ์สมบูรณ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิโรงแรม ประเภท 1
2. นายสิทธิพร หาญญานันท์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิโรงแรม ประเภท 2
3. นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิโรงแรม ประเภท 3
4. นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิโรงแรม ประเภท 4
5. นายสมคิด ใจยิ้ม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านโรงแรม
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไป และให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมและกำกับธุรกิจโรงแรมในครั้งต่อไปให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ตามนัยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 เรื่อง การดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย
28.เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติแทนตำแหน่งที่ว่างลง
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติแทนตำแหน่งที่ว่าง จำนวน 2 คน ดังนี้
1. ผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
2. ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมิใช่ข้าราชการ นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
โดยให้อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไป
29.เรื่อง แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล รวม 8 คน แทนประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่จะครบวาระการดำรงตำแหน่งสี่ปี ในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2561 ดังนี้
1. นายสุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย ประธานกรรมการ
2. รองศาสตราจารย์จิรุตม์ ศรีรัตนบัลล์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
3. ศาสตราจารย์ดวงมณี เลาหประสิทธิพร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
4. นายธีรพล โตพันธานนท์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
5. นาวาตรี บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
6. รองศาสตราจารย์ประคิณ สุจฉายา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
7. นายพีรพล สุทธิวิเศษศักดิ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
8. นางสาวศศดิศ ชูชนม์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2561 เป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี