16 ต.ค.61 เมื่อเวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุม ครม.ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติหอการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และร่างพระราชบัญญัติสมาคมการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. รวม 2 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติหอการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และร่างพระราชบัญญัติสมาคมการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
ร่างพระราชบัญญัติหอการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. |
|
ประเด็นที่ขอแก้ไขเพิ่มเติม |
รายละเอียดและเหตุผล |
1. เพิ่มบทนิยาม “สมาคมการค้า” |
เพื่อให้ครอบคลุมถึงสมาคมซึ่งจดทะเบียนตามกฎหมายอื่นที่มีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมการค้า การบริการ การประกอบอาชีพอิสระ อุตสาหกรรม การเงิน หรือเศรษฐกิจ อันมิใช่การหากำไรหรือรายได้มาแบ่งปันกัน ให้สามารถสมัครและใช้สิทธิในฐานะสมาชิกสามัญของหอการค้าได้ |
2. แก้ไขเพิ่มเติมหน้าที่ของหอการค้า |
เพื่อให้หอการค้าสามารถดำเนินการเพื่อส่งเสริมการค้า สามารถทำสัญญากับภาครัฐ มีอำนาจในการเป็นพยานรับรองลายมือชื่อของบุคคลในเอกสารที่มีผู้ขอรับรอง (Notary Public) และจัดส่งเสริมการค้าบริการตามที่มีกฎหมายระบุให้เป็นหน้าที่ของหอการค้า หรืออาจร่วมมือกับองค์กรอื่นโดยมีการจัดสรรค่าตอบแทนระหว่างกันได้ |
3. แก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของหอการค้า |
เดิมห้ามไม่ให้หอการค้าประกอบวิสาหกิจทุกประเภท แต่เพื่อให้การทำงานมีความคล่องตัวมากขึ้น จึงแก้ไขเพิ่มเติมโดยกำหนดข้อยกเว้นหากเป็นการประกอบวิสาหกิจเพื่อเป็นไปตามหน้าที่ของหอการค้า ตามมาตรา 28 ของพระราชบัญญัติหอการค้า พ.ศ. 2509 เช่น ส่งเสริมการค้า การบริการ การประกอบวิชาชีพอิสระ รับปรึกษาและให้ข้อแนะนำแก่สมาชิกเกี่ยวกับการค้าให้สามารถกระทำการได้ |
4. แก้ไขเพิ่มเติมการเลิกหอการค้า |
เดิมไม่ได้กำหนดสัดส่วนของการลงมติให้เลิกหอการค้า จึงกำหนดสัดส่วนโดยใช้เสียงส่วนใหญ่ในการนับคะแนน คือ 3 ใน 4 ของสมาชิกทั้งหมด จึงจะเลิกหอการค้าได้ |
5. ปรับปรุงบัญชีอัตราค่าธรรมเนียมท้ายพระราชบัญญัติ |
ใบอนุญาตหอการค้า เดิมฉบับละ 500 บาท เป็น 2,000 บาท ใบแทนใบอนุญาตหอการค้า เดิมฉบับละ 50 บาท เป็น 200 บาท การขอตรวจหรือคัดเอกสาร เดิมครั้งละ 5 บาท เป็น 50 บาท เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน
|
6. แก้ไขชื่อรัฐมนตรีรักษาการ |
แก้ไขให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รักษาการ เดิมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐการรักษาการ เพื่อให้เป็นไปตามข้อเท็จจริง |
ร่างพระราชบัญญัติสมาคมการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. |
|
ประเด็นที่ขอแก้ไขเพิ่มเติม |
รายละเอียดและเหตุผล |
1. แก้ไขเพิ่มเติมการใช้ชื่อของสมาคมการค้า |
เดิมมาตรา 13 (1) กำหนดว่าสมาคมการค้ามีเพียงชื่อเรียกโดยไม่ต้องระบุว่าเป็นสมาคมการค้า แก้ไขเป็นต้องมีคำว่า สมาคมการค้า นำหน้าชื่อด้วย เพื่อความชัดเจน |
2. แก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของสมาคมการค้า |
แก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้สมาคมการค้าประกอบวิสาหกิจเพื่อส่งเสริมการค้าได้มากขึ้น เช่น ประกอบวิสาหกิจที่อยู่ในวัตถุประสงค์ของสมาคมการค้านั้น ๆ |
3. แก้ไขเพิ่มเติมเรื่องผู้ร้องขอเพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่ของสมาคมการค้า |
เดิมกำหนด “ให้สมาชิกคนหนึ่งคนใดหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ร้องขอ” เพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่ของสมาคมการค้า ที่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายหรือข้อบังคับของสมาคมการค้า เป็น “ให้สมาชิกคนหนึ่งคนใดร้องขอ” โดยยกเลิกอำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อให้เกิดความถูกต้องและเป็นธรรมแก่สมาชิกของสมาคมการค้า |
4. แก้ไขอำนาจของรัฐมนตรีรักษาการกรณีสั่งให้เลิกสมาคมการค้า |
เป็นการยกเลิกอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กรณีเมื่อสมาคมการค้าไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไป หรือหยุดดำเนินกิจการตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป ไปเป็นอำนาจของนายทะเบียน |
5. ปรับปรุงบัญชีอัตราค่าธรรมเนียมท้ายพระราชบัญญัติ |
ใบอนุญาตสมาคมการค้า เดิมฉบับละ 500 บาท เป็น 1,500 บาท ใบแทนใบอนุญาตสมาคมการค้า เดิมฉบับละ 50 บาท เป็น 200 บาท การขอตรวจหรือคัดเอกสาร เดิมครั้งละ 5 บาท เป็น 50 บาท เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน |
6. แก้ไขชื่อรัฐมนตรีรักษาการ |
แก้ไขให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รักษาการ เดิมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐการรักษาการ เพื่อให้เป็นไปตามข้อเท็จจริง |
2.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ …) พ.ศ. …. และการสมัครเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาว่าด้วยลิขสิทธิ์ขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO Copyright Treaty)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ อนุมัติ และรับทราบ ดังนี้
1. เห็นชอบการเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาว่าด้วยลิขสิทธิ์ขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก และให้ส่งสนธิสัญญาดังกล่าวให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา 178 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
2. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ …) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงานอัยการสูงสุด ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
3. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
4. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
5. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำและดำเนินการยื่นภาคยานุวัติสารต่อผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลกเมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบสนธิสัญญาฯ และร่างพระราชบัญญัติฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว
สาระสำคัญของเรื่อง
1. สนธิสัญญาว่าด้วยลิขสิทธิ์ขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก มีสาระสำคัญเป็นการคุ้มครองสิทธิแก่ผู้สร้างสรรค์ในการนำงานลิขสิทธิ์ออกเผยแพร่ต่อสาธารณชนบนสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ และกำหนดให้คุ้มครองงานภาพถ่ายตลอดอายุผู้สร้างสรรค์และต่อไปอีก 50 ปี นับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย ตลอดจนกำหนดหลักเกณฑ์การคุ้มครองมาตรการทางเทคโนโลยี และการคุ้มครองข้อมูลบริหารสิทธิที่อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์
2. ร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ …) พ.ศ. …. เป็นการแก้ไขพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยมีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขอายุการคุ้มครองลิขสิทธิ์ในงานภาพถ่าย โดยให้การคุ้มครองงานภาพถ่ายตลอดอายุผู้สร้างสรรค์และต่อไปอีก 50 ปี นับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย เพื่อให้สอดคล้องกับสนธิสัญญาว่าด้วยลิขสิทธิ์ขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก โดยกำหนดเพิ่มเติมข้อจำกัดความรับผิดของผู้ให้บริการ และกำหนดให้เฉพาะการหลบเลี่ยงมาตรการทางเทคโนโลยีสำหรับควบคุมการเข้าถึงเป็นความผิดฐานละเมิดมาตรการทางเทคโนโลยี และแก้ไขข้อยกเว้นการละเมิดมาตรการทางเทคโนโลยี ซึ่งจะเป็นการยกระดับการคุ้มครองงานอันมีลิขสิทธิ์ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และยังเป็นการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับสนธิสัญญาว่าด้วยลิขสิทธิ์ขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก ปัจจุบันสนธิสัญญาว่าด้วยลิขสิทธิ์ขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก มีภาคีสมาชิกเข้าร่วมแล้ว 96 ประเทศ
เศรษฐกิจ-สังคม
3.เรื่อง ร่างแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ.2560 - 2564
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการร่างแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2560 - 2564
2. เห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการของหน่วยงานและแผนปฏิบัติการประจำปีเพื่อขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ
3. เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทย (มท.) จัดทำแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนและแผนปฏิบัติการของจังหวัด ท้องถิ่น พร้อมทั้งจัดตั้งงบประมาณในการดำเนินงาน
4. เห็นชอบให้ พม. ติดตามและประเมินผลการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ ตามแผนฯ เป็นรายปี ระยะครึ่งแผน และระยะสิ้นสุดแผน
สาระสำคัญของเรื่อง
ร่างแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2560 - 2564 เป็นยุทธศาสตร์การส่งเสริมและพัฒนาเด็กและเยาวชนแบบองค์รวมฉบับที่ 2 ของประเทศไทย ซึ่งได้นำหลักการและบทบัญญัติของพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ. 2550 การศึกษาประเด็นท้าทายที่มีผลต่อการพัฒนาเด็กและเยาวชนของประเทศไทยและมาตรฐานสากลมาพิจารณาประกอบในการยกร่างแผนดังกล่าว โดยมีกระบวนการจัดทำอย่างเป็นขั้นตอนและเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในระดับชาติและระดับท้องถิ่นให้ไปในทิศทางเดียวกัน โดยมีสาระสำคัญประกอบด้วยยุทธศาสตร์ 5 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพและสร้างภูมิคุ้มกันเด็กและเยาวชน ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างความเข้มแข็งของกลไกสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการพัฒนาเด็กและเยาวชนอย่างมีประสิทธิภาพ ยุทธศาสตร์การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเด็กและเยาวชน ยุทธศาสตร์การส่งเสริมบทบาทและระดมความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการพัฒนาเด็กและเยาวชน และยุทธศาสตร์การพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการในการพัฒนาเด็กและเยาวชน โดยในแต่ละยุทธศาสตร์จะมีการกำหนดเป้าประสงค์ มาตรการ และหน่วยงานที่รับผิดชอบ รวมทั้งกำหนดแนวทางการขับเคลื่อนแผนไปสู่การปฏิบัติ ตลอดจนการติดตามและประเมินผล โดยมีคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติเป็นกลไกสำคัญ
ต่างประเทศ
4.เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมผู้นำเอเชีย - ยุโรป ครั้งที่ 12
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมผู้นำเอเชีย - ยุโรป ครั้งที่ 12 (12th ASEM Summit Meeting – ASEM 12)
ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้ กต. สามารถดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
2. อนุมัติให้นายกรัฐมนตรี หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ เป็นผู้ร่วมให้การรับรองร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมฯ
สาระสำคัญของเรื่อง
กต. รายงานว่า นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมผู้นำเอเชีย – ยุโรป ครั้งที่ 12 (12th ASEM Summit Meeting – ASEM 12) ภายใต้หัวข้อหลัก “หุ้นส่วนระดับโลกเพื่อความท้าทายระดับโลก” โดยนายโดนัลด์ ทุสก์ ประธานคณะมนตรียุโรป เป็นประธาน และมีผู้เข้าร่วมการประชุมฯ ประกอบด้วย 1) ประมุขรัฐและหัวหน้ารัฐบาลหรือผู้แทนระดับสูงของประเทศในเอเชียและยุโรปรวม 51 ประเทศ และ 2) ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปและเลขาธิการอาเซียน ทั้งนี้ จะมีการรับรองเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมฯ ซึ่งเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของประเทศสมาชิกการประชุมเอเชีย – ยุโรป (Asia-Europe Meeting - ASEM) ในการส่งเสริมความร่วมมือในสาขาที่สมาชิก ASEM ให้ความสำคัญ โดยจะมีการเผยแพร่เมื่อเสร็จสิ้นการประชุมดังกล่าวแล้ว
สำหรับสาระสำคัญของร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมฯ เป็นการกล่าวถึงบทบาทของ ASEM ในการส่งเสริมระเบียบความร่วมมือระหว่างประเทศแบบพหุภาคีและการค้าระหว่างประเทศที่มีพื้นฐานบนระเบียบกฎเกณฑ์ เพื่อให้ความร่วมมือเรื่องต่าง ๆ บรรลุวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ เกิดความเท่าเทียมทางเพศ สร้างความเชื่อมโยงในกรอบ ASEM รวมทั้งเพื่อรับมือกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้อย่างเท่าทัน โดยสาขาความร่วมมือ ดำเนินการภายใต้ 3 เสาหลัก ดังนี้ เสาที่ 1 การเมืองและความมั่นคง ได้แก่ 1) ความมั่นคงและเสรีภาพทางไซเบอร์ 2) การต่อต้านการก่อการร้าย 3) การโยกย้ายถิ่นฐาน 4) สมุทราภิบาลและความมั่นคงทางทะเล เสาที่ 2 เศรษฐกิจและการเงิน ได้แก่ 1) การสนับสนุนองค์การการค้าโลกและระบบการค้าที่มีพื้นฐานบนระเบียบกฎเกณฑ์ 2) การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมและยั่งยืน 3) การเพิ่มบทบาททางเศรษฐกิจของสตรี 4) ภาษีและการปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัลของเศรษฐกิจ เสาที่ 3 สังคมและวัฒนธรรม ได้แก่ 1) การศึกษา 2) ความเท่าเทียมทางเพศ 3) การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน 4) การทูตวัฒนธรรม 5) มูลนิธิเอเชีย-ยุโรป
ทั้งนี้ กต. แจ้งว่าการให้ความเห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมฯ จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของไทย เช่น การส่งเสริมความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมทุกกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การสนับสนุนผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อย การอำนวยความสะดวกด้านการค้า การส่งเสริมความร่วมมือการศึกษาที่มีคุณภาพ เป็นต้น โดยการประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 12 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 18 – 19 ตุลาคม 2561 ณ กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม
5.เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อเอกสารผลลัพธ์การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก ครั้งที่ 25
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบต่อขอบเขตอำนาจหน้าที่ของกลุ่มศึกษาว่าด้วยการเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจเพื่อลดความเสี่ยงจากความขัดแย้งที่สืบเนื่องจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (กลุ่มศึกษาฯ)
2. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองขอบเขตอำนาจหน้าที่ของกลุ่มศึกษาฯ โดย กต.จะมีหนังสือแจ้งสิงคโปร์ในฐานะประธานการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก (ASEAN Regional Forum - ARF) และประเทศอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องรับทราบต่อไป
สาระสำคัญของขอบเขตอำนาจหน้าที่ของกลุ่มศึกษาว่าด้วยการเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ เพื่อลดความเสี่ยงจากความขัดแย้งที่สืบเนื่องจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งเป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ASEAN Regional Forum - ARF) ครั้งที่ 25 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4 สิงหาคม 2561 โดยในการประชุมดังกล่าวได้เสนอให้มีการพิจารณารับรองร่างขอบเขตอำนาจหน้าที่ของกลุ่มศึกษาฯ [เป็นเอกสารเพิ่มเติมนอกเหนือจากเอกสารที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบไว้แล้ว (วันที่ 31 กรกฎาคม 2561)] ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการกำหนดให้กลุ่มศึกษาฯ จัดทำข้อเสนอเกี่ยวกับมาตรการเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและข้อเสนอในประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับความมั่นคงและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์ กฎระเบียบ และขั้นตอนต่าง ๆ ของการทำงานของกลุ่มศึกษาฯ เช่น ผู้เข้าร่วมประชุม การบริหารจัดการ และการเผยแพร่เอกสาร โดยในเบื้องต้น ฝ่ายไทย (กระทรวงการต่างประเทศ) ได้พิจารณาร่างขอบเขตอำนาจหน้าที่ของกลุ่มศึกษาดังกล่าวแล้ว ไม่มีข้อขัดข้องในหลักการและเห็นว่า เอกสารดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างและส่งเสริมผลประโยชน์ทางด้านความมั่นคงและผลักดันนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย รวมถึงแก้ไขความเสี่ยงจากเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่จะมีผลกระทบต่อประเทศไทยและภูมิภาคในภาพรวม
6.เรื่อง ขอความเห็นชอบปฏิญญาบาลาคลาวาว่าด้วยการเสริมสร้างบทบาททางเศรษฐกิจของสตรีและความเสมอภาคระหว่างเพศ ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบปฏิญญาบาลาคลาวาว่าด้วยการเสริมสร้างบทบาททางเศรษฐกิจของสตรีและความเสมอภาคระหว่างเพศ ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้ดำเนินงานต่อไป
สาระสำคัญของปฏิญญาบาลาคลาวาว่าด้วยการเสริมสร้างบทบาททางเศรษฐกิจของสตรีและความเสมอภาคระหว่างเพศ ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน มีสาระสำคัญเกี่ยวกับแนวทางการเสริมสร้างบทบาททางเศรษฐกิจของสตรี ด้านการค้าการลงทุน และบทบาทของสตรีกับสมดุลทางเศรษฐกิจภาคทะเล ซึ่งประเทศไทยได้เห็นชอบในหลักการของปฏิญญาดังกล่าวแล้วในการประชุมระดับรัฐมนตรี เรื่อง การเสริมสร้างบทบาททางเศรษฐกิจของสตรี ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ระหว่างวันที่ 26 - 31 สิงหาคม 2561 ณ สาธารณรัฐมอริเชียส แต่ยังไม่ได้มีการรับรอง เนื่องจากต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน ทั้งนี้ ภายหลังคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบปฏิญญาดังกล่าว พม. จะดำเนินการรายงานความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีไปยังเลขาธิการสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย เพื่อรับรองปฏิญญาดังกล่าวต่อไป
7.เรื่อง ขออนุมัติลงนามเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดนภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง ครั้งที่ 2
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation : MLC) (ประกอบด้วยสมาชิก 6 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม ไทย และจีน) ครั้งที่ 2 และอนุมัติให้อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารผลลัพธ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
สาธารณรัฐประชาชนจีนและราชอาณาจักรกัมพูชาเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 19-20 มิถุนายน 2561 ณ นครคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ประชุมได้จัดทำเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะทำงานฯ เพื่อให้ประเทศสมาชิกภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้างลงนามในเอกสารดังกล่าว ซึ่งประเทศสมาชิกทุกประเทศ ยกเว้นไทยได้ลงนามในเอกสารดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2561 ทั้งนี้ เอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ ดังกล่าว เป็นเอกสารสรุปผลการประชุมที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการร่วมกันเพื่อให้บรรลุเป้าการค้าระหว่างประเทศสมาชิกให้ถึง 250,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2563 ตามที่ได้ประกาศไว้ในแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีเศรษฐกิจประเทศสมาชิกแม่โขง - ล้านช้าง เพื่อกระชับความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน โดยประเทศสมาชิกเห็นพ้องกันในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ การเสนอให้มีความร่วมมือในการส่งเสริมการค้า การอำนวยความสะดวกทางการค้าและการเพิ่มมูลค่าการค้าโดยจีนจะเปิดตลาดให้กับสินค้านำเข้าจากประเทศสมาชิกมากขึ้น การกระชับความร่วมมือด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การส่งเสริมความร่วมมือด้านการลงทุน การจัดทำแผนพัฒนาระยะ 5 ปี สำหรับความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน การส่งเสริมการอำนวยความสะดวกทางการค้าในภูมิภาคโดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
8.เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาร่วมของรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนและร่างแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา รวมทั้งร่างเอกสารความร่วมมือในกรอบการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เสนอดังนี้
1. ร่างปฏิญญาร่วมของรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือและเสริมสร้างความเข้มแข็งของอาเซียน ร่างแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา และร่างเอกสารความร่วมมือในกรอบการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน รวมจำนวน 10 ฉบับ
2. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างปฏิญญาร่วมฯ และรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ รวมทั้งร่างเอกสารความร่วมมือฯ
ทั้งนี้ ในกรณีที่มีความจำเป็นจะต้องปรับปรุงถ้อยคำหรือสาระสำคัญของร่างเอกสารฯ
ที่คณะรัฐมนตรีได้เคยอนุมัติหรือเห็นชอบไปแล้ว หากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบ ให้สามารถดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2558
สาระสำคัญของเรื่อง
ร่างปฏิญญาร่วมของรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือและเสริมสร้างความเข้มแข็งของอาเซียน จำนวน 1 ฉบับ ร่างแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา จำนวน 2 ฉบับ และร่างเอกสารความร่วมมือในกรอบการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนที่เสนอโดยประเทศสมาชิกอาเซียน จำนวน 7 ฉบับ รวมทั้งสิ้น 10 ฉบับมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
เอกสาร |
สาระสำคัญ |
ลงนาม/รับรอง |
ร่างปฏิญญาร่วมฯ จำนวน 1 ฉบับ |
เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและเสริมสร้างความเข้มแข็งของอาเซียนโดยแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะขับเคลื่อนความร่วมมือด้านความมั่นคงและเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนกับประเทศคู่เจรจา |
ลงนาม |
ร่างแถลงการณ์ ร่วมฯ จำนวน 2 ฉบับ |
เพื่อป้องกันและต่อต้านภัยคุกคามของการก่อการร้าย เช่น การมุ่งมั่นที่จะประสานงานอย่างใกล้ชิดผ่านกลไกและเวทีของอาเซียนเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแก้ไขปัญหาการก่อการร้าย |
รับรอง |
ร่างเอกสารความร่วมมือฯ จำนวน 7 ฉบับ |
เพื่อส่งเสริมความร่วมมือต่าง ๆ ในกรอบการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน เช่น การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจในเชิงปฏิบัติและการเตรียมพร้อมด้านการต่อต้านการก่อการร้ายในภูมิภาคเพื่อเผชิญหน้ากับภัยคุกคามด้านสารเคมี ชีวภาพ และรังสี การกำหนดข้อปฏิบัติสำหรับประเทศผู้สังเกตการณ์ในกิจกรรมของคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้าน ต่าง ๆ ในกรอบการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา พัฒนาแนวทางปฏิบัติสำหรับอากาศยานทหารเมื่อเกิดเหตุการณ์อากาศยานทหารเผชิญหน้ากัน การกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการฝึกผสมทางทะเลระหว่างอาเซียนกับสหรัฐอเมริกา การยกระดับความร่วมมือด้านการต่อต้านการก่อการร้ายระหว่างกลาโหมประเทศสมาชิกอาเซียนในด้านต่าง ๆ |
รับรอง |
โดยจะมีการลงนามและรับรองเอกสารทั้งหมดในการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน (ASMM) ครั้งที่ 12 และการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา (ADMM-Plus) ครั้งที่ 5 ระหว่างวันที่ 18 - 20 ตุลาคม 2561 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ซึ่งเอกสารดังกล่าวมีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะขับเคลื่อนความร่วมมือด้านความมั่นคงและเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนกับประเทศคู่เจรจาเพื่อให้อาเซียนมีความเข้มแข็งอย่างเป็นรูปธรรมและเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถให้กับอาเซียนในการป้องกันและเตรียมความพร้อมในการรับมือกับความท้าทายด้านความมั่นคงของภูมิภาค
9.เรื่อง ขออนุมัติให้ความช่วยเหลือสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในการซ่อมแซมบูรณะความเสียหายสะพานมิตรภาพ 3 (นครพนม - คำม่วน) และสะพานมิตรภาพ 4 (เชียงของ - ห้วยทราย)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าแก่รัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ในการซ่อมแซมบูรณะความเสียหายสะพานมิตรภาพ 3 (นครพนม - คำม่วน) และสะพานมิตรภาพ 4 (เชียงของ - ห้วยทราย) ในวงเงิน 27 ล้านบาท โดยการโอนเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรรงบประมาณรายจ่าย (เงินเหลือจ่าย) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2561 ของกรมทางหลวง ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ
สำหรับวงเงินงบประมาณในการซ่อมแซมบูรณะนั้น ให้ คค.โดยกรมทางหลวงคำนึงถึงแหล่งเงินนอกงบประมาณ และเร่งดำเนินการขอทำความตกลงในรายละเอียดค่าใช้จ่ายให้ทันต่อสถานการณ์อย่างเหมาะสมกับสำนักงบประมาณ (สงป.) อีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้กรมทางหลวงปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญด้วย ตามความเห็นของ สงป. และให้ คค. รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงคมนาคม รายงานว่าการให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าแก่รัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ในการซ่อมแซมบูรณะความเสียหายสะพานมิตรภาพ 3 (นครพนม - คำม่วน) และสะพานมิตรภาพ 4 (เชียงของ - ห้วยทราย) ในวงเงิน 27 ล้านบาท เนื่องจาก สปป.ลาว ไม่สามารถ ตั้งงบประมาณสำหรับการซ่อมแซมเร่งด่วนฉุกเฉินในครั้งนี้ได้ ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในความตกลงระหว่างรัฐบาล แห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่ง สปป.ลาว ว่าด้วยกรรมสิทธิ์การใช้ การบริหาร และการบำรุงรักษาสะพานมิตรภาพ 3 (นครพนม - คำม่วน) และ 4 (เชียงของ - ห้วยทราย) ซึ่งกำหนดให้ประเทศไทยและ สปป.ลาว ร่วมกันออกค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและซ่อมแซมสะพานและส่วนประกอบของสะพานฝ่ายละครึ่งหนึ่ง และสะพานมิตรภาพทั้งสองแห่งมีความจำเป็นต้องได้รับการซ่อมแซมโดยด่วน มิเช่นนั้น อาจส่งผลกระทบต่อการขนส่งสินค้าและการเดินทางของประชาชน รวมถึงเกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจและการค้าของทั้งสองประเทศ (ปัจจุบันสะพานมิตรภาพ 3 และ 4 ยังเปิดใช้งานตามปกติเนื่องจากเป็นสะพานสำคัญที่ใช้ในการสัญจรของประชาชนและขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ โดยกรมทางหลวงและกรมขัวทาง สปป.ลาว ได้ร่วมกันกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นเพิ่มเติม เช่น จำกัดความเร็วไม่เกิน 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง และควบคุมน้ำหนักรถบรรทุกให้เป็นไปตามพิกัดที่กำหนดอย่างเคร่งครัด โดยเริ่มดำเนินมาตรการ ตั้งแต่เดือนมกราคม 2561 เป็นต้นมา)
10.เรื่อง การรับรองเอกสารผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่กำกับดูแลงานด้านวัฒนธรรมและศิลปะ ครั้งที่ 8 และการประชุมที่เกี่ยวข้องกับประเทศคู่เจรจา ณ เมืองยอกยาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบต่อร่างปฏิญญายอกยาการ์ตาว่าด้วยการน้อมรับหลักการวัฒนธรรมแห่งการป้องกันเพื่อเสริมสร้างอัตลักษณ์อาเซียนสำหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่กำกับดูแลงานด้านวัฒนธรรมและศิลปะ ครั้งที่ 8 และการประชุมที่เกี่ยวข้องกับประเทศคู่เจรจา
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่กำกับดูแลงานด้านวัฒนธรรมและศิลปะ ครั้งที่ 8 และการประชุมที่เกี่ยวข้องกับประเทศคู่เจรจา รับรองในร่างปฏิญญายอกยาการ์ตาฯ สำหรับการประชุมดังกล่าว
3. หากมีการปรับเปลี่ยนถ้อยคำของร่างปฏิญญาที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญ หรือที่ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ก่อนจะมีการรับรองและเห็นชอบเอกสารดังกล่าว ให้ วธ.สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
สาระสำคัญของร่างปฏิญญายอกยาการ์ตาว่าด้วยการน้อมรับหลักการวัฒนธรรมแห่งการป้องกันเพื่อเสริมสร้างอัตลักษณ์อาเซียน (Yogyakarta Declaration on Embracing the Culture of Prevention to Enrich the ASEAN Identity) (สถานะล่าสุด) มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการสนับสนุนวัฒนธรรมการป้องกัน โดยเฉพาะการส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งสันติภาพและความเข้าใจระหว่างวัฒนธรรม และส่งเสริมวัฒนธรรมในการสนับสนุนคุณค่าของทางสายกลางผ่านความร่วมมือข้ามสาขาและระหว่างเสาความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ในอาเซียน ทั้งนี้ ปฏิญญาดังกล่าวส่งเสริมการลดความขัดแย้งระหว่างกัน ซึ่งจะนำไปสู่ความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรม ตลอดจนความเข้าใจในลักษณะเฉพาะของประชากรและสังคมที่หลากหลายในอาเซียน ซึ่งการให้ความเห็นชอบต่อปฏิญญาดังกล่าว จะเป็นการสนับสนุนความร่วมมือของไทยกับประเทศสมาชิกอื่น ๆ เพื่อดำเนินงานด้านวัฒนธรรมเชิงปฏิบัติอันนำไปสู่สันติภาพในภูมิภาคต่อไป
โดยการประชุมดังกล่าวจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 21 - 25 ตุลาคม 2561 ณ เมืองยอกยาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
11.เรื่อง การรับรองร่างปฏิญญารัฐมนตรีหัวข้อ “Navigating policy with data to leave no one behind” สำหรับการประชุมคณะกรรมการด้านสถิติภายใต้เอสแคป สมัยที่ 6
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างปฏิญญารัฐมนตรีหัวข้อ “Navigating policy with data to leave no one behind” สำหรับการประชุมคณะกรรมการด้านสถิติภายใต้เอสแคป สมัยที่ 6 ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เสนอ ทั้งนี้ ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องปรับปรุงถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญ และไม่ขัดต่อหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้ ดศ. ดำเนินการได้ โดยให้เสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ได้รับจากการปรับปรุงดังกล่าว
สาระสำคัญของร่างปฏิญญารัฐมนตรีหัวข้อ “Navigating policy with data to leave no one behind” เป็นบันทึกเจตนารมณ์ของรัฐมนตรี และตัวแทนของสมาชิกและสมาชิกสมทบของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก ณ ที่ประชุมคณะกรรมการด้านสถิติภายใต้เอสแคป สมัยที่ 6 ระหว่างวันที่ 16 - 19 ตุลาคม 2561 ณ กรุงเทพมหานคร โดยร่างปฏิญญาฯ เป็นเอกสารด้านนโยบายสำหรับดำเนินการตามวาระเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 เพื่อร่วมกันติดตามและประเมินผลการดำเนินการตามวาระเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ.2030 ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก สาระสำคัญของร่างปฏิญญาฯ มีดังนี้
1. ข้อมูลสถิติที่เชื่อได้และทันต่อเวลา เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ต่อการตัดสินใจ ต่อนโยบายและต่อหลักการพื้นฐานของความโปร่งใสและการตรวจสอบได้
2. สถิติทางการ (Official Statistics) เป็นองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้ในระบบสารสนเทศของสังคมประชาธิปไตย ที่ให้บริการแก่รัฐบาล เศรษฐกิจ และสาธารณชน
3. การปฏิรูปการผลิตและการใช้ข้อมูลสถิติทางการ จำเป็นต่อความสำเร็จในการดำเนินการตามวาระเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ.2030 (the 2030 Agenda for Sustainable Development)
4. การมีสถิติทางการและสถิติทางการถูกนำไปใช้ประโยชน์เพื่อการวิเคราะห์ที่มีประสิทธิผลและการตัดสินใจนโยบายที่โปร่งใส
5. ความพยายามของประชาคมสถิติของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ในการพัฒนาสถิติทางการ เพื่อติดตามวาระเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ.2030 ผ่านวิสัยทัศน์ว่า ภายใน ค.ศ. 2030 ระบบสถิติแห่งชาติจะได้รับการพัฒนาและเสริมสร้างให้สามารถมีบทบาทนำ สร้างผลผลิตและบริการอย่างมีนวัตกรรม เชื่อถือได้และทันต่อเวลา เพื่อตอบสนองความต้องการด้านสถิติที่เร่งด่วนและเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
6. ประชาคมสถิติของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกจะปรับปรุงกระบวนงานทางสถิติเสริมสร้างทักษะใหม่ ๆ และพัฒนาสถิติ ให้เกิดการวิเคราะห์อย่างบูรณาการ เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการตามวาระเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ.2030
7. การดำเนินการเพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ อยู่เหนือขีดความสามารถของระบบสถิติแห่งชาติ และต้องการความร่วมมือจากหน่วยงานทุกหน่วยงานในรัฐบาล ในการยึดหลักการการเชื่อมโยงนโยบายกับข้อมูล การจัดสรรงบประมาณให้กับระบบสถิติแห่งชาติและการพัฒนาให้หน่วยงานสถิติในชาติสามารถทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการเป็นหนึ่งเดียว
8. การดำเนินการตามวิสัยทัศน์ร่วมอย่างบูรณาการและร่วมแรง ร่วมใจ ระหว่างผู้กำหนดนโยบายและผู้ผลิตสถิติ ผ่านข้อปฏิบัติการในระดับชาติ ดังนี้
8.1 จะมีการบูรณการการพัฒนาด้านสถิติ เข้าไปสู่นโยบายและแผนการพัฒนาระดับชาติ โดยมีการกำหนดเป้าหมายสำหรับการพัฒนาด้านสถิติ
8.2 จะมีการเสริมสร้างความเข้มแข็งและพัฒนากรอบการติดตามระดับชาติ เพื่อการสร้างหลักฐานที่มั่นคงสำหรับการพัฒนานโยบายและการติดตาม ตามความเหมาะสม
8.3 จะมีการจัดตั้งหน่วยที่ปรึกษาระดับสูงในระบบสถิติแห่งชาติ เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวแทนในการกำหนดความต้องการและความสนใจของผู้กำหนดนโยบายและผู้ใช้ข้อมูลอื่น ๆ
8.4 จะกำหนดหน้าที่ ความรับผิดชอบ และกลไกการประสานงานของระบบสถิติแห่งชาติ ในส่วนที่จำเป็น
8.5 ให้อำนาจแก่หัวหน้าสำนักงานสถิติแห่งชาติ ในการรับบทบาทนำในการประสานงานของระบบสถิติแห่งชาติ
8.6 จะพัฒนากฎระเบียบและกลไกเชิงสถาบันที่จำเป็น ตามความเหมาะสม ในการทำให้ระบบสถิติแห่งชาติสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้อย่างเต็มที่
8.7 จะพัฒนาการสื่อสารข้อมูลสถิติ และเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านสถิติ เพื่ออำนวยการให้เกิดการนำข้อมูลไปวิเคราะห์อย่างแม่นยำและเกิดผล ในกระบวนการจัดทำนโยบายและการบริหารจัดการภาครัฐที่โปร่งใสเพื่อนำไปสู่ความมุ่งหมายที่จะไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง
8.8 จะทบทวนนโยบาย ยุทธศาสตร์ระดับชาติ และกฎระเบียบต่าง ๆ ตามความเหมาะสม
9. ร้องขอให้เครือข่ายหน่วยงานด้านการพัฒนา สนับสนุนความช่วยเหลือด้านเทคนิคและงบประมาณ
10. ร้องขอให้เลขาธิการ (ของเอสแคป)
10.1 สนับสนุนประเทศสมาชิกในการดำเนินการตามวิสัยทัศน์ให้เกิดขึ้นอย่างบูรณาการ และเป็นไปตามแผนงานของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ในการดำเนินการตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน
10.2 ร่วมมือกับหน่วยงานด้านการพัฒนา และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อทำให้การดำเนินการ ตามปฏิญญานี้และวิสัยทัศน์ร่วม มีความก้าวหน้าต่อเนื่อง มีการประสานงานและมีประสิทธิภาพ
10.3 จัดทำภาพรวมของความก้าวหน้าในการดำเนินการตามปฏิญญาฯ ทุกๆ สองปี เพื่อเข้าสู่การทบทวนโดยคณะกรรมการสถิติของเอสแคป
แต่งตั้ง
12.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 7 ราย ดังนี้
1. นายพิศาล พงศาพิชณ์ รองเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง รองอธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นายประสงค์ ประไพตระกูล รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
4. นายวีรชาติ เขื่อนรัตน์ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
5. นายสำราญ สาราบรรณ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร
6. นายกฤษณพงศ์ ศรีพงษ์พันธุ์กุล รองอธิบดีกรมการข้าว ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมการข้าว
7. นางสาวศิริพร บุญชู รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมหม่อนไหม
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้เกษียณอายุราชการ และทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
13.เรื่อง แต่งตั้งผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายกีรพัฒน์ เจียมเศรษฐ์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง (ผู้ว่าการ กฟน.) และการกำหนดอัตราค่าตอบแทนตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ (ตามมติคณะกรรมการการไฟฟ้านครหลวงในการประชุมครั้งที่ 698 เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2561 และครั้งที่ 699 เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2561) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้าง แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ส่วนค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์อื่น รวมทั้งเงื่อนไขการจ้าง และการประเมินผลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้นายกีรพัฒน์ เจียมเศรษฐ์ ลาออกจากการเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจก่อนลงนามในสัญญาจ้างด้วย
14.เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เสนอแต่งตั้ง นายศุกรีย์ สิทธิวนิช ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ แทน นายธงชัย ศรีดามา ที่จะพ้นจากตำแหน่งในวันที่ 22 ตุลาคม 2561 เนื่องจากมีอายุครบเจ็ดสิบปีบริบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 22 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไป
15.เรื่อง แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอแต่งตั้ง นายจิตเกษม พรประพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักเศรษฐกิจอุปทาน ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค สายนโยบายการเงิน เป็นกรรมการผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย ในคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 แทน นายสุวัชชัย ใจข้อ กรรมการผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทยเดิม ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไป
16.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงแรงงาน)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงแรงงานเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง กระทรวงแรงงาน จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. ให้ นางเพชรรัตน์ สินอวย พ้นจากตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง (นักบริหารสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงาน และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดี (นักบริหารสูง) กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน
2. ให้ นายวิวัฒน์ จิระพันธุ์วานิช พ้นจากตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงาน และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง (นักบริหารสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงาน
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
17.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง (กระทรวงอุตสาหกรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ จำนวน 2 ราย ให้ดำรงตำแห่งประเภทบริหาร ระดับสูง ดังนี้
1. นายประกอบ วิวิธจินดา รองอธิบดี (นักบริหาร ระดับต้น) กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงอุตสาหกรรม
2. นายเอกภัทร วังสุวรรณ รองเลขาธิการ (นักบริหาร ระดับต้น) สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย กระทรวงอุตสาหกรรม ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
18.เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอการแต่งตั้ง นายสมชาย ชาญณรงค์กุล ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี