11ธค.เริ่มขยับปลดล็อก
‘วิษณุ’แจงยิบ
เลือกตั้ง24กพ.ตามเดิม
ได้รบ.ใหม่มิ.ย.-คสช.กลับบ้าน
บิ๊กป้อมย้ำห้ามฝรั่งจุ้นกาบัตร
ภท.โชว์พลังดูดลูกทีมปลาไหล
“วิษณุ เครืองาม” กางไทม์ไลน์การเมืองให้ ครม.เตรียมงานสู่การเลือกตั้ง จุดสตาร์ทเริ่ม 11 ธันวาคมหลัง พ.ร.ป.เลือกตั้งสส.บังคับใช้ ตามด้วยปลดล็อกหลังมีพระราชกฤษฎีกาหย่อนบัตร การันตีเลือกตั้งยังเป็น 24 กุมภาพันธ์ ปีหน้า ยันรัฐบาลมีอำนาจเต็มจนมีครม.ใหม่ถวายสัตย์ฯ ในขณะที่ “บิ๊กป้อม” มองลูกกระเจี๊ยบเพื่อไทยไปตั้งพรรคใหม่ แย้มไม่ให้ต่างชาติจุ้นเลือกตั้ง ด้านภูมิใจไทยเนื้อหอม ลูกทีมปลาไหลแห่ซบ 2 หน่อ
ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี แถลงถึงการเตรียมการของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในการเลือกตั้ง ว่า จากการที่รัฐบาลหารือกับคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งได้ชี้แจงต่อที่ประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และครม. เมื่อวันที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมา ว่า รัฐบาลนี้ไม่ใช่รัฐบาลรักษาการ เว้นแต่จะมีเหตุใดเหตุหนึ่งที่ทำให้ต้องพ้นไป เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดให้คสช.และรัฐบาลนี้อยู่แบบมีอำนาจเต็มต่อไปจนกว่ารัฐบาลชุดใหม่เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนรับหน้าที่
ส่วนการปฏิบัติตัวของ ครม.ต้องแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1.รัฐมนตรี 4 คนที่ไปเกี่ยวข้องกับการทำงานในฐานะพรรคการเมือง แม้ไม่มีความเสียหายเรื่องของกฎหมาย แต่ต้องดูเรื่องมารยาท โดยให้ระวังเรื่องการใช้เวลาราชการ ทรัพย์สินทางราชการ บุคลากรของรัฐ และสถานที่ทางราชการซึ่งต้องไม่ถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์ของพรรคและทางการเมืองที่ไม่ใช่รัฐบาล 2.นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานเหมือนที่ผ่านมา โดยวางตัวเป็นกลางทางการเมือง ไม่ใช้ตำแหน่งหน้าที่ไปเอื้อประโยชน์ ให้คุณให้โทษแก่ผู้ใด หรือหวังผลในทางการเมือง
เปิดปฎิทินทางการเมือง
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า สำหรับปฏิทินการทำงาน หลังจากพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 เริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 11 ธ.ค.2561 จะเริ่มนับกำหนดเวลาให้ต้องจัดเลือกตั้งส.ส.ให้เสร็จภายใน 150 วัน คือไม่เกินวันที่ 9 พ.ค.2562 ซึ่งจากการหารือกับกกต.แล้วเห็นว่าช่วงเวลาที่เหมาะสม คือวันที่ 24 ก.พ.2562 โดยในเดือน ธ.ค.2561 ตั้งแต่วันที่ 9 ธ.ค.2561-19 ม.ค.2562 จะเป็นช่วงการจัดงาน”อุ่นไอรัก คลายความหนาว”
จากนั้นวันที่ 16-27 ธ.ค.2561 กกต.จัดการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) ระดับอำเภอ ก่อนเข้าสู่การเลือกระดับจังหวัด ต่อด้วยการเลือกระดับประเทศ ที่คาดว่าจะมีขึ้นที่อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี ให้ได้ 200 คน แล้วส่งต่อให้คสช.เลือกตัวจริง 50 คน และตัวสำรอง 50 คน ซึ่งระหว่างนี้ คสช.ตั้งคณะกรรมการสรรหาส.ว. 9-12 คน เพื่อเตรียมการคัดเลือกส.ว. ขณะเดียวกันจะมีการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ให้มีการเลือกตั้งส.ส. ซึ่งกกต.เป็นผู้ยกร่างและเสนอต่อรัฐบาลเพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯต่อไป และเมื่อมีพ.ร.ฏ.ดังกล่าวออกมาแล้ววันใด ภายใน 5 วันหลังจากประกาศใช้พ.ร.ฎ.การเลือกตั้ง ให้กกต.ออกประกาศยืนยันวันเลือกตั้ง ประกาศเขตเลือกตั้งและจำนวนส.ส.ในแต่ละเขต และภายใน 25 วันหลังจากมีพ.ร.ฎ.นี้ ให้มีการประกาศวันรับสมัครผู้สมัครรับเลือกตั้งส.ส.และพรรคการเมืองต้องแจ้งชื่อผู้ที่จะเข้ารับการเสนอเป็นนายกรัฐมนตรีให้กกต.รับทราบ
ปลดล็อคเปิดทางหาเสียง
จากนั้นจะไปสู่การปลดล็อกคำสั่งคสช.ฉบับที่ 57/2557 ประกาศคสช.ฉบับที่ 3/2558 และการห้ามหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งจะทำให้เริ่มการทำกิจกรรมทางการเมืองต่างๆได้ หาเสียงเลือกตั้งได้ นอกจากนี้ วันที่ 28 ธ.ค.เป็นวันสุดท้ายของการส่งร่างพ.ร.บ.ให้สนช.พิจารณา ส่วนเดือน ม.ค.2562 นั้น ในวันที่ 2 ม.ค. กกต.ส่งรายชื่อผู้เข้ารอบการคัดเลือกส.ว. จำนวน 200 คน ให้คสช.คัดเลือกเหลือ 50 คน และสำรอง 50 คน
นายวิษณุ กล่าวอีกว่า สำหรับเดือน ก.พ.2562 ในวันที่ 9 ก.พ.2562 คณะกรรมการสรรหาส.ว.ต้องส่งรายชื่อผู้เข้ารอบการคัดเลือกส.ว.ทั้งหมด 400 คน ให้คสช.คัดเหลือ 194 คน สำรอง 50 คน และมีส.ว.ที่มาจากผู้บัญชาการเหล่าทัพโดยตำแหน่ง 6 คน ต่อมาในวันที่ 15 ก.พ. สนช.จะหยุดการพิจารณาร่างกฎหมายทั้งหมด ยกเว้นถ้ามีความจำเป็นที่ต้องออกกฎหมายใด รัฐบาลจะใช้อำนาจออกกฎหมายนั้นเป็นพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) หรือใช้อำนาจตามมาตรา 44 ให้ออกเป็นคำสั่งคสช. และในวันที่ 24 ก.พ.2562 จะมีการเลือกตั้งส.ส.ทั่วประเทศ 500 คน สำหรับเดือน มี.ค.2562 เป็นช่วงที่กกต.พิจารณาข้อร้องเรียน การให้ใบเหลือง-ใบแดงในการเลือกตั้ง
ได้รัฐบาลใหม่ไม่เกินมิยปีหน้า
ขณะที่เดือน เม.ย.2562 นั้น กกต.ต้องประกาศผลการเลือกตั้งส.ส. ภายในวันที่ 24 เม.ย.2562 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายตามที่กฎหมายกำหนดกรอบเวลา 60 วัน นับจากวันเลือกตั้ง แต่ถ้ายังได้ส.ส.ไม่ครบจำนวน ให้ประกาศผลไปก่อนแล้วสามารถยกเลิกในภายหลังได้ และในวันที่ 27 เม.ย.เป็นวันสุดท้ายที่คสช.ต้องพิจารณารายชื่อผู้ได้รับคัดเลือกเป็นส.ว.รวม 250 คน แล้วนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง สำหรับเดือน พ.ค.2562 สนช.จะสิ้นสุดลง 1 วันก่อนเสด็จฯ เปิดการประชุมรัฐสภา ซึ่งกำหนดการเสด็จฯเปิดประชุมรัฐสภาจะสิ้นสุดภายในวันที่ 8 พ.ค.2562 และเมื่อเสด็จฯเปิดประชุมรัฐสภาแล้ว จะมีการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภา ต่อด้วยการเลือกนายกรัฐมนตรี เมื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีแล้ว จะต้องจัดตั้งครม. ซึ่งรัฐบาลเก่าและคสช.จะสิ้นสุดลงเมื่อครม.ชุดใหม่ถวายสัตย์ปฏิญาณตนเข้ารับหน้าที่ คือภายในเดือน มิ.ย.2562และนับจากครม.ถวายสัตย์ปฏิญาณตนไปแล้ว 15 วัน ครม.ชุดใหม่จะแถลงนโยบายต่อรัฐสภาและจะเริ่มการทำหน้าที่อย่างเป็นทางการ โดยมีภารกิจในวันที่ 22-23 มิ.ย.2562 ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำอาเซียน
รักษามาตราฐานเหมือนกัน
เมื่อถามว่าถ้าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. ถูกเสนอชื่อเป็น 1 ใน 3 ของพรรคการเมืองที่จะเสนอชื่อบุคคลเป็นนายกฯ จะต้องใช้มาตรฐานใดในการวางตัว นายวิษณุ กล่าวว่า ต้องใช้มาตรฐานเดียวกับรัฐมนตรีทั้งหมด เพราะการที่พรรคการเมืองเสนอชื่อนั้น ไม่ได้แปลว่ามีส่วนได้เสียทางการเมือง ไม่เหมือนเป็นสมาชิกพรรคการเมือง เพราะการเสนอชื่อคนเป็นนายกฯ สามารถเสนอคนนอกพรรคก็ได้ แต่ถ้าเสนอชื่อพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ต้องวางตัวเป็นกลาง ไม่ใช้อำนาจหรือตำแหน่งหน้าที่ให้คุณหรือให้โทษต่อพรรคใด ซึ่งเป็นมาตรฐานปกติ ไม่ใช่มาตรฐานที่พิสดารแต่อย่างใด
‘บิ๊กป้อม’วิจารณ์พรรคใหม่
วันเดียวกัน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีการเปิดตัวของพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ที่มีเด็กรุ่นใหม่เป็นเครือข่ายของ นายทักษิณ ชินวัตรและนางสาวยิ่งลักษณ์ชินวัตร 2 อดีตนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมว่า ถ้าถือเป็นเรื่องของเด็กรุ่นใหม่ ที่มีความสนใจงานการเมืองมากขึ้น ส่วนจะส่งผลสถานการณ์การเมืองกลับไปสู่จุดเดิมอีกหรือไม่ ยังไม่รู้ เพราะการเลือกตั้งยังไม่เกิด อย่าเพิ่งไปคิดถึงตรงนั้น
“ทั้งนี้มีเด็กรุ่นใหม่ๆสนใจการเมืองก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ส่วนตัวผมไม่ก็ไม่มีอะไรไปแนะนำเขามีพ่อแม่ที่คอยแนะนำอยู่แล้ว ว่าควรจะอยู่อย่างไร ส่วนที่มีทีมงานของอดีตนายกยิ่งลักษณ์ร่วมด้วยนั้น แล้วจะให้ทำอย่างไร จะไปตรวจสอบอย่างไรแล้ว เขามีความผิดอะไร พวกเขาก็มาเล่นการเมือง ส่วนจะเป็นนอมินีหรือไม่ก็ให้ไปคิดกันเอาเอง” พล.อ.ประวิตร กล่าว
เมื่อถามว่า เป็นการถ่ายเลือดใหม่ในตระกูลเดิมหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่ทราบ ตนจะไปรู้ได้อย่างไรให้ไปถามเขา ส่วนกรณีที่มีการเรียกร้องให้ต่างชาติเข้ามาสังเกตการณ์การเลือกตั้งนั้น ขณะนี้ยังไม่เห็นว่ามีใครเรียกร้อง หากมีการเรียกร้องมาก็ให้รัฐบาลเป็นคนพิจารณา ว่าจะเชิญหรือไม่ แต่การเลือกตั้งเป็นเรื่องภายในของประเทศเรา อย่างไรก็ตามหากต่างชาติมีความสนใจอยากจะเข้ามาสังเกตการณ์เลือกตั้งนั้นจะต้องขออนุญาตจากรัฐบาลไทยก่อน
‘มาร์ค’ซัดฮั้วแบ่งเก้าอี้สส.
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้สมัครชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชิปัตย์ ให้สัมภาษณ์กรณีพรรคการเมืองบางพรรคแตกสาขาออกมาหลายพรรค ว่า คะแนนทุกคะแนนสำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้มีความหมายและสำคัญ ซึ่งส่วนหนึ่งที่เขาทำแบบนี้ เพราะเขาอาจไปคำนวณว่าจะมีปัญหาว่าส.ส.ระบบเขตได้จำนวนมาก แต่กระทบกับจำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อ จึงไปแบ่งว่าอันไหนอยู่เขต อันไหนอยู่บัญชีรายชื่อ ซึ่งทั้งหมดไม่ได้เกี่ยวกับประโยชน์ของประชาชน มีแต่จะสร้างความสับสนในระบบมากกว่า
เมื่อถามว่าปชป.ไม่กลัวจะเสียเปรียบหรือ เพราะพรรคอื่นทำแบบนี้กันหมด นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่เราจะเสียเปรียบอยู่บ้าง แต่เราต่อสู้ในแนวทางวิถีทางการเมืองของเรามา 70 กว่าปี มีหลายครั้งที่เราต้องเสียเปรียบ แต่เราคิดว่าการเสียเปรียบแต่ยังรักษาหลักการ รักษาพรรคการเมืองที่มีความเป็นสถาบัน พยายามทำให้ระบบพรรคการเมืองมีความเป็นสากล มันสำคัญกว่า
“พายัพ”ยันพท.ไม่ได้พรรคแตก
ด้านนายพายัพ ปั้นเกตุ อดีตสส.เพื่อพรรคเพื่อ(พท.)ปฎิเสธกระแสข่าว พท.แตก โดยระบุว่าทุกคนยังมั่งคงกับ พท. แต่ความเห็นต่างเป็นเรื่องธรรมดา
“ส่วนกรณีที่มีพรรคเกิดใหม่ออกมาอีกหลายพรรค เรื่องนี้ตนมองว่า มีหลายพรรคก็มิใช่ความขัดแย้งหรือมิใช่เรื่องที่น่าวิตกกังวล เพราะต่างฝ่ายต่างมีร่องน้ำของตนเอง มีลู่พายเรือของตนเองชัดเจน สายน้ำประชาธิปไตยจะมีเรือมากมายสักกี่ลำก็ไม่สำคัญ ขอให้เรายึดมั่นในหลักประชาธิปไตย ตั้งใจแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนและพัฒนาประเทศ ให้สมกับที่ประชาชนเขาเชียร์อยู่ริมตลิ่งจะดีกว่า “นายพายัพ กล่าว
‘ภท.’ลั่นต้องชนะเลือกตั้งทุกเขต
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย(ภท.) กล่าวว่า ทางพรรคมีความพร้อมในเรื่องตัวผู้สมัครแล้ว ไม่น่ามีปัญหาอะไร สมาชิกของพรรคพร้อมสู้ศึกเลือกตั้ง เวลานี้ได้กำชับไปยังว่าที่ผู้สมัครทุกคนลงพื้นที่ รับฟังความเดือดร้อนของประชาชน เพราะหากเราแก้ปัญหา เศรษฐกิจ การศึกษา สุขภาพได้ ประเทศชาติจะแข็งแรง ประชาชนต้องอยู่ได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เราจะทำทุกทางให้ประชาชนมีความสุข ซึ่งปัญหาเร่งด่วนที่ทางพรรคต้องผลักดันแก้ไข อาทิ ปัญหาสินค้าเกษตรตกต่ำ ปัญหาเรื่องการศึกษา ปัญหาด้านสาธารณสุข และการแก้กฏหมายที่ไม่เป็นธรรม
“สำหรับผมจะลงเลือกตั้งในระบบส.ส.เขต ส่วน จ.บุรีรัมย์ ครอบครัวชิดชอบจะยกทีมหรือไม่นั้น ผมบอกเลยว่า จ.บุรีรัมย์ ไม่ใช่เมืองหลวงของพรรคภูมิใจไทย แต่เป้าหมายของพรรคคือ ประเทศไทย ดังนั้นผู้สมัครต้องอธิบายให้ประชาชนเข้าใจในแนวนโยบายของพรรค และเราต้องชนะทุกเขต” เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย กล่าว
ทายาท’ปลาไหล’2คนเข้าซบ
แหล่งข่าวจาก พท.เผยว่า ขณะนี้ นายประสิทธิ์ ชัยวิรัตนะ อดีตส.ส.ชัยภูมิ และน.ส.สุนทรี ชัยวิรัตนะ อดีตส.ส.ชัยภูมิ หลานสาวประสิทธิ์ ได้ลาออกจากพรรคเพื่อไทย ล่าสุดมีกระแสเตรียมไปสมัครพรรคภูมิใจไทยและเปิดตัวในวันที่ 9 พ.ย.นี้ เนื่องจากมีปัญหาทับซ้อน รวมทั้งยังไม่พอใจบทบาทของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ขึ้นเป็นผู้นำพรรคเช่นเดียวกับส.ส.หลายคนในพรรคเพื่อไทย ที่แยกตัวไปสังกัดพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.)
นอกจากนี้ ยังมีรายงาน ว่า จากพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) นายภราดร และนายกรวีร์ ปริศนานันทกุล อดีต ส.ส.อ่างทอง พรรคชาติไทยพัฒนาบุตรชายทั้ง 2 ของนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีตแกนนำพรรคชทพ. ที่ประกาศวางมือจากพรรค กำลังตัดสินใจมาสมัครสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ภายในวันที่ 16 พ.ย.นี้ เพื่อมาทำงานร่วมกับ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ อดีตส.ส.ศรีสะเกษ ที่ย้ายมาสังกัดพรรคภูมิใจไทยก่อนหน้านี้แล้ว เนื่องจากไม่พอใจการปรับเปลี่ยนการบริหารงานภายใน ชทพ.
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี