18 พ.ย.61 ผศ.ดร. ดวงมณี เลาวกุล อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในเวทีเสวนา “โฉนดชุมชน ธนาคารที่ดิน ภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า : ทำอย่างไรจะไปให้ถึงเป้าหมาย” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในงานมหกรรม “ที่ดินคือชีวิต ฝ่าวิกฤติที่ดินไทย” ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) ว่า กฎหมายภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้าที่ภาคประชาชนเสนอ กับกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เพิ่งผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ไปมื่อเร็วๆ นี้ มีความแตกต่างกัน
กล่าวคือ ภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้าจะเน้นเก็บโดยคิดจากจำนวนการถือครองที่ดิน เช่น ในภาคเกษตรหรือภาคอุตสาหกรรมจากที่ทำการศึกษามา พบว่ามักถือครองที่ดินไม่เกิน 50 ไร่ ดังนั้นหากใครครอบครองเกิน 50 ไร่ก็จะต้องจ่ายภาษีในส่วนนี้ เพราะในยุคปัจจุบันการจำกัดการถือครองที่ดินโดยตรงคงไม่ใช่มาตรการที่เหมาะสม
“ถ้าคุณมีมากก็อยากจะให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมหรือเศรษฐกิจมากขึ้น ฉะนั้นก็มีลักษณะกำหนดว่าใครถือครองมากก็ร่วมจ่ายภาษีให้กับสังคมที่สูงขึ้น เพื่อจุดมุ่งหมายว่าใครที่กักตุนที่ดินไว้โดยไม่ได้ทำประโยชน์อะไร เมื่อก่อนจะไม่มีต้นทุนถือครอง เวลาคนมีเงินก็จะไปซื้อที่ดินเอาไว้ เพราะอย่างไรราคามันสูงขึ้นแน่ๆ ถ้ามีภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้าคนก็จะตระหนักมากขึ้นว่าต้องการที่ดินไปทำการผลิตหรือไว้เก็งกำไร” ผศ.ดร. ดวงมณี กล่าว
ผศ.ดร. ดวงมณี กล่าวต่อไปว่า ส่วนกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เพิ่งผ่าน สนช. ไปนั้น คิดตามมูลค่าของที่ดินที่ถือครอง ซึ่งแม้จะมีส่วนดีคือใช้ราคาประเมินกลางของกรมธนารักษ์ ไม่ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ไปใช้ดุลยพินิจกันเอง แต่ก็มีข้อสังเกตว่ามาตรการต่างๆ ในกฎหมายนั้นอาจไม่ตอบโจทย์ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายนั้นเอง
เช่น ที่บอกว่าจะเพิ่มรายได้ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ให้สามารถยืนอยู่ได้อย่างเข้มแข็งนั้นเอาเข้าจริงๆ จะทำได้หรือไม่เพราะมีการยกเว้นไว้มากมาย อาทิ บ้านหลังแรกไม่เกิน 50 ล้านบาท หรือที่ดินเกษตรไม่เกิน 50 ล้านบาทไม่ต้องเสียภาษี ทั้งที่การทำกฎหมายภาษีที่ดินนั้นไม่ควรมีการยกเว้น หรือหากจำเป็นต้องยกเว้นก็ต้องยกเว้นให้น้อยที่สุด ดังนั้นหากจะดูแลคนที่อาจไม่มีกำลังจ่ายภาษี ตัวเลข 50 ล้านบาทที่ตั้งไว้คงไม่น่าจะเหมาะสม
ส่วนเป้าหมายในการกดดันให้ผู้ครอบครองที่ดินจำนวนมากๆ ยอมปล่อยที่ดินออกมานั้น ต้องดูกันต่อไปว่ากฎหมายมีช่องโหว่แค่ไหน ซึ่งไม่ใช่การทำผิดกฎหมายแต่เป็นการเลี่ยงกฎหมาย ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าเมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้แล้วจะมีการติดตามตรวจสอบปัญหาต่างๆ มากน้อยเพียงใด ซึ่งกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้นมีอัตราภาษีที่ดินกรณีที่รกร้างว่างเปล่า ที่ดินประเภทนี้เสียภาษีสูงกว่าประเภทอื่นๆ แต่เพดานสูงสุดก็ยังไม่เกินร้อยละ 3 อาจไม่ทำให้ผู้ถือครองยอมปล่อยออกมา
“ใครเป็นผู้ครอบครองที่ดินไว้เก็งกำไร เขาก็จะทราบว่าราคาที่ดินเพิ่มเฉลี่ยทั้งประเทศเฉลี่ย 4 – 5% อันนี้ไม่รวมกรณีมีสาธารณูปโภคของรัฐเข้ามา ซึ่งราคามันอาจจปรับเพิ่มเท่าตัวไปเลยในพริบตาก็ได้ ถ้าดูอัตราภาษีแบบนี้ ผลต่อเนื่องในการกระจายการถือครองที่ดินคงจะค่อนข้างน้อย แต่อาจจะกระตุ้นให้มีคนใช้ประโยชน์ในที่ดินได้มากขึ้นบ้าง ส่วนผลด้านการกระจายการถือครองที่ดินอาจต้องดูในระยะยาว” ผศ.ดร. ดวงมณี ระบุ
ผศ.ดร. ดวงมณี ยังกล่าวอีกว่า ประเทศไทยไม่มีกฎหมายภาษีทรัพย์สินมาเป็นเวลานาน ทำให้ปัญหามีการสะสม เห็นได้จากตัวเลขในงานวิจัยที่ตนเคยทำ พบคนร้อยละ 10 ที่ครอบครองที่ดินในรูปแบบโฉนด ถือครองที่ดินถึงร้อยละ 60 ของที่ดินประเภทโฉนดทั้งหมดที่มีในประเทศ หรือถ้าจะมองให้ง่ายกว่านั้น คือคนร้อยละ 20 ครอบครองที่ดินร้อยละ 80 ของประเทศ ส่วนคนอีกร้อยละ 80 ถือครองที่ดินได้เพียงร้อยละ 20 ของที่ดินทั้งหมด และยังมีคนที่ไม่มีที่ดินทำกินอีกด้วย การแก้ปัญหาจึงไม่ง่ายและไม่อาจใช้ภาษีเพียงเครื่องมือเดียวในการแก้ไข
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี