วันนี้ (20 พฤศจิกายน 2561) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปประกอบการพิจารณาด้วย
ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. แก้ไขเพิ่มเติมให้สถานศึกษาของเอกชน หมายความว่า โรงเรียนตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนที่จัดการศึกษาในระบบโรงเรียน และให้รวมถึงโรงเรียนนานาชาติซึ่งจัดตั้งและเปิดดำเนินการในประเทศไทย
2. แก้ไขเพิ่มเติมให้เงินค่าเล่าเรียน หมายความว่า เงินค่าธรรมเนียมการเรียนหรือค่าธรรมเนียม ต่าง ๆ ซึ่งสถานศึกษาของเอกชนเรียกเก็บตามอัตราที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงศึกษาธิการ หรือกระทรวงอื่นที่มีอำนาจหน้าที่ในทำนองเดียวกัน (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 4)
3. ยกเลิกหลักการ กรณีการนับลำดับบุตรแฝด ตามบทบัญญัติมาตรา 7 ตรี แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ เนื่องจากปัจจุบันการนับลำดับการเกิดก่อนหลังของบุตรแฝดสามารถนับลำดับได้แน่ชัดจากวิทยาการทางการแพทย์ในปัจจุบัน
4. แก้ไขเพิ่มเติมให้กระทรวงการคลังกำหนดหลักสูตรการศึกษานอกเหนือจากหลักสูตรการศึกษาที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติมาตรา 8 (1) – (5) แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ ที่สามารถใช้สิทธิเบิกเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตรได้
5. กำหนดเพิ่มเติมให้บุตรของข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่ประจำอยู่ในต่างประเทศ แต่บุตรได้ศึกษาอยู่ในสถานศึกษาในประเทศไทย สิทธิในการได้รับเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตรให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ประเภท และอัตราที่บุตรศึกษาอยู่ในสถานศึกษาในประเทศไทย ตามมาตรา 8 แห่งพระราชกฤษฎีกานี้
2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้รับจากการลงทุนตามโครงการจัดการลงทุนกลุ่มอาเซียน (ASEAN Collective Investment Scheme: ASEAN CIS)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้รับจากการลงทุนตามโครงการจัดการลงทุนกลุ่มอาเซียน (ASEAN Collective Investment Scheme: ASEAN CIS)) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
ปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้รับจากการลงทุนตามโครงการจัดการลงทุนกลุ่มอาเซียน ดังนี้
1. กำหนดให้ผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยและได้รับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไร จากโครงการจัดการลงทุนกลุ่มอาเซียน และยอมให้ผู้จ่ายเงินได้ในประเทศไทยนั้น หักภาษี ณ ที่จ่ายตามมาตรา 50 (2) แห่งประมวลรัษฎากร ในอัตราร้อยละ 10 ของเงินได้ เมื่อถึงกำหนดยื่นรายการให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรดังกล่าวมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ทั้งนี้ เฉพาะกรณีไม่ขอรับเงินภาษีที่ถูกหักไว้คืนหรือไม่ขอเครดิตเงินภาษีที่ถูกหักไว้ ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน
2. แก้ไขเพิ่มเติมโครงการจัดการลงทุนกลุ่มอาเซียน ได้แก่ โครงการจัดการลงทุนกลุ่มประเทศอาเซียนตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทจ. 4/2561 เรื่อง ข้อกำหนดเกี่ยวกับการเสนอขายหน่วยของโครงการจัดการลงทุนต่างประเทศ ลงวันที่ 17 มกราคม 2561 ทั้งนี้ เฉพาะการเสนอขายหน่วยในประเทศไทย
3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
กำหนดให้ สช. เป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่พ.ศ. 2539 เพื่อให้พนักงานและลูกจ้างของ สช. ซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติดังกล่าว
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับนั่งร้าน และค้ำยัน พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับงานก่อสร้าง พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับนั่งร้าน และค้ำยัน พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับงานก่อสร้าง พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับนั่งร้าน และค้ำยัน พ.ศ. ....
1.1 กำหนดบทนิยาม “นั่งร้าน” หมายความว่า โครงสร้างชั่วคราวซึ่งสูงจากพื้น หรือพื้นของอาคารหรือส่วนของสิ่งก่อสร้าง สำหรับเป็นที่รองรับผู้ทำงาน วัสดุ หรือเครื่องมือและอุปกรณ์ และ“ค้ำยัน” หมายความว่า โครงชั่วคราวที่รองรับ ยึดโยง หรือเสริมความแข็งแรงของโครงสร้างสิ่งก่อสร้าง นั่งร้าน แบบหล่อคอนกรีตในระหว่างการก่อสร้าง หรือเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่อยู่ระหว่างการติดตั้งการปรับปรุงหรือการซ่อมบำรุง
1.2 กำหนดให้นายจ้างต้องจัดและดูแลให้ลูกจ้างสวมใส่อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล จัดให้มีข้อบังคับ ขั้นตอนการปฏิบัติงาน มีป้ายแสดงเขตอันตราย หรือตั้งป้ายสัญลักษณ์เตือนอันตรายและเครื่องหมายป้ายบังคับเกี่ยวกับความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน
1.3 กำหนดให้นายจ้างจัดให้มีนั่งร้านที่มีความมั่นคงแข็งแรง และจัดให้มีการตรวจสอบนั่งร้านเป็นประจำทุกวันก่อนการใช้งาน
1.4 กำหนดให้นายจ้างปฏิบัติตามรายละเอียดคุณลักษณะและคู่มือการใช้นั่งร้าน และค้ำยันที่ผู้ผลิตกำหนด
1.5 กำหนดให้นายจ้างจัดเก็บเอกสารหลักฐานไว้ให้พนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบ และทำการตรวจสอบส่วนประกอบของค้ำยันและที่รองรับค้ำยันก่อนการใช้งาน และระหว่างใช้งาน รวมทั้งจัดให้มีมาตรการหรือวิธีการอื่นใดที่เหมาะสมสำหรับป้องกันการชน หรือการเคลื่อนตัวของฐานรองรับค้ำยัน
1.6 ห้ามนายจ้างให้ลูกจ้างทำงานกับนั่งร้านลื่นหรือนั่งร้านชำรุด อันอาจเป็นอันตราย ในขณะที่มีพายุ ลมแรง ฝนตก หรือฟ้าคะนอง
2. ร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับงานก่อสร้าง พ.ศ. ....
2.1 กำหนดบทนิยาม “งานก่อสร้าง” หมายความว่า การก่อสร้างสิ่งก่อสร้างทุกชนิด เช่น อาคาร สนามบิน ทางรถไฟ ทางรถราง ถนน อุโมงค์ ท่าเรือ อู่เรือ คานเรือ สะพานเทียบเรือ สะพาน ทางน้ำ ท่อระบายน้ำ ประปา รั้ว กำแพง ประตู ป้ายหรือสิ่งที่สร้างขึ้นสำหรับติดหรือตั้งป้ายพื้นที่หรือสิ่งก่อสร้างเพื่อจอดรถ กลับรถ และทางเข้าออกของรถ และหมายความรวมถึงงานต่อเติมซ่อมแซม ปรับปรุง ดัดแปลง เคลื่อนย้าย การรื้อถอน หรือทำลายสิ่งก่อสร้างนั้นด้วย
2.2 กำหนดให้นายจ้างจัดทำแผนงานด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานก่อนเริ่มดำเนินการสำหรับงานก่อสร้าง งานเจาะ และงานขุด
2.3 ห้ามนายจ้างให้ลูกจ้างลงไปทำงานในรูเจาะ รูขุด หลุม บ่อ คูหรือพื้นที่อื่นที่มีลักษณะเดียวกันที่มีขนาดกว้างน้อยกว่า 75 เซนติเมตร และมีความลึกตั้งแต่ 2 เมตรขึ้นไป
2.4 กำหนดให้นายจ้างต้องจัดให้มีวิศวกรตรวจสอบการติดตั้งเครื่องตอกเสาเข็ม ส่วนประกอบและอุปกรณ์ของลิฟต์ขนส่งวัสดุชั่วคราว ลิฟต์โดยสารชั่วคราว หรือลิฟต์ที่ใช้ทั้งขนส่งวัสดุและโดยสารชั่วคราวฯ
2.5 กำหนดให้นายจ้างต้องควบคุมดูแลให้มีการใช้เชือกหรือลวดสลิงที่มีขนาดเหมาะสมกับร่องรอก ควบคุมให้ลูกจ้างสวมใส่ชูชีพตลอดเวลาทำงาน ถ้ามีการทำงานในเวลากลางคืน ชูชีพต้องติดพรายน้ำหรือวัสดุเรืองแสงด้วย
2.6 กำหนดให้นายจ้างจัดให้มีวิศวกรกำหนดขั้นตอนและวิธีการรื้อถอนทำลายให้เหมาะสมกับลักษณะงาน และจัดการอบรมหรือชี้แจงลูกจ้างเกี่ยวกับขั้นตอนวิธีการรื้อถอนทำลายก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติงาน รวมทั้งจัดและดูแลให้ลูกจ้างใช้อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลตลอดเวลาที่ทำงาน ตามลักษณะและสภาพของงานตามที่อธิบดีประกาศกำหนด
5. เรื่อง ร่างระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการมอบอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งในสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการให้แก่บุคคลอื่น พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการมอบอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งในสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการให้แก่บุคคลอื่น พ.ศ..... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอและให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างระเบียบ
ปรับปรุงระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการมอบอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งในสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการให้แก่บุคคลอื่น พ.ศ. 2548 ดังนี้
1. แก้ไขตำแหน่งของผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจให้ปฏิบัติราชการแทน ในสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการให้สอดคล้องกับคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 19/2560 เรื่อง ปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของกระทรวงศึกษาธิการ ลงวันที่ 3 เมษายน พุทธศักราช 2560
2. กำหนดระดับตำแหน่งของข้าราชการผู้รับมอบอำนาจต้องเป็นข้าราชการที่ดำรงตำแหน่งไม่ ต่ำกว่าระดับชำนาญการพิเศษหรือวิทยฐานะชำนาญการพิเศษในสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
3. กำหนดให้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการอาจมอบอำนาจให้เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครู เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ปฏิบัติราชการแทนได้
4. กำหนดให้เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครู เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน อาจมอบอำนาจให้ข้าราชการตำแหน่งอื่นปฏิบัติราชการแทนได้
5. กำหนดให้ศึกษาธิการภาคอาจมอบอำนาจให้รองศึกษาธิการภาค ศึกษาธิการจังหวัด หรือข้าราชการที่ดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าระดับชำนาญการพิเศษหรือวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ ปฏิบัติราชการแทนได้
6. กำหนดให้ศึกษาธิการจังหวัดอาจมอบอำนาจให้รองศึกษาธิการจังหวัด หรือข้าราชการที่ดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าระดับชำนาญการพิเศษหรือวิทยฐานะชำนาญการพิเศษปฏิบัติราชการแทนได้
6. เรื่อง กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของรัฐวิสาหกิจ
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ในคราวประชุมครั้งที่ 3/2561 เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2561 เรื่อง กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของรัฐวิสาหกิจ ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจดังกล่าวต่อไป ดังนี้
ในหลักการระบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของรัฐวิสาหกิจยังคงมีความเหมาะสม โดยให้รัฐวิสาหกิจเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการกองทุนฯ ของคณะกรรมการกองทุนฯ และบริษัทจัดการกองทุนฯ รวมทั้งมีการกำหนดนโยบายการลงทุนที่หลากหลาย การส่งเสริมและให้ความรู้ทางการเงินและการลงทุนแก่พนักงาน ตามความเห็นของคณะกรรมการแก้ไขปัญหากองทุนสำรองเลี้ยงชีพของรัฐวิสาหกิจ กรณีของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่ได้เสนอเรื่อง การประกัน ความเสี่ยงเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงาน ธ.ก.ส. ซึ่งจดทะเบียนแล้ว ให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการให้สอดคล้องกับแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการกองทุนฯ ตามความเห็นของคณะกรรมการแก้ไขปัญหากองทุนฯ ต่อไป
7. เรื่อง ขอให้คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางปฏิบัติในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (สำนักงาน กกต.) เสนอสำนักงาน กกต. เสนอว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งได้มีมติในการประชุม ครั้งที่ 53/2561 (17) เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2561 เห็นชอบให้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและมีมติเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา โดยให้กระทรวง ทบวง กรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือ และสนับสนุนการดำเนินงานของคณะกรรมการการเลือกตั้งให้การดำเนินงานการเลือกสมาชิกวุฒิสภาเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สุจริต เที่ยงธรรม และชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้
ให้ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ และลูกจ้าง รวมทั้งขอความร่วมมือกลุ่มอาสาสมัครหรือกลุ่มเครือข่ายต่าง ๆ ในสังกัดทุกประเภท และทุกระดับให้ความร่วมมือช่วยเหลือ สนับสนุนในการดำเนินการเลือกสมาชิกวุฒิสภา และดำเนินการอื่นใดที่จำเป็น รวมทั้งการจัดบุคลากรทำหน้าที่เกี่ยวกับการเลือกสมาชิกวุฒิสภา เพื่อให้เกิดความถูกต้อง โปร่งใส เมื่อเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบโดยตรงหรือคณะกรรมการการเลือกตั้งร้องขอโดยให้ถือเป็นงานในหน้าที่ของข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ และลูกจ้างนั้น ๆ ด้วย ให้ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ และลูกจ้างในสังกัดทุกประเภทและทุกระดับวางตัวเป็นกลางอย่างเคร่งครัดในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา ให้การสนับสนุนสถานที่เพื่อใช้เป็นสถานที่ในการจัดการเลือกสมาชิกวุฒิสภาให้การสนับสนุนการดำเนินงานในการให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับการเลือก สมาชิกวุฒิสภาผ่านทางสื่อต่าง ๆ ของรัฐ ทั้งสื่อวิทยุ โทรทัศน์ หอกระจายข่าว และเสียงตามสาย
8. เรื่อง รายงานผลการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐปี 2561
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
1. รับทราบผลการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐปี 2561
2. เห็นชอบให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้
2.1 ให้ส่วนราชการดังต่อไปนี้ กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงยุติธรรม และกรุงเทพมหานคร พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปี พ.ศ. 2562 จากโครงการ/รายการ ที่ดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์แล้วและมีงบประมาณเหลือจ่าย และ/หรือรายการที่หมดความจำเป็น และ/หรือรายการที่คาดว่าจะไม่สามารถดำเนินการได้ทันภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 และพิจารณาจัดตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณในปีถัดไป เพื่อให้มีการใช้ผลิตภัณฑ์ วัสดุ ครุภัณฑ์ สิ่งก่อสร้าง จากยางพาราเพิ่มมากขึ้น เช่น บล็อกยางปูพื้นภายนอกอาคาร (ทางเท้า สนามเด็กเล่น) ถนนงานยางพาราแอสฟัลต์ติกคอนกรีต และถนนงานดินซีเมนต์ผสมยางพารา เป็นต้น
2.2 ให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงยุติธรรม และกรุงเทพมหานคร พิจารณาใช้ผลิตภัณฑ์ยาง ได้แก่ บล็อกยางปูพื้นภายนอกอาคาร (ทางเท้า สนามเด็กเล่น) บล็อกยางปูพื้นสนามฟุตซอล โดยประสานแจ้งความต้องการใช้ต่อการยางแห่งประเทศไทยเพื่อนำยางพาราภายใต้โครงการรักษาเสถียรภาพราคา ที่มีต้นทุนการเก็บรักษางบประมาณภาครัฐปีละ 120 ล้านบาท มาผลิตและส่งมอบให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องภายในปีงบประมาณ 2562 ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามระเบียบและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
2.3 ให้ส่วนราชการดังต่อไปนี้ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงกลาโหม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดหาผลิตภัณฑ์เครื่องนอนจากยางพาราเพื่อใช้ในภารกิจของหน่วยงาน ภายในปีงบประมาณ 2562 ซึ่งจากการสอบถามความต้องการเบื้องต้นจากหน่วยงานดังกล่าว พบว่ามีความต้องการใช้เครื่องนอนรวม 450,000 ชุด คิดเป็นวงเงินประมาณ 1,060 ล้านบาท ซึ่งจะใช้น้ำยางสดประมาณ 13,300 ตัน ดังนั้น เพื่อเพิ่มปริมาณใช้ยางและส่งเสริมการผลิตผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีศักยภาพ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงมีแนวคิดให้ส่วนราชการดังกล่าวใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องนอนที่ผลิตจากยางพารา โดยให้การยางแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยจัดหาผลิตภัณฑ์ดังกล่าว สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ให้สำนักงบประมาณปรับแผนการจัดสรรของส่วนราชการดังกล่าวข้างต้น ให้การยางแห่งประเทศไทยเป็นผู้จัดหาและส่งมอบผลิตภัณฑ์เครื่องนอนตามความต้องการของหน่วยงานต่อไป
3. เห็นชอบให้ยกเว้นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 เพื่อให้ส่วนราชการ ดำเนินการโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐปี 2561 ให้ต่อเนื่องต่อไป
เศรษฐกิจ- สังคม
9. เรื่อง ขอยกเว้นมาตรการด้านบุคลากรตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2541 เพื่อขอให้การรถไฟแห่งประเทศไทยสามารถรับพนักงานได้ในกรอบอัตรากำลัง 19,241 อัตรา (พนักงาน 16,660 อัตรา และลูกจ้าง 2,581 อัตรา)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบดังนี้ เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี (28 กรกฎาคม 2541) เฉพาะในส่วนการรับพนักงานในปีแรก ภายในกรอบไม่เกิน 1,904 อัตรา โดยให้การรถไฟแห่งประเทศไทยรับไปปรับกรอบอัตรากำลังและแผนการสรรหาในระยะ 10 ปี ให้เริ่มตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไป เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและนำกรอบอัตรากำลังฯ เสนอต่อคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจพร้อมกับแผนฟื้นฟูกิจการการรถไฟแห่งประเทศไทย (พ.ศ. 2561 – 2570) เพื่อพิจารณาความเหมาะสมของอัตรากำลังในภาพรวมให้สอดคล้องกับภารกิจตามแผนฟื้นฟูการรถไฟแห่งประเทศไทย (พ.ศ. 2561 – 2570) ก่อนดำเนินการสรรหาพนักงานในปีแรก ทั้งนี้ ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการด้วย
สำหรับอัตรากำลังในปีต่อ ๆ ไป หากคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจพิจารณาแล้วเห็นว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยยังมีความจำเป็นต้องเพิ่มอัตรากำลังเกินกว่าที่กำหนดไว้ตามมติคณะรัฐมนตรี(28 กรกฎาคม 2541) ก็ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยดำเนินการขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวตามขั้นตอนต่อไป
10. เรื่อง ขอความเห็นชอบส่งคืนพื้นที่สวนป่าสมเด็จ เนื้อที่ 900 ไร่ ให้กรมป่าไม้ เพื่อนำพื้นที่เข้าสู่กระบวนการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ดังนี้1. เห็นชอบให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ส่งคืนพื้นที่สวนป่าสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ แปลงปลูกปี 2522 จำนวน 693 ไร่ และแปลงปลูกปี 2526 จำนวน 72 ไร่ รวม 765 ไร่ ให้กรมป่าไม้เพื่อนำพื้นที่ดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาลภายใต้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติต่อไป สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นภายหลังที่กรมป่าไม้ได้รับมอบพื้นที่ดังกล่าวแล้ว ให้กรมป่าไม้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ของกรมป่าไม้ ตามแผนงานโครงการ ที่ได้เสนอตั้งงบประมาณในการจัดที่ดินทำกินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติรองรับไว้แล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการตรวจสอบข้อเท็จจริงการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ และการคัดกรองคุณสมบัติของราษฎรว่าเป็นผู้ยากไร้หรือไม่มีที่ดินทำกินเพื่อจัดระบบการใช้ประโยชน์ที่ดินตามหลักเกณฑ์การจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
2. สำหรับแปลงปลูกปี 2522 และแปลงปลูกปี 2526 เนื้อที่รวม 135 ไร่ ที่จะนำมาสู่กระบวนการจัดสรรที่ดินเพิ่มเติม ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาตรวจสอบความพร้อม ในด้านต่าง ๆ อย่างละเอียดรอบคอบ เช่น สภาพของพื้นที่ ความเหมาะสมของพื้นที่ในการนำพื้นที่เข้าสู่กระบวนการจัดสรรที่ดินให้ชุมชน การพิสูจน์สิทธิ์ร่องรอยการทำประโยชน์ การตรวจสอบคุณสมบัติของราษฎร ตามหลักเกณฑ์การจัดที่กินทำกินให้ชุมชน รวมทั้งบูรณาการหาแนวทางแก้ไขปัญหาให้ได้ข้อยุติก่อน เมื่อมีความพร้อมแล้วจึงดำเนินการเข้าสู่กระบวนการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนภายใต้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย
11. เรื่อง ขออนุมัติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลนบริเวณ คลองบางนาง แม่น้ำบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าบางปะกง (ทดแทนเครื่องที่ 1 – 2) โดยอนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวกับป่าชายเลน
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบดังนี้ เห็นชอบให้กระทรวงพลังงาน (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย) ได้รับยกเว้นการปฏิบัติ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2530 (เรื่อง การจำแนกเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ป่าชายเลนประเทศไทย) วันที่ 23 กรกฎาคม 2534 (เรื่อง รายงานศึกษาสถานภาพปัจจุบันของป่าไม้ชายเลนและปะการังของประเทศ) วันที่ 22 สิงหาคม 2543 (เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) เพื่อให้การไฟฟ้าผลิตแห่งประเทศไทยใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่าชายเลนในการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าบางปะกง (ทดแทนเครื่องที่ 1 – 2) เนื้อที่ 2,305 ตารางเมตร และให้กระทรวงพลังงาน (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย) รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ให้กระทรวงพลังงาน (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย)ดำเนินการตามระเบียบ
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งว่าด้วยการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อม กรณีการดำเนินการโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน พ.ศ. 2556 อย่างเคร่งครัด โดยจัดสรรงบประมาณให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทน ไม่น้อยกว่า 20 เท่าของพื้นที่ป่าชายเลนที่ใช้ประโยชน์ให้กระทรวงพลังงาน (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย) เร่งรัดดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้าบางปะกง (ทดแทนเครื่องที่ 1-2) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้สามารถเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ทันภายในเดือนเมษายน 2562 ตามที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2558 – 2579 ต่อไป
ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ สำรวจพื้นที่ที่จะใช้ในการก่อสร้างหรือดำเนินโครงการลงทุนอย่างละเอียดรอบคอบก่อนดำเนินการว่ามีพื้นที่ที่เข้าข่ายจะต้องขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเพื่อเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าวด้วยหรือไม่ โดยหากมีความจำเป็นต้องขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานของรัฐนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาพร้อมกับการเสนอขออนุมัติ/เห็นชอบโครงการลงทุน เพื่อให้คณะรัฐมนตรีสามารถพิจารณาประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการลงทุนในภาพรวมได้อย่างรอบด้านและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งไม่ก่อให้เกิดความล่าช้าหรือเป็นเหตุให้มีอันต้องหยุดชะงักลง
12. เรื่อง โครงการปรับปรุงขยายเพื่อรองรับพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะที่ 2 (เร่งด่วน) การประปาส่วนภูมิภาคสาขานครพนม
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ดังนี้ เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทย โดยการประปาส่วนภูมิภาคดำเนินโครงการปรับปรุงขยายเพื่อรองรับพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะที่ 2 (เร่งด่วน) การประปาส่วนภูมิภาคสาขานครพนม (ฉบับปรับปรุง) วงเงินเต็มโครงการ 76.989 ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอให้กระทรวงมหาดไทย โดยการประปาส่วนภูมิภาครับความเห็นของกระทรวงการคลัง(หนังสือกระทรวงการคลัง ที่ กค 0818.2/7448 ลงวันที่ 10 พฤษภาคม 2561) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับให้การประปาส่วนภูมิภาคถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่21 มีนาคม 2560 (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) สำหรับการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของการประปาส่วนภูมิภาคในคราวต่อ ๆ ไป อย่างเคร่งครัดด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
เรื่องนี้เดิมคณะรัฐมนตรีเคยมีมติ (16 พฤษภาคม 2560) เห็นชอบในหลักการการดำเนินโครงการเพื่อการพัฒนา ปี 2560 ของการประปาส่วนภูมิภาค จำนวน 6 โครงการ วงเงินลงทุนรวม 1,314.516 ล้านบาท แล้ว ซึ่งโครงการปรับปรุงขยายเพื่อรองรับพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะที่ 2 (เร่งด่วน) การประปาส่วนภูมิภาคสาขานครพนม วงเงิน 76.989 ล้านบาท ที่เสนอในครั้งนี้เป็นหนึ่งในหกโครงการดังกล่าว แต่เนื่องจากปัจจุบันพื้นที่บริเวณโคกภูกระแตที่จะใช้ดำเนินโครงการปรับปรุงขยายฯ ได้กำหนดให้เป็นที่ราชพัสดุเพื่อใช้ประโยชน์ในเขตเศรษฐกิจจังหวัดนครพนม จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนมาดำเนินโครงการปรับปรุงขยายฯ ในที่ดินของการประปาส่วนภูมิภาค สาขานครพนม แทน ดังนั้น การประปาส่วนภูมิภาคจึงนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบโครงการปรับปรุงขยายฯ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดบางส่วน อาทิ เป้าหมาย (พื้นที่ให้บริการ)แผนการดำเนินงานโดยมีวงเงินในการดำเนินโครงการอยู่ภายในกรอบวงเงินงบประมาณเดิม สรุปได้ดังนี้
-วัตถุประสงค์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบผลิต ระบบส่งน้ำ และระบบจ่ายน้ำประปาในพื้นที่ที่ประสบปัญหาให้สามารถบริการน้ำประปาแก่ประชาชนได้เพิ่มขึ้นในอนาคตอย่างพอเพียง รวมทั้งกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค
-วงเงินลงทุนและแหล่งที่มาของเงินทุน ใช้วงเงินลงทุนเต็มโครงการรวมทั้งสิ้น 76.989 ล้านบาท โดยมีแหล่งเงินทุน
-แผนการดำเนินงาน ให้บริการในเขตพื้นที่อำเภอเมืองและอำเภออื่น ๆ ในจังหวัดนครพนม โดยมีระยะเวลาดำเนินการก่อสร้าง 2 ปี โดยภายหลังจากได้รับงบประมาณ การประปาส่วนภูมิภาคคาดว่าจะใช้เวลาปรับปรุงและทบทวนแบบรายละเอียด ประมาณ 2 เดือน ประกวดราคาประมาณ 3 เดือน และดำเนินการก่อสร้าง ประมาณ 1 ปี 6 เดือน
-ความพร้อมด้านที่ดิน เปลี่ยนจากที่จะขอใช้ที่ดินสาธารณประโยชน์บริเวณโคกภูกระแต เป็นใช้ที่ดินในพื้นที่เดิมของการประปาส่วนภูมิภาค สาขานครพนม
-ผลตอบแทนทางการเงิน กรณีค่าน้ำคงที่ โดยไม่มีการปรับค่าน้ำตลอดอายุโครงการ 25 ปี จะมีผลตอบแทน ตามมูลค่าปัจจุบันสุทธิเท่ากับ 344.627 ล้านบาทกรณีได้ปรับอัตราค่าน้ำ ในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี โดยปรับทุก ๆ 3 ปี จะมี ผลตอบแทนตามมูลค่าปัจจุบันสุทธิเท่ากับ เท่ากับ 671.430 ล้านบาท
-อื่นๆ โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายฯ ไม่เข้าข่ายต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ ผลกระทบสิ่งแวดล้อม การประปาส่วนภูมิภาคได้เปิดโอกาสให้ประชาชนและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนของสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการปรับปรุงขยายฯ เช่น การรับฟังความคิดเห็น การให้ความร่วมมือและส่งเสริมกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อสังคม
13. เรื่อง การขอรับการจัดสรรงบกลางประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสมทบให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายนำไปชำระหนี้เงินกู้ส่วนต่างราคาอ้อยขั้นต้นและขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิตปี 2549/2550
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ ดังนี้
1. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม 2562 แล้ว จำนวน 450 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสมทบให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายนำไปใช้ชำระหนี้เงินกู้ส่วนต่างราคาอ้อยขั้นต้นและอ้อยขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิตปี 2549/2550 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
2. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์(ตามหนังสือกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ที่ พณ 0602/379 ลงวันที่ 31 มกราคม 2561) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
3. ในกรณีที่พระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีผลใช้บังคับ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาเตรียมแนวทางในการชำระหนี้ สำหรับงวดปี 2563 โดยอาจพิจารณานำเงินของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายที่มีอยู่ และรายได้ที่คาดว่าจะนำส่งเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายมาใช้เป็นลำดับแรกทั้งนี้ ให้เป็นไปตามพันธกรณีภายใต้องค์การการค้าโลก
14. เรื่อง รายงานผลการดำเนินการโอนความรับผิดชอบการบริหารตลาดนัดจตุจักร ไปเป็นความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานครตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2561 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอรายงานผลการดำเนินการโอนความรับผิดชอบการบริหารตลาดนัดจตุจักร ไปเป็นความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานครตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2561 ที่มอบหมายให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) ประสานงานกับกระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) เพื่อเร่งรัดการดำเนินการโอนความรับผิดชอบการบริหารจัดการตลาดนัดจตุจักรไปเป็นความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานคร
สาระสำคัญ
การรถไฟแห่งประเทศไทย ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาตลาดนัดจตุจักร เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ค้ารายย่อยในตลาดนัดจตุจักร ตามสรุปผลการประชุม กขป.5 ครั้งที่ 8/2561 เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2561 และลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนผู้มาใช้บริการ เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2561 ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้เชิญผู้แทนการรถไฟแห่งประเทศไทย และผู้แทนกรุงเทพมหานคร ร่วมประชุมหารือเมื่อวันที่ 8 และ 14 พฤศจิกายน 2561 เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางดำเนินการโอนความรับผิดชอบการบริหารจัดการตลาดนัดจตุจักรไปเป็นความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานคร สรุปผลได้ ดังนี้
1. การรถไฟแห่งประเทศไทย ตกลงให้กรุงเทพมหานครเช่าที่ดิน เพื่อบริหารจัดการตลาดนัดจตุจักรทั้งหมดบนพื้นที่ขนาด 68 ไร่ 1 งาน 88 ตารางวา
2. กำหนดอัตราค่าเช่าปีละ 169,423,250 บาท และระยะเวลาให้เช่าไม่เกินปี พ.ศ. 2571 และให้มีการพิจารณาทบทวนค่าเช่าร่วมกันทุก ๆ 3 ปี และมีการปรับเพิ่มไม่เกินอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมาตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย
3. สัญญาเช่าต่าง ๆ จำนวน 32 สัญญาที่การรถไฟแห่งประเทศไทย มีอยู่ในปัจจุบันนั้น โอนสิทธิและหน้าที่ให้กรุงเทพมหานครไปทั้งหมดเพื่อให้การบริหารจัดการตลาดมีประสิทธิภาพ
4. ให้กรุงเทพมหานครเริ่มเข้าบริหารจัดการตลาดนัดจตุจักร ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2561 เป็นต้นไป โดยกำหนดอัตราค่าเช่าแผงค้าละ 1,800 บาท/แผง/เดือน (ลดลงจากอัตราค่าเช่า 3,157 บาท)
5. กรุงเทพมหานครยืนยันรับโอนสิทธิและหน้าที่ในสัญญาว่าจ้างบริการงานรักษาความปลอดภัย จนสิ้นสุดสัญญาวันที่ 31 พฤษภาคม 2561 และสัญญาว่าจ้างงานทำความสะอาดและจัดเก็บขยะแบบครบวงจรที่จะสิ้นสุดสัญญาวันที่ 31 พฤษภาคม 2565 ซึ่งการรถไฟแห่งประเทศไทยจะช่วยกรุงเทพมหานครเจรจาต่อไป
6. ในการทำสัญญากับผู้เช่าทุกประเภทระหว่างกรุงเทพมหานครกับผู้เช่า กรุงเทพมหานครตกลงจะดำเนินการตรวจสอบผู้เช่าที่มีภาระหนี้สินค้างชำระกับการรถไฟแห่งประเทศไทย หากผู้เช่ารายใดยังคงมีภาระหนี้สินติดค้างกับการรถไฟแห่งประเทศไทย กรุงเทพมหานครจะไม่ทำสัญญากับผู้เช่ารายนั้น และการรถไฟแห่งประเทศไทย ขอสงวนสิทธิในพื้นที่เช่าจนกว่าผู้เช่ารายนั้นจะได้ชำระหนี้ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยครบถ้วนแล้ว
7. การรถไฟแห่งประเทศไทยและกรุงเทพมหานครจะจัดทำบันทึกข้อตกลงการแก้ไขปัญหาตลาด นัดจตุจักรร่วมกันตามตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2561 ก่อนจัดทำสัญญาเช่าที่ดินตามแบบมาตรฐานของการรถไฟแห่งประเทศไทยต่อไปขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดทำร่างบันทึกข้อตกลงร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาตลาดนัดจตุจักรตามสาระสำคัญและข้อเท็จจริงข้างต้น
15. เรื่อง สรุปมติการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ 2/2561
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561 ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์)เสนอ ซึ่งการประชุมดังกล่าวมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
1.1 จัดทำข้อมูลสินค้ามะพร้าวเพื่อดำเนินการจัดทำข้อมูลปริมาณการผลิตมะพร้าวให้มีความถูกต้อง หน่วยงานที่รับผิดชอบ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 1.2 จัดทำแนวทางการบริหารจัดการสินค้ามะพร้าว
1.2.1 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการสินค้ามะพร้าวภายใต้คณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช โดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร รับผิดชอบ
1.2.2 แก้ไข/เพิ่มเติมประกาศกรมการค้าต่างประเทศ เรื่อง หลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขในการขอและออกหนังสือรับรองแสดงการได้รับสิทธิ ในการยกเว้นภาษีทั้งหมดหรือบางส่วนสำหรับเมล็ดถั่วเหลือง มะพร้าว มะพร้าวเนื้อแห้ง และน้ำมันมะพร้าว ที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน พ.ศ. 2553 โดยผู้ได้รับหนังสือรับรองได้ให้คำรับรองว่าจะไม่นำมะพร้าวนำเข้า ไปจำหน่าย จ่าย โอน ให้นิติบุคคลหรือบุคคลทั่วไปแปรสภาพมะพร้าวโดยการกะเทาะภายนอกโรงงานของตนเอง และแก้ไขบทลงโทษกรณีผู้นำเข้าไม่ปฏิบัติตามประกาศกรมการค้าต่างประเทศ โดยให้พักหรือเพิกถอนการขึ้นทะเบียน กรมการค้าต่างประเทศ รับผิดชอบ
1.2.3 แจ้งผลการพิจารณาการบริหารการนำเข้าสินค้ามะพร้าวพิกัดฯ 0801.12.00 พิกัดฯ 0801.19.10 และพิกัดฯ 0801.19.90 ภายใต้กรอบ AFTA ให้กรมการค้าต่างประเทศดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องได้ทันทีและให้ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานผลการดำเนินงานดังกล่าวให้คณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชทราบต่อไป ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารจัดการสินค้ามะพร้าว รับผิดชอบ
1.3 จัดทำแนวทางการป้องกันการลักลอบและนำเข้ามะพร้าวผิดกฎหมาย 1.3.1 กำหนดระบบบริหารความเสี่ยงในการตรวจสอบสินค้า (Profile) ในระบบฐานข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงในการนำเข้าสินค้าให้สินค้ามะพร้าวเป็นสินค้าที่มีความเสี่ยงสูง และเป็นสินค้านำเข้าที่ต้องทำการเปิดตรวจทุกกรณี และเสนอให้มีการควบคุมสินค้ามะพร้าวนำเข้าเพียงท่าเรือกรุงเทพมและท่าเรือแหลมฉบัง กรมศุลกากร รับผิดชอบ
1.3.2 เพิ่มความเข้มงวดในการใช้มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชเพื่อป้องกันการเข้ามาระบาดของโรคกรมวิชาการเกษตร
1.4 กำหนดให้สินค้ามะพร้าวและผลิตภัณฑ์เป็นสินค้าควบคุมและกำหนดมาตรการกำกับดูแลการเคลื่อนย้ายสินค้าดังกล่าว (ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (30 ตุลาคม 2561) เห็นชอบการกำหนดให้สินค้ามะพร้าวและผลิตภัณฑ์เป็นสินค้าควบคุมแล้ว) คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ รับผิดชอบ
1.5ให้มีแนวทางการรับซื้อเนื้อมะพร้าวในราคานำตลาด เพื่อแก้ไขปัญหามะพร้าวที่คงเหลืออยู่ในระบบ กรมการค้าภายใน รับผิดชอบฃ
2. การบริหารการนำเข้าน้ำมันถั่วเหลือง มะพร้าว (มะพร้าวผล และมะพร้าวฝอย) เนื้อมะพร้าวแห้ง และน้ำมันมะพร้าว ปี 2562 ภายใต้กรอบ WTO FTA และ AFTA (ยกเว้นการบริหารนำเข้ามะพร้าวผล) ให้บริหารการนำเข้าเช่นเดียวกับปี 2561 โดยหลักเกณฑ์การจัดสรรโควตาให้เป็นไปตามที่กรมการค้าต่างประเทศกำหนด ส่วนการบริหารนำเข้าสินค้ามะพร้าวผลจะส่งเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะอนุกรรมการบริหารจัดการสินค้ามะพร้าวภายใต้คณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนก่อนนำเสนอคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชในครั้งต่อไป กรมการค้าต่างประเทศ คณะอนุกรรมการบริหารจัดการสินค้ามะพร้าว รับผิดชอบ
3. ศึกษามาตรการปกป้องพิเศษภายใต้ความตกลงเกษตรของ WTO ในเรื่อง การปกป้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นเป็นพิเศษสำหรับสินค้ามะพร้าว (Special Safeguard Measure : SSG) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับผิดชอบ
16. เรื่อง มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติมผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติมผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตามที่กระทรวงการคลังเสนอสำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติมผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ วงเงินรวมทั้งสิ้น จำนวน 38,730 ล้านบาท ให้กระทรวงการคลังปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณโดยปรับมาตรการที่ใช้จ่ายจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งสำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 แล้ว จำนวน 40,000 ล้านบาท และขณะนี้ยังคงมีเหลือเพียงพอเพื่อดำเนินการตามมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติมฯ ในระยะแรก หากไม่เพียงพอเห็นควรให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินเพิ่มสำหรับกองทุนประชารัฐฯ เพื่อรองรับการดำเนินการตามมาตรการต่างๆตามขั้นตอนและกระบวนการต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
สาระสำคัญ
มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติมผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 4 มาตรการ ดังนี้
1. มาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปา
วัตถุประสงค์: เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ได้แก่ ค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปา อันจะส่งผลให้ผู้มีรายได้น้อยภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐมีภาระค่าครองชีพลดลงโดยมีข้อกำหนด ดังนี้
(1) กรณีค่าไฟฟ้า ให้ใช้ไฟฟ้าในวงเงิน 230 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน
(2) กรณีค่าน้ำประปา ให้ใช้น้ำประปาในวงเงิน 100 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวมีผลตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561 ถึงเดือนกันยายน 2562 ระยะเวลา 10 เดือน
กลุ่มเป้าหมาย: ผู้ผ่านคุณสมบัติการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 11.4 ล้านคน และผ่านการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติม ภายใต้โครงการไทยนิยมยั่งยืน 3.1 ล้านคน รวมทั้งหมด 14.5 ล้านคน ซึ่งทั้งหมดมีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คิดเป็นครัวเรือนประมาณ 8.2 ล้านครัวเรือน ทั้งนี้ 1 ครัวเรือนใช้ได้เพียง 1 สิทธิเท่านั้น การดำเนินการ:
(1) กรณีค่าไฟฟ้า ผู้มีรายได้น้อยใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 50 หน่วยต่อเดือน ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 3 เดือน ให้ใช้สิทธิค่าไฟฟ้าฟรีตามมาตรการที่มีอยู่ในปัจจุบัน แต่หากใช้ไฟฟ้าเกิน 50 หน่วยต่อเดือน ให้ใช้สิทธิตามวงเงินในมาตรการนี้ ทั้งนี้ ต้องไม่เกิน 230 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน กรณีที่ใช้เกินวงเงินที่กำหนด ผู้มีรายได้น้อยเป็นผู้รับภาระค่าไฟฟ้าทั้งหมด
(2) กรณีค่าน้ำประปา ให้ใช้ในวงเงินไม่เกิน 100 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน กรณีที่ใช้เกินวงเงินที่กำหนด ผู้มีรายได้น้อยเป็นผู้รับภาระค่าน้ำประปาทั้งหมด
โดยให้ผู้มีรายได้น้อยนำใบแจ้งค่าไฟฟ้าและใบแจ้งค่าน้ำประปาไปชำระที่สำนักงานการไฟฟ้านครหลวง สำนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สำนักงานการประปานครหลวง และสำนักงานการประปาส่วนภูมิภาค พร้อมทั้งแสดงบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยทุกสิ้นเดือนการไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปานครหลวง และการประปาส่วนภูมิภาค จะส่งบันทึกรายชื่อผู้มีรายได้น้อยที่ใช้ไฟฟ้าและน้ำประปาภายใต้วงเงินที่กำหนดให้กรมบัญชีกลาง เพื่อที่กรมบัญชีกลางจะนำเงินจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมมาจ่ายคืนผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในช่องกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ประมาณกลางเดือนของเดือนถัดไป ซึ่งผู้มีรายได้น้อยสามารถใช้ซื้อสินค้าและบริการผ่านเครื่องรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (เครื่อง EDC) แอปพลิเคชันถุงเงินประชารัฐ และถอนเงินสดจากเครื่องถอนเงินอัตโนมัติได้
2. มาตรการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในช่วงปลายปีให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
วัตถุประสงค์: เพื่อสนับสนุนให้ผู้มีรายได้น้อยมีเงินในการซื้อสินค้าและบริการเพิ่มเติมในเดือนธันวาคม 2561 เป็นจำนวน 500 บาทต่อคน (ได้รับครั้งเดียว) เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้มีรายได้น้อยในช่วงปลายปี 2561
กลุ่มเป้าหมาย: ผู้ผ่านคุณสมบัติการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 11.4 ล้านคน และผ่านการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมภายใต้โครงการไทยนิยมยั่งยืนจำนวน 3.1 ล้านคน รวมทั้งหมดจำนวน 14.5 ล้านคน
การดำเนินการ: กรมบัญชีกลางจะนำเงินจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ใส่ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในช่องกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งผู้มีรายได้น้อยสามารถใช้ซื้อสินค้าและบริการผ่านเครื่อง EDC แอปพลิเคชันถุงเงินประชารัฐ และถอนเงินสดจากเครื่องถอนเงินอัตโนมัติได้
3. มาตรการช่วยเหลือค่าเดินทางไปรับการรักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่นเกี่ยวกับสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย
วัตถุประสงค์: เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปรับการรักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย เป็นจำนวน 1,000 บาทต่อคน (ได้รับครั้งเดียว)
กลุ่มเป้าหมาย: ผู้ผ่านคุณสมบัติการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ และผ่านการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมภายใต้โครงการไทยนิยมยั่งยืน โดยมีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ระหว่างเดือนธันวาคม 2561 ถึงเดือนกันยายน 2562 จำนวน 2.2 ล้านคน
การดำเนินการ: กรมบัญชีกลางจะนำเงินจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ใส่ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในช่องกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งผู้มีรายได้น้อยสามารถใช้ซื้อสินค้าและบริการผ่านเครื่อง EDC แอปพลิเคชันถุงเงินประชารัฐ และถอนเงินสดจากเครื่องถอนเงินอัตโนมัติได้
4. มาตรการช่วยเหลือค่าเช่าบ้านสำหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย
วัตถุประสงค์: เพื่อบรรเทาภาระค่าเช่าที่อยู่อาศัยให้แก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย เป็นจำนวน 400 บาทต่อคนต่อเดือน ระหว่างเดือนธันวาคม 2561 ถึงเดือนกันยายน 2562
กลุ่มเป้าหมาย: ผู้ผ่านคุณสมบัติการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ และผ่านการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมภายใต้โครงการไทยนิยมยั่งยืน โดยมีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ระหว่างเดือนธันวาคม 2561 ถึงเดือนกันยายน 2562 และเช่าที่อยู่อาศัย โดยรวมถึงผู้สูงอายุที่ไม่มีที่อยู่อาศัยด้วย (ตามข้อมูลการลงทะเบียนของ ผู้มีรายได้น้อย) ซึ่ง ณ เดือนธันวาคม 2561 มีจำนวน 2.2 แสนคน และทยอยเพิ่มเป็น 2.3 แสนคน ณ เดือนกันยายน 2562
การดำเนินการ: กรมบัญชีกลางจะนำเงินจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและ สังคมใส่ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในช่องกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งผู้มีรายได้น้อยสามารถใช้ซื้อสินค้าและบริการผ่านเครื่อง EDC แอปพลิเคชันถุงเงินประชารัฐ และถอนเงินสดจากเครื่องถอนเงินอัตโนมัติได้
17. เรื่อง ขอรับการจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการจัดทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ให้กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลางใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายระยะเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม 2562 ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบแล้ว เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการจัดทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ผู้มีสิทธิตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมภายใต้โครงการไทยนิยม ยั่งยืน ในกลุ่มผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง หรือผู้ที่ไม่สามารถเดินทางมาลงทะเบียนได้ในปี 2560 ในกรอบวงเงิน 186,299,500 บาท ประกอบด้วย
1. ค่าใช้จ่ายในการผลิตบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 3,802,309 ใบ จำนวนเงิน 162,687,200 บาท
2. ค่าใช้จ่ายในการจัดส่งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 3,802,309 ใบ จำนวนเงิน 798,450 บาท
3. ค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการรายปี รวมค่าบริหารจัดการโครงการ ค่าควบคุมงาน และบริหารระบบต่าง ๆ รวมถึงการบริหารฐานข้อมูลและจัดทำ Dashboard & Data Analytics จำนวนเงิน 22,813,850 บาท
18. เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ช.ค.บ.) และการจ่ายบำเหน็จดำรงชีพ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราและวิธีการรับบำเหน็จดำรงชีพ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ออกตามความในพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 และที่แก้ไขเพิ่มเติม) และร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราและวิธีการรับบำเหน็จดำรงชีพ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ออกตามความในพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 และที่แก้ไขเพิ่มเติม) รวม 3 ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญ
1. ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....มีสาระสำคัญ คือ กำหนดให้ผู้ได้รับหรือมีสิทธิได้รับเบี้ยหวัดตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหม ผู้ได้รับหรือมีสิทธิได้รับบำนาญปกติ บำนาญพิเศษเพราะเหตุทุพพลภาพ บำนาญพิเศษหรือบำนาญตกทอดในฐานะทายาทหรือผู้อุปการะหรือผู้อยู่ในอุปการะ ตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการซึ่งได้รับเบี้ยหวัดหรือบำนาญรวมกันทุกประเภทและรวมกับ ช.ค.บ. แล้ว ต่ำกว่าเดือนละ 10,000 บาท ให้ได้รับ ช.ค.บ. เพิ่มขึ้นอีกในอัตราเดือนละเท่ากับส่วนต่างของจำนวนเงิน 10,000 บาท หักด้วยจำนวนรวมของเบี้ยหวัดหรือบำนาญทุกประเภทและ ช.ค.บ. ที่ได้รับอยู่
2. ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราและวิธีการรับบำเหน็จดำรงชีพ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ มีสาระสำคัญ คือ ขยายเพดานของวงเงินบำเหน็จดำรงชีพให้แก่ผู้รับบำนาญซึ่งมีอายุตั้งแต่ 70 ปี บริบูรณ์ขึ้นไป เพิ่มอีก 100,000 บาท จากเดิมให้ขอรับได้ในอัตรา 15 เท่าของบำนาญรายเดือนที่ได้รับ แต่ไม่เกิน 400,000 บาท เป็นให้ขอรับได้ในอัตรา 15 เท่าของบำนาญรายเดือนที่ได้รับแต่ไม่เกิน 500,000 บาท โดยหากผู้รับบำนาญได้เคยขอรับบำเหน็จดำรงชีพไปแล้ว ให้ขอรับได้ไม่เกินส่วนที่ยังไม่ครบตามสิทธิแต่เมื่อรวมกันแล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท
19. เรื่อง โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแห่งรัฐ (โครงการบ้านล้านหลัง)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการโครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแห่งรัฐ (โครงการบ้านล้านหลัง) ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับ ค่าใช้จ่ายที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์จะขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลเพื่อชดเชยส่วนต่างระหว่างรายได้ดอกเบี้ยรับตามแผนวิสาหกิจของธนาคารอาคารสงเคราะห์ กับรายได้ดอกเบี้ยรับจากโครงการ เป็นระยะเวลา 6 ปี วงเงินรวม 3,876.65 ล้านบาท ให้เป็นไปตามความเห็นสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังติดตามการดำเนินโครงการบ้านล้านหลังอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non – Performimg Loans : NPLs) เพิ่มขึ้นในระบบ รวมทั้งกำกับให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์พิจารณาการอนุมัติสินเชื่อด้วยความละเอียดรอบคอบ เหมาะสม โดยคำนึงถึงการให้สินเชื่อแก่ผู้กู้ที่ยังไม่มีที่อยู่อาศัยมาก่อนเป็นลำดับแรก เพื่อสร้างโอกาสและสนับสนุนประชาชนกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ไม่มีที่อยู่อาศัยได้มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยได้อย่างทั่วถึง และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับการอนุมัติสินเชื่อในโครงการให้ความช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ให้มีที่อยู่อาศัยในลักษณะเดียวกันกับที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติเห็นชอบไว้ก่อนหน้านี้ เช่น โครงการบ้านประชารัฐ และโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ เป็นต้น
2. เห็นชอบให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์แยกบัญชีมาตรการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Post Finance) เป็นโครงการตามนโยบายของรัฐบาล (Public Service Account : PSA) และไม่นับรวมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non – Performimg Loans : NPLs) ที่เกิดจากการดำเนินโครงการเฉพาะกรณีที่ผู้มีรายได้ต่อเดือนไม่เกิน 25,000 บาท และมีการผ่อนปรนเกณฑ์ด้านรายได้ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการในการคำนวณตัวชี้วัดด้านความสามารถในการบริหาร NPLs เป็นตัวชี้วัดผลการดำเนินงานของธนาคารอาคารสงเคราะห์ รวมทั้งให้สามารถนำค่าใช้จ่ายในการจัดทำโครงการฯ บวกกลับกำไรสุทธิเพื่อการคำนวณโบนัสพนักงานได้
3. เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการแล้ว ให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ในฐานะหน่วยงานของรัฐผู้ดำเนินโครงการจัดทำประมาณการต้นทุนทางการเงินและการบริหารจัดการที่รัฐจะต้องรับภาระทั้งหมดสำหรับกิจกรรม มาตรการหรือโครงการ และแจ้งให้คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐและกระทรวงการคลังทราบ และเมื่อสิ้นสุดโครงการแล้ว ให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์เสนอรายงานผลการดำเนินงานต่อคณะรัฐมนตรีและเปิดเผยให้สาธารณชนทราบ รวมทั้งเผยแพร่ผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแห่งรัฐ (โครงการบ้านล้านหลัง) ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ที่กระทรวงการคลังเสนอมาในครั้งนี้ เป็นการช่วยเหลือและสนับสนุนประชาชนให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์และจัดซื้อหรือปลูกสร้างที่อยู่อาศัย (Post Finance) ที่มีราคาไม่เกิน 1,000,000 บาท เป็นของตนเอง โดยมุ่งเน้นกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ กลุ่มคนวัยทำงานหรือประชาชนที่กำลังเริ่มต้นสร้างครอบครัว รวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุที่ไม่ต้องการมีภาระค่าใช้จ่ายเกินตัว โดย ธอส. สนับสนุนสินเชื่อที่อยู่อาศัยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้พิเศษและเงื่อนไขการให้สินเชื่อที่ผ่อนปรนตามนโยบายรัฐบาล วงเงินโครงการรวมทั้งสิ้น 50,000 ล้านบาท วงเงินต่อรายสูงสุดไม่เกิน 1,000,000 บาท ระยะเวลากู้ยืม 40 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 3 ต่อปี ในช่วง 5 ปีแรก สำหรับผู้กู้ที่มีรายได้ต่อเดือนไม่เกิน 25,000 บาท หรือดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 3 ต่อปี ในช่วง 3 ปีแรก สำหรับผู้กู้ที่มีรายได้ต่อเดือนเกิน 25,000 บาท รวมถึงการยกเว้นค่าธรรมเนียมต่าง ๆ สำหรับผู้กู้ที่มีรายได้ต่อเดือนไม่เกิน 25,000 บาท อีกทั้งในกรณีที่ผู้กู้มีเอกสารแสดงรายได้เพื่อคำนวณความสามารถในการกู้ไม่เพียงพอหรือไม่สามารถแสดงหลักฐานที่มาของรายได้ได้ ธอส. ได้กำหนดให้มีนโยบายที่จะผ่อนปรนพิเศษให้ เช่น กรณีที่ไม่มีหลักฐานทางการเงินเนื่องจากประกอบอาชีพอิสระ และมีรายได้ต่ำกว่าเดือนละ 25,000 บาท ให้ผู้กู้นำเอกสารหลักฐานรายได้และรายจ่ายค่าเช่าบ้านหรือการผ่อนชำระเงินดาวน์ไม่น้อยกว่า 12 เดือนมาประกอบการยื่นกู้ได้ หรือกรณีที่ไม่สามารถแสดงหลักฐานที่มาของรายได้ได้ ก็สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ ธอส. โรงเรียนการเงิน (โครงการที่ให้ความรู้และคำปรึกษาเกี่ยวกับการเข้าถึงสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย) เพื่อออมเงินอย่างสม่ำเสมอไม่น้อยกว่า 9 เดือน และสามารถมาขอกู้ในภายหลังได้เช่นกัน โดย ธอส. จะพิจารณาสมุดบัญชีเงินฝากหรือเอกสารในการจ่ายค่าเช่าบ้านหรือผ่อนชำระค่าสินค้า เพื่อนำมาคำนวณและพิจารณาความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ ซึ่งโดยปกติหากคนที่มีรายได้น้อยนำสมุดบัญชีเงินฝากไปยื่นกู้ธนาคารพาณิชย์อาจถูกปฏิเสธสินเชื่อได้ เนื่องจากไม่มีหลักฐานทางการเงินที่ชัดเจน ดังนั้น การผ่อนปรนพิเศษของ ธอส. ในลักษณะนี้ จึงถือเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้มีรายได้น้อยให้ประชาชนได้มีบ้านเป็นของตนเอง และมีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมที่มุ่งเน้นสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
20. เรื่อง มาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายในใช้จ่ายงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม 2562 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการเร่งรัดส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ ปี 2561 ตามมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์ม ปี 2561 ในกรอบวงเงิน 525,000,000 บาท โดยให้กรมการค้าภายในพิจารณาทบทวนการกำหนดปริมาณ เป้าหมาย และวงเงินค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมสอดคล้องกับระยะเวลาในการดำเนินการโครงการ รวมทั้งดำเนินการและตรวจสอบให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการ โครงการเร่งรัดการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ ปี 2561 ตามมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ ที่คณะอนุกรรมการเพื่อบริหารจัดการปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มด้านการตลาดมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2561 โดยเฉพาะการตรวจสอบคุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการและหลักฐานเอกสารต่าง ๆ ให้ครบถ้วนถูกต้องทุกขั้นตอน
สำหรับการกำหนดอัตราค่าใช้จ่ายขอให้กรมการค้าภายในปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอใช้งบประมาณรายจ่าย งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อแก้ไขหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี พ.ศ. 2559 ข้อ 3 ที่กำหนดว่าส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณรายจ่าย งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อแก้ไขหรือเยียวยา ตามหลักมนุษยธรรมในความเดือดร้อนเสียหายทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประชาชนหรือของผู้ประสบภัยอันเป็นสาธารณภัย ไม่ว่าจะเกิดจากธรรมชาติ มีผู้ทำให้เกิดขึ้น อุบัติเหตุ หรือเหตุอื่นใด ในกรณีที่การขอใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลางในลักษณะงบดำเนินการ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาความเหมาะสมอัตราค่าใช้จ่ายก่อน แล้วขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
สาระสำคัญของเรื่อง
มาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. การใช้น้ำมันปาล์มดิบในการผลิตกระแสไฟฟ้า
1.1 วิธีการ กระทรวงพลังงาน (พน.) โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบจากพื้นที่แหล่งผลิตที่สำคัญ เช่น กระบี่ สุราษฎร์ธานี ชุมพร เป็นต้น เพื่อนำไปใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา
1.2 เป้าหมาย กฟผ. รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ จำนวน 160,000 ตัน ภายในระยะเวลา 2 – 3 เดือน เพื่อนำไปเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 576 ล้านหน่วย
1.3 วงเงินชดเชยส่วนต่าง กฟผ. ขอรับเงินชดเชยส่วนต่างระหว่างต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้น้ำมันปาล์มดิบเป็นเชื้อเพลิงกับรายได้จากการขายกระแสไฟฟ้า ในวงเงิน 525ล้านบาท
1.4 ระยะเวลารับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ พฤศจิกายน 2561 – กุมภาพันธ์ 2562(รวมระยะเวลาในการจัดซื้อจัดจ้างตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560)
1.5 ระยะเวลาโครงการ พฤศจิกายน 2561 – พฤษภาคม 2562
1.6 ประมาณการจ่ายจากงบกลางฯ ปี 2562 เดือนกุมภาพันธ์ 175 ล้านบาท เดือนมีนาคม 175 ล้านบาท เดือนเมษายน 175 ล้านบาท รวม525ล้านบาท
1.7 หน่วยงานดำเนินการ กฟผ.
1.8 หน่วยงานเบิกจ่ายเงิน กรมการค้าภายใน
1.9 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
(1) ปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มดิบส่วนเกินในระบบลดลงไม่น้อยกว่า 160,000 ตันส่งผลให้ปริมาณการผลิตน้ำมันปาล์ม ความต้องการใช้และสต็อกน้ำมันปาล์มในประเทศอยู่ในระดับสมดุล
(2) ราคาผลปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มหลังดำเนินมาตรการปรับสูงขึ้นเมื่อเทียบกับราคาก่อนดำเนินมาตรการและมีเสถียรภาพมากขึ้น
(3) เพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออก ช่วยสร้างโอกาสและช่องทางการส่งออกน้ำมันปาล์มของไทยในระยาว
2. การส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ
2.1 วิธีการและวงเงินสนับสนุน คงหลักการตามมาตรการเดิมที่นายกรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบให้ พณ. ใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นในกรอบวงเงิน 525 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการเร่งรัดส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ ปี 2561 ตามมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ ด้วยการสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ส่งออกไม่เกินกิโลกรัมละ 1.75 บาท
2.2 กรอบระยะเวลาและเงื่อนไขราคา มอบคณะอนุกรรมการบริหารและกำกับดูแลมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ ที่ กนป. แต่งตั้ง พิจารณาบริหารและกำกับดูแลให้สอดคล้องกับการอนุมัติงบกลางและสถานการณ์การผลิตการตลาดที่ปรับเปลี่ยนต่อไป
2.3 หน่วยงานดำเนินการ กรมการค้าภายใน
2.4 หน่วยงานเบิกจ่ายเงิน กรมการค้าภายใน
ต่างประเทศ
21. เรื่อง รายงานผลการประชุมการพิจารณากำหนดสิทธิการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยว: สิทธิขอรับการตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa on Arrival – VoA) และสิทธิการยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยว พำนักได้ไม่เกิน 30 วัน (ผ.30)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมติที่ประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เรื่อง การพิจารณากำหนดสิทธิการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยว: สิทธิขอรับการตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa on Arrival – VoA) และสิทธิการยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยว พำนักได้ไม่เกิน 30 วัน (ผ.30) เมื่อวันที่8 สิงหาคม 2560 และ 26 เมษายน 2561 ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. กำหนดให้สิทธิขอรับการตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง (VoA) เพิ่มเติม แก่คนชาติของเม็กซิโก วานูอาตู นาอูรู และจอร์เจีย
2. กำหนดให้สิทธิ ผ.30 แก่คนชาติลัตเวีย ลิทัวเนีย อันดอร์รา ซานมารีโน ยูเครน มัลดีฟส์ และมอริเชียส
3. เห็นชอบการกำหนดรายชื่อประเทศที่ได้รับสิทธิ ผ.30 และสิทธิ VoA เพิ่มเติม โดยพิจารณายกเว้นเรื่องหลักประติบัติต่างตอบแทนกรณีนาอูรู ลัตเวีย ลิทัวเนีย อันดอร์รา ซานมารีโน ยูเครน และเม็กซิโก
4. ยกเลิกการให้สิทธิ VoA แก่คนชาติโอมาน เช็ก ฮังการี โปแลนด์ ลิกเตนสไตน์ เอสโตเนีย สโลวีเนีย สโลวัก ลัตเวีย ลิทัวเนีย ซานมารีโน อันดอร์รา ยูเครน มัลดีฟส์ และมอริเชียส เนื่องจากได้รับทั้งสิทธิ VoA และสิทธิ ผ.30 ให้เหลือเพียงสิทธิ ผ.30 ซึ่งเป็นสิทธิที่ดีกว่า VoA เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งโดยปกติจะอนุญาตให้พำนักตามสิทธิที่เหนือกว่า (ผ.30)
5. อนุมัติมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดรายชื่อประเทศที่คนชาติจะขอรับการตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง (VoA) เพื่อปรับปรุงรายชื่อประเทศที่ได้รับสิทธิ VoA ทั้งหมด โดยจะเพิ่มรายชื่อประเทศเม็กซิโก วานูอาตู นาอูรู จอร์เจีย ซึ่งเป็นประเทศที่ได้รับสิทธิ VoA และไม่บรรจุรายชื่อ 15 ประเทศที่ได้รับสิทธิ VoA ซ้ำซ้อนกับ ผ.30 ได้แก่ โอมาน เช็ก ฮังการี โปแลนด์ ลิกเตนสไตน์ เอสโตเนีย สโลวีเนีย สโลวัก ลัตเวีย ลิทัวเนีย ซานมารีโน อันดอร์รา ยูเครน มัลดีฟส์ และมอริเชียส ในประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ ฉบับใหม่ และประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
กต. รายงานว่า ข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิ VoA และการยกเว้นการตรวจลงตราประเภทต่าง ๆ ในปัจจุบัน มีดังนี้
1. สิทธิ VoA สำหรับผู้ถือหนังสือเดินทาง หรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางของประเทศตามที่ระบุในประกาศกระทรวงมหาดไทย กำหนดรายชื่อประเทศที่คนชาติเดินทางเข้ามาประเทศไทยเพื่อการท่องเที่ยว สามารถขอรับการตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมืองที่กำหนดไว้ โดยอนุญาตให้พำนักในราชอาณาจักรได้ไม่เกิน 15 วัน ปัจจุบันประเทศไทยให้สิทธิ VoA แก่ 29 ประเทศ และ 1 เขตเศรษฐกิจ (ไต้หวัน)
2. สิทธิ ผ.30 เป็นมาตรการยกเว้นการตรวจลงตราฝ่ายเดียวของไทย สำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางของประเทศตามที่ระบุในประกาศกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเข้ามาในประเทศไทยเพื่อการท่องเที่ยว จะได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราและอนุญาตให้พำนักในราชอาณาจักรได้ไม่เกิน 30 วัน ปัจจุบันประเทศไทยให้สิทธิ ผ.30 แก่ 48 ประเทศ และ 1 เขตบริหารพิเศษ (ฮ่องกง)
3. สิทธิตามความตกลงยกเว้นการตรวจลงตรา สำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางของประเทศที่ได้ทำความตกลงทวิภาคีว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตรากับไทยซึ่งถือหนังสือเดินทางตามประเภทที่ระบุไว้ในความตกลงฯ (ทูต ราชการ หรือธรรมดา) สามารถเดินทางเข้าราชอาณาจักรได้โดยไม่ต้องขอรับการตรวจลงตรา โดยจะได้รับอนุญาตให้พำนักตามระยะเวลาที่ระบุไว้ตามความตกลง คือ 14 วัน 30 วัน หรือ 90 วัน ทั้งนี้ ปัจจุบันประเทศไทยได้จัดทำความตกลงยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการกับ 54 ประเทศ และ 2 เขตบริหารพิเศษ (ฮ่องกงและมาเก๊า) และความตกลงยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดากับ 11 ประเทศ และ 2 เขตบริหารพิเศษ ( ฮ่องกงและมาเก๊า)
22. เรื่อง การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสาธารณรัฐซูดาน
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council: UNSC) ที่ 2418 (ค.ศ. 2018) และที่ 2428 (ค.ศ. 2018)
2. กรณีที่ UNSC ได้ออกข้อมติเพื่อคงไว้ซึ่งมาตรการลงโทษเกี่ยวกับสาธารณรัฐซูดานเป็นประจำทุกปี และเนื้อหาของข้อมติใหม่มิได้เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญ ของมาตรการลงโทษที่มีอยู่เดิม เห็นชอบให้ กต.ดำเนินการไปได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา และหากกรณีที่ UNSC จะรับรองข้อมติเพื่อเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหรือยกเลิกมาตรการลงโทษกรณีสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน เห็นชอบให้ กต. เสนอเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหรือยกเลิกมาตรการลงโทษดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
3. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม (กห.) กระทรวงการคลัง (กค.) กระทรวงคมนาคม (คค.) กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) สำนักข่าวกรองแห่งชาติ (สขช.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ถือปฏิบัติและปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการลงโทษสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน โดยเฉพาะรายชื่อบุคคลและองค์กรที่ต้องถูกมาตรการลงโทษให้ทันสมัยตามข้อมูลเว็บไซต์ของสหประชาชาติ https://www.un.org/sc/suborg/en/sanctions/2206) และแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้ กต. ทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติต่อไป ทั้งนี้ สหประชาชาติจะปรับปรุงรายชื่อบุคคลและองค์กรที่ถูกมาตรการลงโทษภายใต้หัวข้อ “Sanctions List Materials” เป็นระยะ
23. เรื่อง การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติกับสาธารณรัฐมาลี
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council: UNSC) ที่ 2432 (ค.ศ. 2018) เกี่ยวกับสาธารณรัฐมาลี โดย UNSC ได้ออกข้อมติเพื่อคงไว้ซึ่งมาตรการลงโทษสาธารณรัฐมาลี และเนื้อหาของข้อมติมิได้เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของมาตรการลงโทษที่มีอยู่เดิม จึงให้ดำเนินการตามข้อมติดังกล่าว จนกว่า UNSC จะรับรองข้อมติเพื่อเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหรือยกเลิกมาตรการลงโทษกรณีสาธารณรัฐมาลี ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ
โดยมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ (สขช.) สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ถือปฏิบัติและปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับรายชื่อบุคคลและองค์กรที่ถูกมาตรการห้ามเดินทางและอายัดทรัพย์สินให้เป็นไปตามรายการล่าสุด เพื่อดำเนินมาตรการห้ามเดินทางและอายัดทรัพย์สิน ตามข้อมูลเว็บไซต์ของสหประชาชาติ https://www.un.org/sc/suborg/en/sanctions/2374)
สาระสำคัญของเรื่อง
กต. รายงานว่า สถานการณ์ความไม่สงบและความรุนแรงในสาธารณรัฐมาลียังคงดำเนินอยู่ UNSC จึงได้รับรองข้อมติที่ 2432 (ค.ศ. 2018) ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการคงมาตรการการห้ามเดินทางและการอายัดทรัพย์สินต่อสาธารณรัฐมาลีตามที่ระบุไว้ในข้อมติที่ 2374 (ค.ศ. 2017) ตลอดจนข้อยกเว้นที่เกี่ยวข้องออกไปจนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2562 ทั้งนี้ ประเทศไทยในฐานะรัฐสมาชิกสหประชาชาติ จึงมีพันธกรณีที่จะต้องดำเนินการตามข้อมติ UNSC ดังกล่าว ซึ่งมีผลผูกพันไทยอย่างครบถ้วน โดยให้เป็นไปตามขอบเขตของกฎหมายภายในของไทยและพันธกรณีระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง
24. เรื่อง ขออนุมัติจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการปรึกษาหารือและความร่วมมือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือแห่งสาธารณรัฐโมซัมบิก
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการปรึกษาหารือและความร่วมมือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือแห่งสาธารณรัฐโมซัมบิก และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจ ฯ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่จะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินความสัมพันธ์ แต่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้ กต. สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง
สาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคี และพัฒนาความร่วมมือระหว่างไทยและโมซัมบิก โดยจะส่งเสริมให้มีการปรึกษาหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นความร่วมมือทวิภาคี ซึ่งครอบคลุมทุกสาขาที่ทั้งสองฝ่ายมีความสนใจร่วมกัน ตลอดจนประเด็นในระดับภูมิภาคและระดับระหว่างประเทศอย่างสม่ำเสมอ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ลงนาม โดยจะมีผลบังคับใช้จนกว่าภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะแจ้งบอกเลิกล่วงหน้าอย่างน้อย 60 วัน
โมซัมบิกเป็นแหล่งลงทุนที่มีมูลค่าสูงที่สุดของไทยในภูมิภาคแอฟริกา โดยมีมูลค่ารวมประมาณ 6.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการลงทุนขนาดใหญ่ใน 3 สาขา แก่ (1) สาขาพลังงาน (2) สาขาการท่องเที่ยว และ(3) สาขาโครงสร้างพื้นฐาน นอกจากนี้ โมซัมบิกยังเป็นตลาดข้าวที่สำคัญของไทย มีปริมาณนำเข้ากว่า 400,000ตันต่อปี เป็นอันดับที่ 5 ของภูมิภาคแอฟริกา และอันดับที่ 8 ของโลก รวมทั้งยังเป็นแหล่งวัตถุดิบอัญมณีที่สำคัญที่สุดของไทย
25. เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อร่างข้อตกลงระหว่างประเทศว่าด้วยผู้ลี้ภัยและร่างข้อตกลงระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานที่ปลอดภัย เป็นระเบียบ และปกติ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบต่อร่างข้อตกลงระหว่างประเทศว่าด้วยผู้ลี้ภัย (Global Compact on Refugees – GCR) และร่างข้อตกลงระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานที่ปลอดภัย เป็นระเบียบ และปกติ ( Global Compact for Safe, Orderly and Regular Migration – GCM) ที่ผ่านกระบวนการเจรจาแล้ว หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนมีการรับรอง ให้คณะผู้แทนไทยสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง
2. อนุมัติให้คณะผู้แทนไทยในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ 73 ร่วมรับรอง GCR ซึ่งจะมีการพิจารณาพร้อมกับข้อมติประจำปีเรื่องสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยฯ ในช่วงการประชุมสมัชชาฯ ที่นครนิวยอร์ก ในเดือนพฤศจิกายน 2561
3. อนุมัติให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมระดับสูงระหว่างรัฐเพื่อรับรอง GCM ระหว่างวันที่ 10 – 11 ธันวาคม 2561 ที่เมืองมาร์ราเกช ราชอาณาจักรโมร็อกโก ร่วมรับรอง GCM ในระหว่างการเข้าร่วมประชุมดังกล่าว
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ข้อตกลงระหว่างประเทศว่าด้วยผู้ลี้ภัย (Global Compact on Refugees – GCR) เป็นเอกสารที่ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย โดยระบุรายละเอียดแนวทางการตอบสนองการเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ของผู้ลี้ภัยอย่างครอบคลุมและคาดการณ์ได้ และให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนประเทศและชุมชนผู้รับผู้ลี้ภัยบนพื้นฐานของหลักการความร่วมมือระหว่างประเทศ (International cooperation) และหลักการการแบ่งเบาภาระและความรับผิดชอบ (burden – and responsibility - sharing) ที่เป็นธรรมมากยิ่งขึ้น โดยระบุวัตถุประสงค์ 4 ประการ ได้แก่ (ก) ลดแรงกดดันที่มีต่อประเทศผู้รับ (ข) ยกระดับศักยภาพในการพึ่งพาตนเองของผู้ลี้ภัย (ค) เพิ่มช่องทางในการไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่สาม และ (ง) สนับสนุนเงื่อนไขต่าง ๆ ในประเทศต้นทางเพื่อการส่งกลับอย่างปลอดภัยและมีศักดิ์ศรี
2. ข้อตกลงระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานที่ปลอดภัย เป็นระเบียบ และปกติ ( Global Compact for Safe, Orderly and Regular Migration – GCM) เป็นเอกสารที่ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย โดยระบุรายละเอียดแนวทางบริหารจัดการการโยกย้ายถิ่นฐานที่ปลอดภัยและถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งสอดคล้องกับผลประโยชน์ของไทย โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงการเป็นประเทศต้นทาง ทางผ่าน และปลายทางของไทย
26. เรื่อง การขอความเห็นชอบคณะรัฐมนตรีต่อเอกสารผลลัพธ์การประชุมรัฐมนตรีกระบวนการโคลัมโบครั้งที่ 6
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของรัฐมนตรีแรงงานกระบวนการโคลัมโบทั้ง3 ฉบับ ได้แก่ 1) ร่างปฏิญญากระบวนการโคลัมโบระดับรัฐมนตรี (Colombo Process Ministerial Declaration) 2) ร่างเอกสารแนวคิดเกี่ยวกับการจัดตั้งคณะกรรมการประสานงานกระบวนการโคลัมโบ (Concept note on formation of a CP Coordination Committee : CP CC) และ 3) ร่างประเด็นสาระสำคัญเพื่อข้อตกลงระดับทวิภาคีด้านแรงงาน (Essential elements for a bilateral labour agreement) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายรับรองร่างเอกสารผลลัพธ์ดังกล่าว ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารผลลัพธ์ ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญ หรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงแรงงานสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ
สาระสำคัญของร่างเอกสารผลลัพธ์ดังกล่าวสรุป ดังนี้
1. ร่างปฏิญญากระบวนการโคลัมโบระดับรัฐมนตรี (Colombo Process Ministerial Declaration) ประกอบด้วย
1) ความคืบหน้าการดำเนินงานของประเด็นหลักความร่วมมือใน 5 สาขาภายใต้กระบวนการโคลัมโบ และการดำเนินงานต่อไป ซึ่งได้แก่
ก. กระบวนการยอมรับทักษะฝีมือและคุณวุฒิ ซึ่งมีจีน อัฟกานิสถาน อินเดีย อินโดนีเซีย และปากีสถานเป็นสมาชิก โดยศรีลังกาทำหน้าที่ประธาน
ข. การจัดให้มีการจัดหางานที่มีจริยธรรม ซึ่งมีเนปาล ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา ไทย และเวียดนามเป็นสมาชิก โดยบังกลาเทศทำหน้าที่ประธาน
ค. การอบรมก่อนการเดินทางไปทำงานในต่างประเทศและการเสริมสร้างความเข้มแข็งซึ่งมีบังกลาเทศ อินโดนีเซีย ปากีสถาน ศรีลังกา และเวียดนามเป็นสมาชิก โดยฟิลิปปินส์เป็นประธาน
ง. การส่งเสริมเรื่องการส่งเงินกลับภูมิลำเนาอย่างปลอดภัยและลดค่าใช้จ่ายใน การส่งเงินกลับ ซึ่งมีบังกลาเทศ เนปาล ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา และเวียดนามเป็นสมาชิก โดยปากีสถานเป็นประธาน
จ. การวิเคราะห์ตลาดแรงงาน ซึ่งมีอัฟกานิสถาน จีน อินเดีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เป็นสมาชิก โดยไทยเป็นประธาน
รวมถึงประเด็นหลักความร่วมมือในอีก 4 สาขาเพิ่มเติม ได้แก่ สุขภาพและการโยกย้ายถิ่นฐาน การปฏิบัติเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ที่เกี่ยวข้องกับการโยกย้ายถิ่นฐาน การส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศของแรงงานโยกย้ายถิ่นฐานหญิง และการสนับสนุนแรงงานโยกย้ายถิ่นฐานของกงสุล
2) การพิจารณารับรองข้อตกลงระหว่างประเทศว่าด้วยการโยกย้ายถิ่นฐานที่ปลอดภัยเป็นระเบียบและปกติ ซึ่งเป็นกรอบแผนงานเพื่อบริหารจัดการเรื่องการโยกย้ายถิ่นฐาน (Global Compact for Safe, Orderly and Regular Migration: GCM) โดยเฉพาะในประเด็นที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานภายใต้ประเด็นหลักความร่วมมือข้างต้น
3) สนับสนุนการทำงานของ Colombo Process Technical Support Unit (CPTSU) ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายเลขานุการสนับสนุนการดำเนินงานของคณะทำงานประเด็นหลักความร่วมมือทั้ง 5 สาขา
4) ส่งเสริมความร่วมมืออย่างต่อเนื่องกับประเทศผู้ส่งและเวทีการเจรจาหารืออื่น รวมถึงการเจรจาหารืออาบูดาบี และสหภาพยุโรป ฯลฯ
2. ร่างเอกสารแนวคิดเกี่ยวกับการจัดตั้งคณะกรรมการประสานงานกระบวนการโคลัมโบ (Concept note on formation of a CP Coordination Committee : CP CC) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการประสานงานที่สอดคล้องกันอย่างมีประสิทธิภาพของ Thematic Working Group (TAWG) ทั้ง 5 คณะ(ได้แก่ กระบวนการยอมรับทักษะฝีมือและคุณวุฒิ การจัดให้มีการจัดหางานที่มีจริยธรรม การอบรมก่อนการเดินทางไปทำงานในต่างประเทศและการเสริมสร้างความเข้มแข็ง การส่งเสริมเรื่องการส่งเงินกลับภูมิลำเนาอย่างปลอดภัย และลดค่าใช้จ่ายในการส่งเงินกลับและการวิเคราะห์ตลาดแรงงาน) เพื่อให้การโยกย้ายถิ่นฐานด้านแรงงานเกิดประโยชน์ทั้งประเทศผู้ส่งและผู้รับแรงงาน
3. ร่างประเด็นสาระสำคัญเพื่อข้อตกลงระดับทวิภาคีด้านแรงงาน (Essential elements for a bilateral labour agreement) เพื่อเป็นกรอบแนวทางสำหรับประเทศสมาชิกกระบวนการโคลัมโบ ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งแรงงานในการจัดทำข้อตกลงทวิภาคีด้านการจัดส่งแรงงานกับประเทศผู้รับแรงงาน เพื่อส่งเสริมให้เกิดการโยกย้ายด้านแรงงานที่ปลอดภัย เป็นระเบียบและเป็นปกติ และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
แต่งตั้ง
27. เรื่อง ขอรับโอนข้าราชการเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี(สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมติอนุมัติตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอรับโอน นางสาวสุรุ่งลักษณ์ เมฆะอำนวยชัย ที่ปรึกษาการพัฒนาระบบราชการ (นักพัฒนาระบบราชการทรงคุณวุฒิ) สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักนายกรัฐมนตรี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง โดยผู้มีอำนาจสั่งบรรจุทั้งสองฝ่ายได้ตกลงยินยอมในการโอนด้วยแล้ว
28. เรื่อง ขอรับโอนข้าราชการเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ ก.พ.ร. (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอรับโอน นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการ ก.พ.ร. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง โดยผู้มีอำนาจสั่งบรรจุทั้งสองฝ่ายได้ตกลงยินยอมในการโอนข้าราชการดังกล่าว
29. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอรับโอน นายเกริกพันธุ์ ฤกษ์จำนง เอกอัครราชทูตประจำกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมาดริด ราชอาณาจักรสเปน ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างเนื่องจากผู้ครองตำแหน่งเดิมเกษียณอายุราชการ ทั้งนี้ การแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับ
30. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศ จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. นางสาวมรกต ศรีสวัสดิ์ รองอธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย
2. นางสาวพัชรี พุ่มพชาติ รองอธิบดีกรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบัวโนสไอเรส สาธารณรัฐอาร์เจนตินา
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างเนื่องจากผู้ครองตำแหน่งเดิมเกษียณอายุราชการ ซึ่งการแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับ
31. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงอุตสาหกรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. นายวันชัย พนมชัย รองเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
2. นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
32. เรื่อง เสนอขอแต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) เสนอแต่งตั้ง นายนที ขลิบทอง ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 เป็นต้นไป
33. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ จำนวน 3 คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี ดังนี้
1. นางชลัยพร อมรวัฒนา ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน การคลัง การบริหารหนี้สาธารณะ และการงบประมาณ
2. นายชโยดม สรรพศรี ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน การคลัง การบริหารหนี้สาธารณะ และการงบประมาณ
3. นายประสงค์ วินัยแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 เป็นต้นไป
34. เรื่อง แต่งตั้งผู้แทนองค์กรเอกชนเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ แต่งตั้งผู้แทนองค์กรเอกชนเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ จำนวน 5 คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี ดังนี้ 1. นางเสาวนีย์ ประทีปทอง 2. นางธิดา ศรีไพพรรณ์3. ศาสตราจารย์พงษ์ศิริ ปรารถนาดี 4. นายเฉลิม อินทชัยศรี 5. นายมงคล สุมาลี ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 เป็นต้นไป
35. เรื่อง แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ รวม 7 คน แทนประธานกรรมการและกรรมการเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2561 ดังนี้
1. นายพงศ์บุณย์ ปองทอง (ผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ประธานกรรมการ
2. นายณพงศ์ ศิริขันตยกุล (เป็นบุคคลในบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ) กรรมการ
3. นายอนุพร อรุณรัตน์ กรรมการ
4. นายวิษณุ ตัณฑวิรุฬห์ กรรมการ
5. นายประสิทธิ์ วังภคพัฒนวงศ์ กรรมการ
6. นางนวลพรรณ ล่ำซำ (เป็นบุคคลในบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ) กรรมการ
7. นางภัทรพร วรทรัพย์ (ผู้แทนกระทรวงการคลัง) กรรมการ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 เป็นต้นไป
36. เรื่อง แต่งตั้งผู้แทนกระทรวงการคลังเป็นกรรมการในคณะกรรมการการไฟฟ้านครหลวง
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้ง นางสาววิไล ตันตินันท์ธนา ผู้แทนกระทรวงการคลัง เป็นกรรมการในคณะกรรมการการไฟฟ้านครหลวง แทน นายสุวิชญ โรจนวานิช ผู้แทนกระทรวงการคลังเดิมที่ลาออก เนื่องจากเกษียณอายุราชการ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 เป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี