21 พ.ย.61 นายคณวัฒน์ จันทรลาวัณย์ หรือหมอเอ้ก หนึ่งในกลุ่ม “New Dem คนรุ่นใหม่คิดนอกกรอบ ของพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) โพสต์เฟชบุ๊กว่าด้วยเรื่องของกัญชา โดยระบุว่า
“เมื่อวันที่ 13 ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสพูดถึงเรื่องการเปิดการค้ากัญชา โดยพูดถึงการปลดล๊อคกัญชาที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ ว่าคำว่า ‘ปลดล๊อค’ ที่กำลังพูดถึงกันนั้นเป็นการปลดล๊อคแบบใด หลังจากที่ผมพูดตอนเช้าก็มีข่าวว่า รัฐบาลได้ผ่านเรื่องของการปลดล๊อคในตอนบ่ายพอดิบพอดี แล้วก็มีคนทั้งหน้าไมค์ หลังไมค์ รวมไปถึงส่งข้อความไปทางพ่อแม่ผม มีทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย กับการที่ผมพยายามผลักดันเรื่องของการเสพย์กัญชาเสรี
ผมอาจไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก แต่ผมไม่ได้พูดถึงการเสพย์ครับ
สิ่งที่ผมอยากจะสื่อก็คือ ตอนนี้เหมือนกับว่าเรากำลังจะมาถูกทาง โอกาสของประเทศไทยในการเป็นผู้เล่นหลักของตลาดกัญชาโลกก็กำลังจะเปิดขึ้น รัฐบาลก็ดูจะให้ความสำคัญและอยากผลักดันเรื่องของกัญชา ซึ่งก็ก่อให้เกิดการถกเถียงว่าจะให้ใช้ 1. ทางการแพทย์เท่านั้น หรือ 2.ใช้ทั้งทางการแพทย์และใช้สันทนาการได้ หรือแม้กระทั่งถกเถียงกันว่าถ้าทางการแพทย์จะใช้ในกรณีใดได้บ้าง ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการถกเถียงที่ไม่รู้ว่าจะจบลงตรงไหน
ต้องเรียนอย่างนี้ครับว่า ในปัจจุบันมุมมองกัญชาในหลายประเทศเปลี่ยนไป กัญชาไม่ใช่พืชที่เป็นสารเสพย์ติดอีกต่อไป แต่กัญชาได้กลายไปเป็น “พืชเศรษฐกิจ” ไปแล้ว หลายประเทศเปิดโอกาสให้มีการปลูก การผลิต การสกัด ให้ใช้ในทางการแพทย์ รวมถึงบางประเทศที่มีการเปิดให้มีการใช้เพื่อสันทนาการ หรือเพื่อความบันเทิงได้ (เช่น แคนาดา หรือ บางรัฐในสหรัฐอเมริกา)
สิ่งที่ผมคิดว่าเป็นความกังวลของหลายๆท่าน คือว่า ผลของการเสพย์กัญชาเพื่อความบันเทิงต่อผลกระทบทางด้านสุขภาพของคนในประเทศ ซึ่งตรงนี้ยังไม่มีการศึกษาที่ได้คำตอบที่ชัดเจนนักที่จะยืนยันว่ามีความเกี่ยวข้องกับอันตรายต่อสุขภาพโดยรวมของประชาชน ผลวิจัยที่ผ่านๆมายังเป็นการศึกษาในต่างประเทศเกือบทั้งหมด ราชวิทยาลัยด้านจิตแพทย์ของไทยก็ออกจดหมายเปิดผนึกถึงผลเสียของกัญชา อาจารย์แพทย์หรือคนในรัฐบาลก็ออกมาสนับสนุน ถกเถียงกันให้ขวัก
จนผมรู้สึกว่าเรากำลังให้ความสนใจกันผิดจุดอยู่หรือเปล่า
สิ่งที่ผมคิดว่าควรจะพิจารณาเป็นสำคัญและไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย คือ เรื่องของการปลูก การผลิต การสกัด (รวมถึง supply chain อื่นๆ) สิ่งนี้ต่างหากที่ผมอยากให้เปิดเสรี โดยที่ประชาชนหรือเอกชนสามารถที่จะทำได้เอง รัฐผันตัวเองไปเป็นผู้คุมกฏอย่างจริงจัง คอยดูแลเรื่องของมาตรฐานในการผลิต คุณภาพของผลผลิต ความปลอดภัย รวมถึงไม่ให้ประชาชนหรือเอกชนใดผูกขาดตลาดได้ทั้งหมด เหตุผลก็เพราะว่า เรากำลัง “แข่งขัน” อยู่ครับ เรากำลังแข่งขันกับเวลา เรากำลังแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน เรากำลังแข่งขันกับประเทศอื่นๆในโลกที่ต่างก็จ้องมองมาที่ตลาดกัญชาอยู่เช่นเดียวกัน การเปิดเสรีในการผลิต การปลูก หรือการสกัด ให้กับประชาชนหรือเอกชนจะเป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับประเทศครับ เพราะเมื่อมีการแข่งขันก็ต้องมีการพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นสิ่งที่เราควรจะรีบให้ความสำคัญคือการเพิ่ม “ประสิทธิภาพ” หากต้องการจะให้ไทยเป็นผู้นำในเรื่องของกัญชาครับ สิ่งที่ผมอยากเสนอให้กับรัฐหรือผู้ที่จะทำหน้าที่รัฐต่อไปในการผลักดันทิศทางของการพัฒนากัญชาบ้านเรามีอยู่ 3 อย่างครับ
1. รัฐควรเปิดเสรีการปลูก ผลิต การสกัด ไม่ใช่ผูกขาดอยู่แค่กับรัฐที่เดียว หรือ ให้เฉพาะเอกชนบางรายที่รัฐเลือกมาร่วมครับ
2. รัฐจะต้องส่งเสริมการวิจัยสายพันธุ์กัญชา รวมถึงวิจัยผลิตภัณฑ์ และปกป้องสิทธิบัตรสายพันธุ์กัญชาของไทยครับ (ในเวลานี้ จนกว่าเราจะได้ข้อสรุปว่าเราจะเดินหน้าต่อในทิศทางใด)
3. รัฐจะต้องเป็นทัพหน้าให้กับประชาชนหรือเอกชนในการไปเปิดตลาดยังต่างประเทศครับ ใช้เครือข่ายทางพาณิชย์ หรือ หอการค้า ที่เรามีให้เป็นประโยชน์ครับ
ซึ่งประจวบเหมาะพอดีกับนิตยสาร Economist ปกนี้พูดถึง การปฏิวัติครั้งถัดไปของทุนนิยม ซึ่งผมคิดว่าน่าสนใจและสามารถนำมาปรับใช้กับเรื่องกัญชา (หรือเรื่องของการพัฒนานวัตกรรมอื่นๆ) ได้พอดีครับ เค้าบอกว่าสิ่งที่รัฐควรจะทำหรือสนับสนุนในการเพิ่ม “ความสามารถในการแข่งขัน” นั้นมีอยู่ 3 อย่างครับ
1. รัฐควรจะให้ความสำคัญในเรื่องของ ทรัพย์สินทางปัญญา ให้ถูกทางครับ การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญานี้ไม่ใช่เพื่อปกป้องผู้เล่นเดิมที่ผูกขาดตลาด แต่เพื่อเป็นการกระตุ้นเรื่องของการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆให้ได้
2. รัฐควรจะทำลายสิ่งกีดขวางในการเข้าสู่ตลาดครับ (barrier to entry) ผมเข้าใจว่าการให้ใบอนุญาต (license) นั้นผู้ที่ออกจะเป็น ปปส. เป็นหลัก ซึ่งตรงนี้ต้องดูให้ดีครับ ว่าเราจะทำอย่างไร ไม่ให้ตรงนี้เป็นการ “ล๊อคสเป๊ค” ให้กับเอกชนบางรายเพียงเท่านั้น และจะดียิ่งขึ้นหากรัฐจะสนับสนุนและให้ใบอนุญาต ผู้ที่จะปลูก ผลิต หรือสกัด จะต้องมีการทำการวิจัยและพัฒนาร่วมด้วยเสมอครับ (R&D) เพื่อทำให้มีการเพิ่มประสิทธิภาพของอุตสาหกรรมกัญชาของไทย
3. รัฐจะต้องบังคับใช้กฎหมายการห้ามผูกขาดทางการค้า (ผมก็พึ่งทราบเมื่อไม่นานว่าเรามีกฎหมายข้อนี้มาสักพักแล้วครับ ไม่แน่ใจว่าบังคับไปกี่รายแล้ว) รัฐสามารถที่จะเข้าไปตรวจสอบและหมั่นคอยเช็คอยู่เสมอว่าสภาพตลาดนั้นยังมีการแข่งขันที่ดีอยู่หรือไม่ เพราะ การแข่งขันจะเป็นตัวเพิ่มประสิทธิภาพไปในตัว
"ผมคิดว่า เราเดินมาถูกทางในระดับหนึ่งแล้วครับ เริ่มมีกระแส ผู้คนให้ความสนใจ แต่ต่อจากนี้จะเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญครับ ว่าประเทศไทยเราจะใช้โอกาสที่หล่นลงมาตรงหน้าเรานี้อย่างไร เพื่อประโยชน์เกิดกับประชาชนอย่างแท้จริงครับ รัฐที่จะรับช่วงต่อจากนี้จะต้องบาลานซ์อารมณ์ของประชาชนให้ดีครับ ระหว่างการปล่อยเสรีในการเสพย์ไม่ว่าทางใดจนมากเกินไปจนกระทบต่อสุขภาพโดยรวมของประชาชน กับ การจำกัดการปลูก การผลิต การสกัด ให้อยู่ในมือของคนจำนวนไม่กี่คน ทั้งๆที่โอกาสนี้อาจจะเป็นโอกาสสำหรับคนส่วนใหญ่ของประเทศครับ ผมหวังว่ารัฐจะไม่ทำให้โอกาสนี้ “เสียของ” เหมือนหลายๆอย่างที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยครับ”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี