26 พ.ย.61 เมื่อเวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคให้แก่พรรคการเมืองตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคให้แก่พรรคการเมืองตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. กำหนดให้บุคคลธรรมดาผู้มีสัญชาติไทยที่บริจาคเงินให้พรรคการเมือง หรือให้การสนับสนุนเงิน หรือทรัพย์สินจากการจัดกิจกรรมระดมทุนของพรรคการเมือง สามารถนำไปหักลดหย่อนในการคำนวณเงินได้สุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ตามจำนวนที่บริจาค แต่รวมกันแล้วไม่เกิน 10,000 บาท ในปีภาษีนั้น ทั้งนี้ ให้มีผลใช้บังคับสำหรับเงินได้พึงประเมินประจำปี พ.ศ. 2561 ที่จะต้องยื่นรายการในปี พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
2. กำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่บริจาคเงินให้พรรคการเมือง หรือให้การสนับสนุนเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดในการจัดกิจกรรมระดมทุนของพรรคการเมือง สามารถนำเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดที่บริจาค ไปหักรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ตามจำนวนที่บริจาคแต่รวมกันแล้วไม่เกิน 50,000 บาท ในรอบระยะเวลาบัญชี ทั้งนี้ ให้มีผลใช้บังคับสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีเริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2561 เป็นต้นไป
2.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กลุ่มที่ 2 บทบัญญัติเกี่ยวกับการเสริมสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงของบริษัท)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
2. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
3. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติรวม 2 ฉบับดังกล่าวตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
ร่างพระราชบัญญัติรวม 2 ฉบับ ที่กระทรวงการคลังเสนอ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงและแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 2535 และพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ในส่วนที่เกี่ยวกับการกำกับดูแลบริษัทประกันวินาศภัย ปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการกำกับดูแลบริษัทประกันภัยที่มีปัญหาในการดำเนินการ ปรับปรุงกระบวนการในการแก้ไขปัญหาฐานะการเงินของบริษัทประกันภัยให้เป็นรูปธรรม รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติให้รองรับการเข้ารับการประเมินตามโครงการประเมินภาคการเงิน (FSAP) ในส่วนที่เกี่ยวกับการกำกับดูแลบริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัย ซึ่งจะส่งเสริมให้บริษัทประกันภัยมีเสถียรภาพและความมั่นคงทางการเงิน มีความพร้อมของระบบงานและบุคลากร มีระบบการกำกับดูแลกิจการที่ดี เป็นไปตามมาตรฐานสากล ช่วยยกระดับกระบวนการในการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับฐานะการเงินและการดำเนินงานของบริษัทประกันภัยให้เป็นรูปธรรมและลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ เพื่อให้เกิดความชัดเจนกับภาคธุรกิจในการใช้อำนาจรัฐ อันจะทำให้ประชาชนผู้เอาประกันภัยเกิดความเชื่อมั่นในธุรกิจประกันภัย และช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันกับธุรกิจประกันภัยในต่างประเทศได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย
3.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมให้ทันสมัย 6 ประเด็น)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
ร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมให้ทันสมัย 6 ประเด็น) เป็นการนำร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว เรื่องเสร็จที่ 558/2560 มาแก้ไขเพิ่มเติมใน 6 ประเด็น โดยมีสาระสำคัญดังนี้ 1. การเพิ่มช่องทางโฆษณาทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์นอกจากทางหนังสือพิมพ์ 2. การส่งเอกสาร 3. การประชุมกรรมการผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ 4. การเรียกประชุมกรรมการ 5. การมอบฉันทะให้บุคคลอื่นเข้าประชุมผู้ถือหุ้นแทนโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-proxy) และ 6. แก้ไขเพิ่มเติมอำนาจรัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายให้ออกประกาศได้เพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติที่ได้แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งมีความจำเป็นเร่งด่วนและสามารถแก้ไขปรับปรุงได้โดยไม่กระทบบทบัญญัติอื่น โดยเป็นการนำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ประโยชน์ในทางธุรกิจ เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ปัจจุบัน และอำนวยความสะดวกแก่บริษัทมหาชนจำกัดที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติในด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ โดยจัดให้มีกฎหมายที่สอดคล้องกับบริบทต่างๆ ของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป และยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ประชาชนมีโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลมากยิ่งขึ้น
4.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
3. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับความเห็นของกระทรวงการคลังและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. กำหนดให้การดำเนินการเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารของราชการโดยหน่วยงานของรัฐเป็นไปตามที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายใดกำหนดหลักเกณฑ์ในการดำเนินการไว้โดยเฉพาะและมีมาตรฐานในการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการแก่ประชาชน หรือมีหลักประกันในการคุ้มครองข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลไม่ต่ำกว่าที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้
2. เพิ่มบทนิยามคำว่า “ข้อมูลข่าวสารสาธารณะ” เพื่อให้มีความชัดเจน และสอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และแก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า “หน่วยงานของรัฐ” เพื่อให้มีความชัดเจนครอบคลุมหน่วยงานของรัฐทุกประเภท
3. แก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของบุคคลต่างด้าว โดยให้ยกเลิกนิยามคำว่า “คนต่างด้าว” และเปิดกว้างให้คนต่างด้าวมีสิทธิเท่าเทียมกับคนสัญชาติไทยในการเข้าถึงข้อมูล มิใช่มีสิทธิเฉพาะตามที่กำหนดโดยกฎกระทรวงเท่านั้น
4. กำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องจัดให้มีข้อมูลข่าวสารของราชการ ที่เป็นข้อมูลข่าวสารสาธารณะไว้ให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้โดยไม่ต้องร้องขอ และแก้ไขเพิ่มเติมข้อมูลข่าวสารที่หน่วยงานของรัฐต้องจัดไว้ให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้
5. กำหนดวิธีการเผยแพร่หรือเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการที่ลงพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษาหรือที่หน่วยงานของรัฐต้องจัดไว้ให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้
6. กำหนดระยะเวลาในการพิจารณาเปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามที่ได้รับคำขอให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น รวมถึงกำหนดให้มีคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารประจำหน่วยงานเพื่อจัดวางระบบการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการและทำหน้าที่พิจารณากลั่นกรองการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการตามที่หน่วยงานของรัฐได้รับคำขอ และกำหนดมาตรการบังคับสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐในการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการ
7. กำหนดหลักเกณฑ์ในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลกรณีที่มีการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างหน่วยงานของรัฐ เช่น การเข้าถึงและการใช้งานสารสนเทศ อุปกรณ์ ระบบ และสถานที่ การตรวจสอบและประเมินความเสี่ยงด้านสารสนเทศอย่างสม่ำเสมอ เป็นต้น
8. แก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ โดยเพิ่มปลัดกระทรวงทุกกระทรวง และแก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ เช่น ให้คำแนะนำปรึกษาในการดำเนินการใด ๆ ในการคุ้มครองสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของราชการ เพื่อคุ้มครองสิทธิการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งกำหนดวาระการดำรงตำแหน่ง คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ และวิธีการสรรหากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการในระหว่างที่ตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิว่างลง
9. กำหนดให้ผู้อุทธรณ์ที่ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองสูงสุดได้
5.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งและสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. ....
1.1 ปรับปรุงพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. 2542
1.2 กำหนดบทนิยาม คำว่า “ข้อบัญญัติท้องถิ่น” หมายความว่า กฎซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจของสภาท้องถิ่นที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้น แต่ไม่รวมถึงข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี และข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม และคำว่า “ผู้ริเริ่ม” หมายความว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ริเริ่มดำเนินการจัดให้มีการเข้าชื่อเสนอร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นต่อประธานสภาท้องถิ่น
1.3 กำหนดให้ผู้มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอให้พิจารณาออกข้อบัญญัติ ต้องเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นอยู่ในวันที่ยื่นคำร้อง และการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นต้องมีจำนวนรวมกันไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ในวันที่ 1 มกราคม ของปีที่มีการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น สำหรับการเสนอข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครต้องมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งในกรุงเทพมหานครรวมกันไม่น้อยกว่า 10,000 คน
1.4 กำหนดให้มีผู้ริเริ่มซึ่งเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวนไม่น้อยกว่า 20 คน เพื่อดำเนินการจัดให้มีการรวบรวมลายมือชื่อของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
1.5 กำหนดให้คำร้องขอพิจารณาออกข้อบัญญัติท้องถิ่นประกอบด้วย ชื่อ ที่อยู่ และลายมือชื่อของผู้เข้าชื่อทุกคน พร้อมทั้งสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน เนื้อหาสาระของร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นที่ประสงค์จะออกเป็นข้อบัญญัติท้องถิ่น เป็นต้น
1.6 กำหนดให้ประธานสภาท้องถิ่นเมื่อได้รับคำร้องขอให้ส่งคำร้องให้ผู้บริหารท้องถิ่นดำเนินการยกร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นและเสนอต่อสภาท้องถิ่นโดยเร็ว ภายในสมัยประชุมนั้น หรือสมัยประชุมถัดไป
2. ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
2.1 แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2542
2.2 กำหนดบทนิยาม คำว่า “ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง” หมายความว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งซึ่งมิได้เสียสิทธิในการเข้าชื่อร้องขอให้ถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น คำว่า “ผู้มีสิทธิเข้าชื่อ” หมายความว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในวันที่ 1 มกราคม ของปีที่มีการเข้าชื่อเพื่อให้มีการลงคะแนนเสียงถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น และคำว่า “ผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียง” หมายความว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในวันที่ 1 มกราคม ของปีที่มีการลงคะแนนเสียงถอดถอนสมาชิก สภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น
2.3 กำหนดให้การเข้าชื่อเพื่อให้มีการลงคะแนนเสียงถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ให้จัดทำเป็นคำร้องพร้อมทั้งบัญชีรายชื่อ โดยต้องมีจำนวนดังนี้
(1) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่เกิน 100,000 คน ต้องมีผู้มีสิทธิเข้าชื่อไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งหรือไม่น้อยกว่า 5,000 คน สุดแต่จำนวนใดจะน้อยกว่า
(2) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งเกิน 100,000 คน แต่ไม่เกิน 1,000,000 คน ต้องมีผู้มีสิทธิเข้าชื่อไม่น้อยกว่า 10,000 คน ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น
(3) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งเกิน 1,000,000 คน ต้องมีผู้มีสิทธิเข้าชื่อไม่น้อยกว่า 20,000 คน ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น
2.4 กำหนดคำร้องขอให้มีการลงคะแนนเสียงถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ประกอบด้วย ชื่อ ที่อยู่ และลายมือชื่อของผู้เข้าชื่อทุกคน พร้อมทั้งสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน รายละเอียดและพฤติการณ์ของสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่นที่จะให้ลงคะแนนเสียงถอดถอน เป็นต้น
2.5 กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเกี่ยวกับการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่นตามอำนาจที่บัญญัติไว้
2.6 กำหนดโทษทางอาญาแก่ผู้ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่น หรือข่มขู่เพื่อให้บุคคลใดกระทำการ เช่น เข้าชื่อหรือมิให้เข้าชื่อเพื่อให้มีการลงคะแนนเสียงถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นรวมทั้งผู้เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดเพื่อการดังกล่าว เป็นต้น
6.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ. …. ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ
3. ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติรับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
เรื่อง |
สาระสำคัญ |
1. วัตถุประสงค์ |
เพื่อให้การศึกษาและส่งเสริมวิชาการทางพระพุทธศาสนาให้เป็นไปโดยสอดคล้องกับโบราณราชประเพณีและมาตรฐานการจัดการศึกษาของชาติ รวมทั้งเพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาความรู้ของคนในชาติให้มีการนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาไปประยุกต์ใช้ในการดำรงชีวิต |
2. กำหนดแผนการศึกษา |
กำหนดให้การศึกษาพระปริยัติธรรมมี 3 แผนก ได้แก่ - แผนกบาลีสนามหลวง ศึกษาพระพุทธศาสนา ภาคภาษาบาลี - แผนกธรรมสนามหลวง ศึกษาพระพุทธศาสนา ภาคภาษาไทย - แผนกสามัญศึกษา ศึกษาพระพุทธศาสนาทั้งแผนกบาลีสนามหลวงและแผนกธรรมสนามหลวง ควบคู่กับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของกระทรวงศึกษาธิการ |
3. การบริหารจัดการการศึกษาพระปริยัติธรรม |
- ให้มีคณะกรรมการการศึกษาพระปริยัติธรรม ประกอบด้วยประธานกรรมการรูปหนึ่ง ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้ง โดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม มีอำนาจและหน้าที่ เช่น กำหนดนโยบายและแผนการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรม ควบคุม ดูแลและกำกับการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรม ให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย โบราณราชประเพณี หรือมาตรฐานการศึกษาของชาติ และกำหนดมาตรฐานการศึกษาพระปริยัติธรรมและการประกันคุณภาพการศึกษา - ให้ พศ. โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการฯ จัดทำแผนยุทธศาสตร์การสร้างเสริม สนับสนุน พัฒนาการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรมและแผนงบประมาณเพื่อการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรมเสนอต่อมหาเถรสมาคมพิจารณาให้ความเห็นชอบ - ให้ พศ. เป็นหน่วยงานกลางในการดำเนินการส่งเสริม สนับสนุน ประสานงานการศึกษาพระปริยัติธรรม และเป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการฯ - ให้รัฐอุดหนุนงบประมาณสำหรับการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรม ตามความเหมาะสมและความจำเป็น - ให้วัดมีสิทธิจัดตั้งสถานศึกษาพระปริยัติธรรมได้ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด
|
4. การเทียบระดับการศึกษาพระปริยัติธรรมและกำหนดวิทยฐานะของผู้สำเร็จการศึกษาพระปริยัติธรรม มีดังนี้ |
|
4.1 การศึกษาพระปริยัติธรรมที่ได้จัดให้แก่สามเณรซึ่งเป็นเด็กตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาภาคบังคับ และมีพื้นความรู้ไม่ต่ำกว่าระดับประถมศึกษาปีที่หกหรือเทียบเท่า ซึ่งได้ศึกษาวิชาสามัญเพิ่มเติมตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนด โดยคำแนะนำของมหาเถรสมาคม |
|
แผนก |
เทียบเท่า |
4.1.1 ศึกษาแผนกธรรมสนามหลวง ชั้นนักธรรมเอก |
เทียบเป็นการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น |
4.1.2 ศึกษาแผนกบาลีสนามหลวง ชั้นเปรียญธรรมสามประโยค |
เทียบเป็นการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย |
4.1.3 ศึกษาแผนกสามัญศึกษา |
เทียบเป็นการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย |
4.2 ผู้เรียนที่พ้นการศึกษาภาคบังคับแล้ว |
|
แผนก |
วิทยฐานะ |
4.2.1 สำเร็จการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกธรรมสนามหลวง ชั้นนักธรรมเอก |
ให้มีวิทยฐานะระดับมัธยมศึกษาตอนต้น |
4.2.2 สำเร็จการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกบาลีสนามหลวง ชั้นเปรียญธรรมสามประโยค |
ให้มีวิทยฐานะระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย |
4.2.3 สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรพระปริยัติธรรม แผนกธรรมและแผนกบาลีสนามหลวง ชั้นเปรียญธรรมเก้าประโยค |
ให้มีวิทยฐานะระดับปริญญาตรี เรียกว่า “เปรียญธรรมเก้าประโยค” ใช้อักษรย่อว่า “ป.ธ.9” |
4.2.4 สำเร็จการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกบาลีสนามหลวง ที่ได้ทำการศึกษาเพิ่มเติมตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด |
ให้มีวิทยฐานะระดับใด ๆ โดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมและตามหลักเกณฑ์ของคณะกรรมการการอุดมศึกษา |
7.เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลแขวงธนบุรี กับกำหนดเขตอำนาจและวันเปิดทำการของศาลแขวงบางบอน ในกรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... (กำหนดวันเปิดทำการศาลแขวงบางบอน วันที่ 1 เมษายน 2562)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลแขวงธนบุรี กับกำหนดเขตอำนาจและวันเปิดทำการของศาลแขวงบางบอน ในกรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
1. กำหนดให้ในกรุงเทพมหานครมีศาลแขวงเพิ่มขึ้นอีก 1 ศาล คือ ศาลแขวงบางบอน มีเขตอำนาจในเขตหนองแขม เขตบางแค และเขตบางบอน
2. กำหนดให้เปิดทำการศาลแขวงบางบอน ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2562 เป็นต้นไป
3. กำหนดให้ในระหว่างที่ยังไม่ได้เปิดทำการศาลแขวงบางบอน ให้ศาลแขวงธนบุรีมีเขตอำนาจตลอดถึงท้องที่เขตบางแคและเขตบางบอน
4. กำหนดให้ในระหว่างที่ยังไม่ได้เปิดทำการศาลแขวงบางบอน ให้ศาลจังหวัดตลิ่งชันมีเขตอำนาจตลอดถึงท้องที่เขตหนองแขม
5. กำหนดให้บรรดาคดีของท้องที่เขตบางแคและเขตบางบอน ซึ่งค้างพิจารณาอยู่ในศาลแขวงธนบุรีในวันเปิดทำการศาลแขวงบางบอน ให้คงพิจารณาพิพากษาต่อไปในศาลแขวงธนบุรี และบรรดาคดีของท้องที่ดังกล่าวซึ่งอยู่ระหว่างที่ศาลแขวงธนบุรีมีคำสั่งให้ผัดฟ้องหรือให้ขังผู้ต้องหาไว้ระหว่างสอบสวน แล้วแต่กรณี ในเปิดทำการ ศาลแขวงบางบอน ให้ศาลแขวงธนบุรีมีอำนาจพิจารณาเกี่ยวกับการผัดฟ้องหรือขังระหว่างสอบสวนนั้นต่อไป
6. กำหนดให้บรรดาคดีของท้องที่เขตหนองแขม ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลแขวงบางบอน และ ค้างพิจารณาอยู่ในศาลจังหวัดตลิ่งชันในวันเปิดทำการศาลแขวงบางบอน ให้คงพิจารณาพิพากษาต่อไปในศาลจังหวัดตลิ่งชัน และบรรดาคดีของท้องที่ดังกล่าวซึ่งอยู่ระหว่างที่ศาลจังหวัดตลิ่งชันมีคำสั่งให้ผัดฟ้องหรือให้ขังผู้ต้องหาไว้ระหว่างสอบสวน แล้วแต่กรณี ในวันเปิดทำการศาลแขวงบางบอน ให้ศาลจังหวัดตลิ่งชันมีอำนาจพิจารณาเกี่ยวกับการผัดฟ้องหรือขังระหว่างสอบสวนนั้นต่อไป
8.เรื่อง ร่างข้อบังคับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าโดยสารร่วม วิธีการจัดเก็บค่าโดยสารร่วม และการกำหนดประเภทบุคคลที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระค่าโดยสารร่วม ระหว่างรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม และโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างข้อบังคับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าโดยสารร่วม วิธีการจัดเก็บค่าโดยสารร่วม และการกำหนดประเภทบุคคลที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระค่าโดยสารร่วม ระหว่างรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม และโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญ
หลักการและสาระสำคัญของร่างข้อบังคับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าโดยสารร่วม วิธีการจัดเก็บค่าโดยสารร่วม และการกำหนดประเภทบุคคลที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระค่าโดยสารร่วม ระหว่างรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม และโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน พ.ศ. .... มีดังนี้
1. ยกเลิกข้อบังคับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าโดยสารร่วม วิธีการจัดเก็บค่าโดยสารร่วม และการกำหนดประเภทบุคคลที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระค่าโดยสารร่วม ระหว่างรถไฟฟ้ามหานครสายฉลองรัชธรรม และรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล พ.ศ. 2559 และนำร่างข้อบังคับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าโดยสารร่วม วิธีการจัดเก็บค่าโดยสารร่วม และการกำหนดประเภทบุคคลที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระค่าโดยสารร่วม ระหว่างรถไฟฟ้ามหานครสายฉลองรัชธรรม และโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน พ.ศ. .... มาใช้บังคับแทน
2. กำหนดรายละเอียดแนวเส้นทางระหว่างรถไฟฟ้ามหานครสายฉลองรัชธรรม และโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ที่อยู่ภายใต้บังคับร่างข้อบังคับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าโดยสารร่วม วิธีการจัดเก็บค่าโดยสารร่วม และการกำหนดประเภทบุคคลที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระค่าโดยสารร่วม ระหว่างรถไฟฟ้ามหานครสายฉลองรัชธรรม และโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน พ.ศ. ....
3. กำหนดอัตราค่าโดยสารร่วม การเริ่มคิดค่าโดยสารร่วม วิธีการจัดเก็บค่าโดยสารร่วม และการคืนเงินค่าโดยสารร่วม ระหว่างรถไฟฟ้ามหานครสายฉลองรัชธรรม และโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน
4. กำหนดประเภทบุคคลที่ได้รับการลดหย่อนค่าโดยสารร่วม หรือยกเว้นค่าโดยสารร่วม ระหว่างรถไฟฟ้ามหานครสายฉลองรัชธรรม และโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน
5. กำหนดให้คณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยมีอำนาจออกประกาศหรือยกเว้นค่าโดยสารร่วม ระหว่างรถไฟฟ้ามหานครสายฉลองรัชธรรม และโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ได้เป็นครั้งคราว
9.เรื่อง ร่างข้อบังคับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ว่าด้วยอัตราค่าบริการจอดรถยนต์และวิธีการจัดเก็บค่าบริการจอดรถยนต์ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง – สมุทรปราการ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างข้อบังคับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ว่าด้วยอัตราค่าบริการจอดรถยนต์และวิธีการจัดเก็บค่าบริการจอดรถยนต์ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง – สมุทรปราการ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างข้อบังคับ
กำหนดอัตราค่าบริการจอดรถยนต์และวิธีการจัดเก็บค่าบริการจอดรถยนต์ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง – สมุทรปราการ โดยกำหนดอัตราค่าบริการจอดรถยนต์สำหรับผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าเริ่มต้นที่ 10 บาทต่อ 2 ชั่วโมง สำหรับผู้ไม่ใช้บริการรถไฟฟ้าเริ่มต้นที่ 20 บาทต่อชั่วโมง อัตราค่าบริการจอดรถยนต์รายเดือนเริ่มต้นที่ 1,000 บาทต่อเดือน และอัตราค่าบริการจอดรถจักรยานยนต์ เริ่มต้นที่ 10 บาทต่อ 4 ชั่วโมง
เศรษฐกิจ-สังคม
10.เรื่อง ขอความเห็นชอบการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงแบริ่ง – สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยให้กรุงเทพมหานคร
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ดำเนินการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง – สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต (ไม่รวมอาคารจอดแล้วจร) ตามพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2543 มาตรา 75 (5) ซึ่งใช้ข้อมูลทางการเงินของโครงการฯ ณ วันที่ 30 กันยายน 2561 และข้อมูลประมาณการทางการเงิน ณ วันที่ 31 มีนาคม 2562 เป็นข้อมูลอ้างอิง เพื่อดำเนินการตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การมอบหมายให้กรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นผู้บริหารจัดการเดินรถ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต และ ช่วงแบริ่ง – สมุทรปราการ ระหว่างกระทรวงคมนาคม (คค.) รฟม. กทม. และ กระทรวงการคลัง (กค.) เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2559 ตามที่กระทรวงคมนาคม เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. เรื่องนี้เป็นการขอความเห็นชอบในการเปลี่ยนผู้รับผิดชอบโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง – สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต จากเดิม การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เป็นกรุงเทพมหานคร (กทม.) ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบกและได้มีการหารือกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ (คค. รฟม. กค. กทม.) มาตั้งแต่ปี 2559 และได้มีการนำเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบหลักการในการเปลี่ยนแปลงผู้รับผิดชอบโครงการดังกล่าว รวมทั้งความคืบหน้าในการดำเนินการมาโดยตลอด
2. การเปลี่ยนแปลงผู้รับผิดชอบโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง – สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต ดังกล่าว จะทำให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นเอกภาพมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับกรณี รฟม. เป็นหน่วยงานบริหารจัดการ เนื่องจากปัจจุบัน กทม. เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบการบริหารจัดการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต – แบริ่ง โดยมีบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BTS) เป็นผู้รับสัมปทานการเดินรถในเส้นทางดังกล่าว ทั้งนี้ เมื่อมีการจำหน่ายทรัพย์สินในครั้งนี้แล้ว กทม. จะรับผิดชอบโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ตั้งแต่ช่วงคูคต – สมุทรปราการ รวมทั้งสิ้น 47 สถานี ระยะทาง 55.95 กิโลเมตร
11.เรื่อง ขอความเห็นชอบการกู้เงินเพื่อใช้ในการรับโอนทรัพย์สิน และหนี้สินของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต และ นนช่วงแบริ่ง – สมุทรปราการ
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการกู้เงินเพื่อใช้ในการรับโอนทรัพย์สินและหนี้สินของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต และ ช่วงแบริ่ง – สมุทรปราการ ตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง การกู้เงินเพื่อใช้ในการรับโอนทรัพย์สิน และหนี้สินของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต และ ช่วงแบริ่ง – สมุทรปราการ พ.ศ. 2561 ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ รวมทั้งให้กรุงเทพมหานครดำเนินการอย่างโปร่งใส คุ้มค่าและประหยัด โดยพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวปัจจุบันอยู่ในความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานคร ซึ่งได้ให้สัมปทานแก่เอกชนเป็นผู้ลงทุนทั้งหมด รวมถึงการบริหารจัดการเดินรถ และได้รับสิทธิในการเก็บค่าโดยสารตลอดอายุสัมปทานเป็นเวลา 30 ปี (ครบกำหนดสัญญา พ.ศ. 2572) สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต และ นนช่วงแบริ่ง – สมุทรปราการ ที่เสนอในครั้งนี้ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างโครงการฯ (โดยช่วงแบริ่ง – สมุทรปราการ มีความพร้อม และจะเปิดให้บริการเดินรถ ในวันที่ 6 ธันวาคม 2561 ส่วนช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนเมษายน 2562) ดังนั้น เพื่อให้โครงการส่วนต่อขยายดังกล่าวเชื่อมต่อการเดินทางจากกรุงเทพมหานครถึงปริมณฑล โดยเชื่อมต่อกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเดิมที่กรุงเทพมหานครเป็นผู้รับผิดชอบ คณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบกจึงได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้กรุงเทพมหานครเป็นผู้เดินรถส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง – สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต ทั้งนี้ ในการเปลี่ยนผู้รับผิดชอบโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง – สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต จากเดิม การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เป็น กรุงเทพมหานคร จะต้องมีการดำเนินการโอนทรัพย์สินและหนี้สินของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยให้กรุงเทพมหานคร ซึ่งการดำเนินการโอนทรัพย์สินและหนี้สินจะทำให้กรุงเทพมหานครมีภาระค่าใช้จ่ายเป็นเงิน 51,785.37 ล้านบาท (ประกอบด้วย ค่างานโครงสร้างพื้นฐาน วงเงินไม่เกิน 44,429 ล้านบาท และค่าชดใช้เงินค่าจัดกรรมสิทธิ์และดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมเงินกู้ของค่างานโครงสร้างพื้นฐานที่สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณเพื่อชำระไปแล้ว วงเงินไม่เกิน 7,356.37 ล้านบาท) ซึ่งสภากรุงเทพมหานครได้ออกข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง การกู้เงินเพื่อใช้ในการรับโอนทรัพย์สิน และหนี้สินของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวฯ จำนวน 51,785.37 ล้านบาท เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ในครั้งนี้กรุงเทพมหานครจึงได้เสนอขอความเห็นชอบต่อคณะรัฐมนตรีในการกู้เงินจำนวนดังกล่าวต่อจากกระทรวงการคลังเพื่อใช้ในการรับโอนทรัพย์สินและหนี้สินของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวฯ
2. การที่กรุงเทพมหานครจะขอกู้เงินต่อจากกระทรวงการคลังเพื่อใช้ในการรับโอนทรัพย์สิน และหนี้สินของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต และช่วงแบริ่ง – สมุทรปราการ นั้น กรุงเทพมหานครสามารถดำเนินการได้ โดยการออกเป็นข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครโดยความเห็นชอบของสภากรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นไปตามนัยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 มาตรา 97 และมาตรา 99 ที่บัญญัติให้ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร (ซึ่งรวมถึงการกู้เงิน) จะตราขึ้นได้โดยความเห็นชอบของสภากรุงเทพมหานคร ในการนี้ สภากรุงเทพมหานครได้ออกข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง การกู้เงินเพื่อใช้ในการรับโอนทรัพย์สิน และหนี้สินของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวฯ ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและมีผลใช้บังคับแล้วตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคม 2561
12.เรื่อง ขออนุมัติดำเนินโครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 พื้นที่โซน C ของบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 พื้นที่โซน C ของบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับกรอบวงเงินลงทุนรวม 30,000 ล้านบาท ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาแหล่งเงินทุนและวิธีการระดมทุนที่เหมาะสม รวมทั้งเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของแต่ละวิธีการให้ชัดเจน โดยคำนึงถึงต้นทุนทางการเงิน ความเหมาะสมคุ้มค่า ภาระงบประมาณหรือภาระทางการคลังที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
2. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงบประมาณ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และสำนักงานศาลปกครองไปพิจารณาดำเนินการด้วย
13.เรื่อง ขออนุมัติการจัดทำโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุดที่ 2 ระยะที่ 1
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติดังนี้
1. อนุมัติการจัดทำโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุดที่ 2 ระยะที่ 1 จำนวน 12 โครงการ รวม 3,365 หน่วย วงเงินลงทุนรวม จำนวน 2,612.883 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ แบ่งเป็น (1) โครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชนเชิงสังคม (10 โครงการ จำนวน 3,094 หน่วย) วงเงินรวม 2,231.392 ล้านบาท (2) โครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชนเชิงพาณิชย์ (2 โครงการ จำนวน 271 หน่วย) วงเงินรวม 381.491 ล้านบาท
สำหรับการจัดหาและการค้ำประกันเงินกู้ภายในประเทศและการจัดสรรเงินอุดหนุนจากรัฐบาลให้เป็นไปตามความเห็นกระทรวงการคลัง (หนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค 0907/18444 ลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2561) และสำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ที่ นร 0723/17822 ลงวันที่ 12 กันยายน 2561)
2. ให้ พม. (การเคหะแห่งชาติ) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง (หนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค 0907/18444 ลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2561) และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (หนังสือสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนมาก ที่ นร 1101/3629 ลงวันที่ 12 มิถุนายน 2561) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุดที่ 2 ระยะที่ 1 เป็นโครงการเสริมสร้างความเสมอภาค ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาส การเข้าถึงสวัสดิการสังคมด้านที่อยู่อาศัย เพื่อให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง [แบ่งเป็น 2 กลุ่ม (1) กลุ่มกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีรายได้ประมาณ 26,101 – 38,300 บาท/เดือน/ครัวเรือน และ (2) กลุ่มภูมิภาค มีรายได้ประมาณ 15,101 – 22,000 บาท/เดือน/ครัวเรือน] และรายได้ปานกลางค่อนข้างสูง [แบ่งเป็น 2 กลุ่ม (1) กลุ่มกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีรายได้ประมาณ 59,701 บาทขึ้นไป/เดือน/ครัวเรือน และ (2) กลุ่มภูมิภาค มีรายได้ประมาณ 34,701 บาทขึ้นไป/เดือน/ครัวเรือน] มีที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน พร้อมระบบสาธารณูปโภค โดยโครงการดังกล่าวจะจัดสร้างที่พักอาศัยในรูปแบบ ได้แก่ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด บ้านแถว และ ทาวน์โฮม จำนวน 2 ชั้น ในพื้นที่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย ซึ่งคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติในการประชุม ครั้งที่ 9/2560 เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2560 ได้มีมติเห็นชอบโครงการ รวมทั้งหมด 17 โครงการ และต่อมาคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (คณะกรรมการ สศช.) ได้มีมติเห็นชอบเพียง 12 โครงการ รวม 3,365 หน่วย วงเงินลงทุนรวม 2,612.883 ล้านบาท ประกอบด้วย
โครงการ |
รายละเอียด |
1. โครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชน เชิงสังคม จำนวน 10 โครงการ รวม 3,094 หน่วย โดยก่อสร้างบนที่ดินของ กคช. ทั้งหมด ราคาขายต่อหน่วยประมาณ 650,000 – 850,000 บาท |
|
(1) โครงการฯ เชิงสังคม จ.ฉะเชิงเทรา (แปลงยาว) |
ที่ตั้ง : จัดสร้างบนที่ดิน 31.80 ไร่ รูปแบบการก่อสร้างอาคาร : บ้านแฝด 2 ชั้น จำนวน 362 หน่วย |
(2) โครงการฯ เชิงสังคม จ.สุพรรณบุรี (อู่ยา 1) |
ที่ตั้ง : จัดสร้างบนที่ดิน 25.48 ไร่ รูปแบบการก่อสร้างอาคาร : บ้านแฝด 2 ชั้น จำนวน 186 หน่วย และก่อสร้างเป็นบ้านแถว 2 ชั้น จำนวน 136 หน่วย |
(3) โครงการฯ เชิงสังคม จ.นครนายก (พรหมณี 1) |
ที่ตั้ง : จัดสร้างบนที่ดิน 49.32 ไร่ รูปแบบการก่อสร้างอาคาร : บ้านแฝด 2 ชั้น จำนวน 498 หน่วย |
(4) โครงการฯ เชิงสังคม จ.เพชรบุรี (โพไร่หวาน) |
ที่ตั้ง : จัดสร้างบนที่ดิน 38.83 ไร่ รูปแบบการก่อสร้างอาคาร : บ้านเดี่ยว 2 ชั้น จำนวน 328 หน่วย (โครงการที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม) |
(5) โครงการฯ เชิงสังคม จ.ลพบุรี (พัฒนานิคม 2) |
ที่ตั้ง : จัดสร้างบนที่ดิน 16.67 ไร่ รูปแบบการก่อสร้างอาคาร : บ้านเดี่ยว 2 ชั้น จำนวน 188 หน่วย |
(6) โครงการฯ เชิงสังคม จ.สิงห์บุรี (บางกระบือ) |
ที่ตั้ง : จัดสร้างบนที่ดิน 22.72 ไร่ รูปแบบการก่อสร้างอาคาร : บ้านแฝด 2 ชั้น จำนวน 224 หน่วย
|
(7) โครงการฯ เชิงสังคม จ.ศรีสะเกษ ระยะที่ 4 ส่วนที่ 2 |
ที่ตั้ง : จัดสร้างบนที่ดิน 27.97 ไร่ รูปแบบการก่อสร้างอาคาร : บ้านเดี่ยว 2 ชั้น จำนวน 120 หน่วย และบ้านแฝด 2 ชั้น จำนวน 208 หน่วย |
(8) โครงการฯ เชิงสังคม จ.สกลนคร (สว่างแดนดิน) |
ที่ตั้ง : จัดสร้างบนที่ดิน 29.45 ไร่ รูปแบบการก่อสร้างอาคาร : บ้านแฝด 2 ชั้น จำนวน 278 หน่วย |
(9) โครงการฯ เชิงสังคม จ.ชุมพร |
ที่ตั้ง : จัดสร้างบนที่ดิน 31.26 ไร่ รูปแบบการก่อสร้างอาคาร : บ้านเดี่ยว 2 ชั้น จำนวน 338 หน่วย (โครงการที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม) |
(10) โครงการฯ เชิงสังคม จ.ปัตตานี |
ที่ตั้ง : จัดสร้างบนที่ดิน 22.00 ไร่ รูปแบบการก่อสร้างอาคาร : บ้านเดี่ยว 2 ชั้น จำนวน 228 หน่วย (โครงการที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม) |
2. โครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชน เชิงพาณิชย์ จำนวน 2 โครงการ รวม 271 หน่วย โดยก่อสร้างบนที่ดินของ กคช. ทั้งหมด ราคาขายต่อหน่วย ประมาณ 1.8 – 2.2 ล้านบาท |
|
(1) โครงการฯ เชิงพาณิชย์ จ.สมุทร ปราการ (บางพลี) ทาวน์โฮม 3 |
ที่ตั้ง : จัดสร้างบนที่ดิน 19.58 ไร่ รูปแบบการก่อสร้างอาคาร : ทาวน์โฮม 2 ชั้น จำนวน 184 หน่วย |
(2) โครงการฯ เชิงพาณิชย์ จ.ศรีสะเกษ ระยะที่ 4 ส่วนที่ 1 |
ที่ตั้ง : จัดสร้างบนที่ดิน 14.27 ไร่ รูปแบบการก่อสร้างอาคาร : บ้านเดี่ยว 2 ชั้น จำนวน 87 หน่วย |
14.เรื่อง ขออนุมัติการจัดทำโครงการอาคารเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย ปี 2559 ระยะที่ 2 จังหวัดเพชรบุรี (โพไร่หวาน)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการการจัดทำโครงการอาคารเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย ปี 2559 ระยะที่ 2 โครงการอาคารเช่า จังหวัดเพชรบุรี (โพไร่หวาน) รวม 246 หน่วย วงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 115,649,000 บาท ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ โดยเบิกจ่ายจากเงินอุดหนุนจากรัฐบาล จำนวน 107,010,000 บาท และเงินกู้ภายในประเทศ จำนวน 8,639,000 บาท สำหรับการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ให้การเคหะแห่งชาติ (กคช.) ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ไปดำเนินการก่อนในลำดับแรก ส่วนที่เหลือให้การเคหะแห่งชาติจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป โดยควบคุมต้นทุนค่าก่อสร้างให้เป็นไปอย่างประหยัดและอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ สำหรับการจัดหาและการค้ำประกันเงินกู้ จำนวน 8,639,000 บาท ให้ พม. ดำเนินการตามความความเห็นของกระทรวงการคลัง
สาระสำคัญของเรื่อง
พม. รายงานว่า กคช. ได้จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการอาคารเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย จังหวัดเพชรบุรี (โพไร่หวาน) เรียบร้อยแล้ว โดยโครงการดังกล่าวจัดสร้างบนที่ดินประมาณ 5.39 ไร่ (บนที่ดินของ กคช.) รูปแบบการก่อสร้างเป็นอาคารพักอาศัยรวม สูง 4 ชั้น ห้องพักขนาด 28 ตารางเมตร รวมจำนวน 246 หน่วย ซึ่งอาคารพักอาศัยดังกล่าวออกแบบตามหลักการ Universal Design โดยจะคิดค่าเช่าสุทธิไม่เกิน 1,700 บาท/เดือน
15.เรื่อง พื้นที่เป้าหมายและกรอบมาตรการแก้ไขปัญหาการอยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่ป่าไม้ (ทุกประเภท)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการพื้นที่เป้าหมายและกรอบมาตรการแก้ไขปัญหาการอยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่ป่าไม้ (ทุกประเภท) ตามนัยมติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2561 ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงบประมาณไปดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วย
2. ในการดำเนินการตามกรอบมาตรการฯ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงให้ราษฎรกลุ่มเป้าหมายทราบเกี่ยวกับเจตนารมณ์ หลักเกณฑ์ และเงื่อนไขในการจัดสรรที่ดินของแต่ละกลุ่มพื้นที่ให้ถูกต้องและชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการปฏิบัติตามข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องและสิทธิของผู้ได้รับจัดสรรที่ดิน
3. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการในการป้องกันและแก้ไขการบุกรุกพื้นที่ป่าให้ชัดเจนและดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อไม่ให้มีการบุกรุกพื้นที่ป่าเพิ่มเติมอีก
สาระสำคัญของเรื่อง
พื้นที่เป้าหมายและกรอบมาตรการแก้ไขปัญหาการอยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่ป่าไม้ (ทุกประเภท) เพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่ที่ยังไม่ได้นำมาดำเนินการจัดที่ดินทำกินฯ เฉพาะในส่วนที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ก่อนแล้วให้ครอบคลุมปัญหาทั้งหมดตามมติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติในคราวประชุม ครั้งที่ 2/2561 ซึ่งกรอบมาตรการฯ จำแนกเป็น 5 กลุ่ม สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
พื้นที่เป้าหมาย |
กรอบมาตรการแก้ไขปัญหา |
ป่าสงวนแห่งชาติ |
|
กลุ่มที่ 1 ชุมชนในเขตป่าสงวนแห่งชาติ 30 มิถุนายน 2541 |
อนุญาตให้เข้าใช้ประโยชน์ อยู่อาศัย/ทำกิน แบบแปลงรวม (ให้สิทธิทำกิน มิให้เอกสารสิทธิ) |
กลุ่มที่ 2 ชุมชนในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่อยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 3-5 หลังมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2541 และ ต้องปฏิบัติตามคำสั่งคณะรักษา ความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 66/2567 ลงวันที่ 17 มิถุนายน 2557
|
อนุญาตให้เข้าใช้ประโยชน์ อยู่อาศัย/ทำกิน แบบแปลงรวม (ให้สิทธิทำกิน มิให้เอกสารสิทธิ) โดยอยู่ภายใต้ข้อกำหนดและเงื่อนไขที่กำหนดร่วมกันในลักษณะที่เกื้อกูลต่อการอนุรักษ์ เช่น ให้ปลูกป่าเพื่อเศรษฐกิจไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของพื้นที่ และอื่น ๆ ควบคู่ไปกับให้ใช้ประโยชน์อยู่อาศัยและ ทำกิน |
กลุ่มที่ 3
แห่งชาติที่อยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1-2 ก่อนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2541 |
กำหนดให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานประจำพื้นที่โครงการเพื่อควบคุมการใช้ทรัพยากรและที่ดินและดำเนินการจัดระเบียบการใช้ที่ดินอยู่อาศัย/ทำกินเป็นหลักแหล่งอย่างเหมาะสม (ออกแบบรูปแบบในการอยู่อาศัยร่วมกับชุมชนและราษฎร) เช่น ฟื้นฟูสภาพป่าแบบมีส่วนร่วม ส่งเสริมราษฎร ปลูกป่า 3 อย่าง ร้อยละ 20 ของพื้นที่ |
แห่งชาติที่อยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1-2 หลังมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2541 และต้องปฏิบัติตามคำสั่ง คสช. ที่ 66/2557 ลงวันที่ 17 มิถุนายน 2557 |
ถือเป็นพื้นที่ที่ต้องทำการฟื้นฟูสภาพป่า ราษฎรในพื้นที่นี้ถือว่าบุกรุกใหม่และต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยกรมป่าไม้มอบหมายเจ้าหน้าที่ประจำพื้นที่และดำเนินการฟื้นฟูสภาพป่าร่วมกับราษฎร ส่วนราษฎรที่เคยใช้ที่ดินดังกล่าวและประสงค์จะเข้าร่วมดำเนินการ จะจัดทำบันทึกข้อตกลงร่วมกับกรมป่าไม้โดยมีหน้าที่ดูแลบำรุงรักษาป่าและจะขอรับผลผลิตจากไม้ที่ ปลูกและใช้ประโยชน์ที่ดินในระหว่างแถวของต้นไม้ได้ |
ป่าอนุรักษ์ |
|
กลุ่มที่ 4 ชุมชนที่อยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ ทั้ง ก่อนและหลังมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2541
|
ชุมชนที่จะได้รับการพิจารณาต้องเป็นชุมชนที่อาศัยอยู่เดิม มีการกำหนดขอบเขตพื้นที่ทำกินเป็นที่ยอมรับร่วมกันและให้สิทธิทำกินมิให้เอกสารสิทธิ แนวทางที่ดำเนินการ คือ 1) การสำรวจการครอบครองที่ดินและ 2) การตรวจสอบและการบริหารจัดการพื้นที่โดยจัดระเบียบพื้นที่กรณีสำรวจแล้วเป็นพื้นที่ล่อแหลมคุกคามต่อระบบนิเวศ นอกนั้นให้พิจารณาตามความจำเป็นเพื่อการดำรงชีพโดยส่งข้อมูลให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พิจารณาอนุญาตตามกฎหมาย |
ป่าชายเลน |
|
กลุ่มที่ 5 ชุมชนในพื้นที่ป่าชายเลน
พื้นที่เกษตรกรรม
ถาวรให้กับราษฎรที่ครอบครองมาก่อนคำสั่ง คสช. ที่ 66/2557 ราษฎรที่คุณสมบัติไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ คทช. และไม่รวมราษฎรที่อยู่ในพื้นที่ทวงคืนผืนป่าที่คดียังไม่สิ้นสุด |
ดำเนินการสำรวจ ตรวจสอบการครอบครองพื้นที่ จัดทำข้อมูลจำแนกตามรูปแบบการใช้ประโยชน์ จัดทำแผนการบริหารจัดการและโครงการเพื่อการอนุญาต จากนั้นจะเสนอขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลนได้ และให้กรมทรัพยากรทางทะเลฯ ดำเนินการอนุญาตตามกฎหมายใช้พื้นที่ต่อไป
|
ทั้งนี้ ในการดำเนินการตามกรอบมาตรการดังกล่าวแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยผู้มีอำนาจตามที่กฎหมายบทบัญญัติจะอนุญาตการเข้าใช้ประโยชน์หรือการดำเนินการในกลุ่มพื้นที่เป้าหมายต่าง ๆ ข้างต้นต่อไป
16.เรื่อง ผลการประชุมสมัชชาความร่วมมือทรัพยากรดินโลก ครั้งที่ 6 และการจัดกิจกรรมวันดินโลก ปี 2561
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ดังนี้
1. รับทราบผลการประชุมสมัชชาความร่วมมือทรัพยากรดินโลก (Global Soil Partnership Plenary Assembly : GSP PA) ครั้งที่ 6
2. เห็นชอบในหลักการการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวิจัยดินแห่งภูมิภาคเอเชีย (Center of Excellence for Soil Research in Asia : CESRA) และรางวัลวันดินโลก (World Soil Day Award)
สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการทั้ง 2 กิจกรรม ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมพัฒนาที่ดิน) ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ตั้งรองรับไว้ในโอกาสแรก หากไม่เพียงพอให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณหรือเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามนัยมาตรา 25 ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 ตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานว่า
1. การประชุม GSP PA ครั้งที่ 6 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง
1.1 การประชุม GSP PA ครั้งที่ 6
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มอบหมายให้ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ) เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมประชุม GSP PA ครั้งที่ 6 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 11 – 13 มิถุนายน 2561 ณ กรุงโรม สาธารณรัฐอิตาลี ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการและประเทศสมาชิกกลุ่มความร่วมมือด้านดินแห่งเอเชีย (Asian Soil Partnership : ASP) ซึ่งการประชุมดังกล่าวมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
การประชุม GSP PA ครั้งที่ 6 |
มติที่ประชุม |
|
1. เห็นชอบการจัดตั้งรางวัลวันดินโลก หรือ World Soil Day Award ตามที่ประเทศไทยเสนอ เพื่อมอบรางวัลให้แก่บุคคล องค์กร และประเทศที่มีผลงานและกิจกรรมเป็นที่ประจักษ์ในการส่งเสริมและการสร้างความตระหนักรู้ในด้านการจัดการทรัพยากรดินเพื่อความมั่นคงทางอาหารของโลกอย่างยั่งยืน โดยผ่านทางการจัดกิจกรรมเนื่องในวันดินโลก 5 ธันวาคม ของทุกปี โดยประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพร่วมกับองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization : FAO) ซึ่งรางวัลวันดินโลกดังกล่าวมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้ 1.1 ชื่อรางวัล King Bhumibol World Soil Day Award 1.2 วัตถุประสงค์ 1) เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และเพื่อถวายสดุดีพระเกียรติคุณ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่ทรงศึกษาค้นคว้าวิธีการจัดการปัญหาทรัพยากรดินอย่างยั่งยืน นำมาซึ่งความเป็นอยู่ที่ดีของเกษตรกร และประชาชน ตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติในเรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อม ความั่นคงอาหารและการขจัดความอดอยากหิวโหย 2) กระตุ้นให้ทั่วโลกมีกิจกรรมด้านการจัดการดินอย่างยั่งยืนเพื่อนำไปสู่ความมั่นคงอาหารและการขจัดความอดอยากหิวโหย ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ ผ่านทางการจัดกิจกรรมเนื่องในวันดินโลกของทุกปี 3) เสริมสร้างให้บุคคล หน่วยงาน องค์กรหรือประเทศมีความรู้ ความเข้าใจ สร้างจิตสำนึกในการรักษาทรัพยากรดินและการจัดการดิน เพื่อความมั่นคงอาหารอย่างยั่งยืน |
|
1.3 รางวัล : สนับสนุนโดยประเทศไทย ประกอบด้วย เหรียญรางวัล เงินสด (15,000 ดอลลาร์สหรัฐ) และค่าใช้จ่ายในการเดินทางมารับรางวัลที่ประเทศไทย 1.4 กรรมการตัดสิน : ประกอบด้วย ประธานกลุ่มสมัชชาความร่วมมือดิน 9 ภูมิภาค ผู้แทนสหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ และผู้แทนคณะกรรมการด้านวิทยาศาสตร์ของกลุ่มสมัชชาดินโลก 1.5 เกณฑ์การตัดสิน : ประกอบด้วย 6 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการจัดกิจกรรม 2) ด้านการสร้างความตระหนัก 3) ด้านความพึงพอใจของผู้ร่วมงาน 4) ด้านการเผยแพร่กิจกรรม 5) ด้านการสร้างการรับรู้ในสื่อดิจิทัล และ 6) ด้านการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ
|
|
2. เห็นชอบการริเริ่มการจัดตั้งศูนย์ CESRA ในประเทศไทย โดยกรมพัฒนาที่ดินเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการดำเนินกิจกรรมดังกล่าว โดยศูนย์ CESPA จะเป็นศูนย์กลางข้อมูล การวิจัย และนวัตกรรมด้านทรัพยากรดินของภูมิภาคเอเชีย สนับสนุนการดำเนินการตามแนวปฏิบัติการจัดการดินอย่างยั่งยืนของภูมิภาคเอเชีย (Voluntary Guidelines on Sustainable Soil Management : VGSSM) นำไปสู่การบรรลุผลสำเร็จตามกฎบัตรดินโลก (World Soil Charter) ที่กำหนดโย FAO ซึ่งการจัดตั้งศูนย์ CESRA ดังกล่าวมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้ 2.1 วัตถุประสงค์ 1) เพื่อเป็นศูนย์กลางข้อมูล การวิจัย และนวัตกรรมด้านทรัพยากรดินของภูมิภาคเอเชีย 2) เพื่อส่งเสริมงานวิจัยด้านทรัพยากรดินหลากหลายสาขา และสร้างเครือข่ายศูนย์วิจัยด้านการบริหารจัดการทรัพยากรดินในภูมิภาคเอเชีย 3) เพื่อเป็นศูนย์กลางเครือข่ายความร่วมมือของนักวิจัยด้านทรัพยากรดินของประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชีย 4) เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์ และข้อมูลด้านทรัพยากรของนักวิทยาศาสตร์ดินในภูมิภาคเอเชีย ที่สนับสนุนการพัฒนาระบบ |
|
|
|
ฐานข้อมูลทรัพยากรดินแห่งเอเชียให้สามารถเชื่อมโยงกับระบบข้อมูลทรัพยากรดินโลก5) เพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามแนวปฏิบัติการจัดการดินอย่างยั่งยืนของภูมิภาคเอเชีย นำไปสู่การบรรลุผลสำเร็จตามกฎบัตรดินโลกที่กำหนดโดย FAO |
|
2.2 โครงสร้างการดำเนินงานของศูนย์ CESRA แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1) ส่วนงานข้อมูลทรัพยากรดินและการฝึกอบรม มีเป้าหมายและพันธกิจในการพัฒนาระบบฐานข้อมูลทรัพยากรดินแห่งเอเชียที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน 2) กิจกรรมส่วนงานวิจัยและพัฒนาด้านทรัพยากรดิน มีเป้าหมายและ พันธกิจในการส่งเสริมงานวิจัยดิน และศึกษาวิธีการในการจัดการดินอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเชีย 2.3 ประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับ 1) เป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิน และความร่วมมือด้านงานวิจัยดินของภูมิภาคเอเชีย 2) มีเครือข่ายที่เข้มแข็งในการประสานความร่วมมือในระดับประเทศและภูมิภาคเอเชีย 3) มีข้อมูลที่ช่วยสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบายที่ถูกต้องและเป็นมาตรฐาน ทั้งในระดับประเทศ ภูมิภาค และระดับโลก |
|
4) เพิ่มองค์ความรู้ด้านการใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมในการจัดการดินอย่างยั่งยืน 5) ลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงานวิจัย หรือความร่วมมือต่าง ๆ ด้านทรัพยากรดิน 6) เพิ่มความเป็นไปได้ในการแสวงหาเงินทุนเพื่อดำเนินงานด้านการจัดการดินอย่างยั่งยืนทั้งในระดับประเทศ และภูมิภาคเอเชีย |
1.2 การประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
การหารือกับผู้อำนวยการใหญ่ FAO |
ผู้อำนวยการใหญ่ FAO กล่าวขอบคุณประเทศไทยที่สนับสนุนการดำเนินงานของ GSP และไทยมีบทบาทสำคัญในการดำเนินงานด้านดินในระดับสากล และยินดีให้การสนับสนุนการมอบรางวัลวันดินโลก ในทุกวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี โดยมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการสมัชชาความร่วมมือดินโลก (GSP Secretariat) ดำเนินการคัดเลือกและจัดทำหลักเกณฑ์ตามมาตรฐานของสหประชาชาติ |
การหารือกับผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรดินและน้ำของ FAO |
ผู้แทนไทยได้หารือกับผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรดินและน้ำของ FAO เพื่อหาแนวทางการจัดทำโครงการประเมินความเสื่อมโทรมของดินและการขยายผลการจัดการที่ดินอย่างยั่งยืนซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระหว่าง FAO และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมพัฒนาที่ดิน) ที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก (Global Environment Facility : GEF) โดยจะบูรณาการการทำเกษตรกรรมยั่งยืนภายใต้โครงการ “โคก หนอง นา โมเดล” และการจัดการทรัพยากรดินอย่างยั่งยืนเพื่อความมั่นคงทางอาหารภายใต้กรอบและแนวทางการทำงานของ GSP |
2. การจัดกิจกรรมวันดินโลกปี 2561 มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
วัตถุประสงค์
|
1. เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่ทรงพระราชทานแนวพระราชดำริด้านการจัดการดินอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง จนทำให้ทั่วโลกประจักษ์ถึงพระอัจฉริยภาพ เป็นที่มาของการประกาศให้วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพเป็นวันดินโลก
2. เพื่อกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนเกิดความตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรดิน และดำเนินการอนุรักษ์ ฟื้นฟู ให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน นำไปสู่ความมั่นคงทางอาหารและการขจัดความหัวโหย |
แผนการดำเนินงาน |
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะจัดให้มีกิจกรรมตลอดทั้งปี ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทุกภาคส่วน ได้แก่ นักวิชาการ ข้าราชการ สถาบันการศึกษา ภาคเอกชน และองค์การระหว่างประเทศ โดยมีกิจกรรมหลักได้แก่ การมอบรางวัล World Soil Day Award การจัดตั้งศูนย์ CESRA การจัดกิจกรรมรณรงค์เพื่อการจัดการดินอย่างยั่งยืน เป็นต้น |
3. การดำเนินกิจกรรมวันดินโลก การจัดตั้งรางวัลวันดินโลกและศูนย์ CESRA จะช่วยสนับสนุนบทบาทนำของประเทศไทยในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 ขององค์การสหประชาชาติ โดยเฉพาะเป้าหมายการพัฒนาที่ 2 การขจัดความอดอยากหิวโหย เป้าหมายที่ 13 การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเป้าหมายที่ 15 การปกป้อง ฟื้นฟู และสนับสนุนการใช้ระบบนิเวศบนบกอย่างยั่งยืน รวมทั้งเชื่อมโยงไปสู่การบรรลุผลในเป้าหมายและเป้าประสงค์อื่น ๆ
ทั้งนี้ การจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวิจัยดินแห่งภูมิภาคเอเชียเป็นการจัดตั้งหน่วยงานภายใต้ความรับผิดชอบของกรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มิได้เป็นการขอจัดตั้งหน่วยงานขึ้นใหม่ และ
การจัดตั้งรางวัลวันดินโลกเป็นการดำเนินการตามผลการประชุมสมัชชาความร่วมมือทรัพยากรดินโลก ครั้งที่ 6 ที่ให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพร่วมกับองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติในการดำเนินการจัดงานวันดินโลกทุกปี ซึ่งการดำเนินการทั้ง 2 กิจกรรมในปี 2561 นี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับไว้แล้ว
17.เรื่อง นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เสนอ ดังนี้
(แผนฯ 20 ปี) สำหรับการประกาศใช้เป็นนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตามพระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. 2560 มาตรา 5 โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2579 หรือจนกว่าจะมีการแก้ไขปรับปรุงนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
(แผนฯ 5 ปี) โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันที่นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมประกาศในราชกิจจานุเบกษา
นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (แผนฯ 20 ปี) โดยทำเป็นประกาศพระบรมราชโองการและประกาศในราชกิจจานุเบกษา
รวมทั้งคณะกรรมการที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับกิจการใด ๆ ที่ใช้ประโยชน์จากดิจิทัลทุกหน่วยดำเนินการตามนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (แผนฯ 20 ปี) รวมทั้งนำแผนฯ 5 ปี ไปเป็นแนวทางในการจัดทำแผนงานโครงการรองรับ และให้สำนักงบประมาณ (สงป.) ตั้งงบประมาณให้หน่วยงานของรัฐให้สอดคล้องเพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. 2560 มาตรา 21
จัดสรรงบประมาณ และกรอบการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการในแต่ละปีงบประมาณและมอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร. กำหนดตัวชี้วัดของหน่วยงานของรัฐให้สอดคล้อง พร้อมทั้งให้สำนักงาน ก.พ. ดำเนินการในการวางแผนการสร้างและพัฒนากำลังคนดิจิทัลของรัฐให้สอดคล้องกับความต้องการตามบริบทการพัฒนาของประเทศ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) กำหนดรายละเอียดกลไกสนับสนุนการขับเคลื่อนการดำเนินงานรองรับ
รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานของรัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการดิจิทัล ระยะ 3 ปี ของหน่วยงาน และมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ดำเนินการตามภารกิจที่กำหนดนำแผนฯ 20 ปี และแผนฯ 5 ปี จัดทำหรือปรับปรุงแผนปฏิบัติการ หรือแผนงานของหน่วยงานที่มีอยู่ให้สอดคล้อง โดยมุ่งเน้นการทำงานในลักษณะบูรณาการร่วมกับภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน และส่งให้ สดช. สำหรับนำเสนอคณะกรรมการเฉพาะด้านตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. 2560 มาตรา 22 ต่อไป
และให้ ดศ. รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ต่างประเทศ
18.เรื่อง การพิจารณาเปิดโอกาสให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนามเข้ามาทำงานตาม MOU เพิ่มเติม
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้ปรับปรุงบันทึกข้อตกลงด้านการจ้างงานระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2558 เพื่อเปิดโอกาสให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนามเข้ามาทำงานตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงานระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย กับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามเพิ่มเติม โดยให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนามที่นำเข้าตามร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวสามารถทำงานรับใช้ในบ้านและงานกรรมกรในทุกประเภทกิจการได้เช่นเดียวกับแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ และให้ รง. ดำเนินการเจรจากับฝ่ายสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามเกี่ยวกับประเภทกิจการที่จะเปิดโอกาสให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนามเข้ามาทำงานเพิ่มเติม ให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจน โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ผลประโยชน์และความมั่นคงของชาติ โอกาสในการประกอบอาชีพและวิชาชีพของคนไทย รวมถึงความต้องการแรงงานต่างด้าวที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ แล้วนำเสนอบันทึกข้อตกลงที่ปรับปรุงแล้วต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่งก่อนดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ ให้ รง. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
รง. เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการให้ปรับปรุงบันทึกข้อตกลงด้านการจ้างงานระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2548 เพื่อเปิดโอกาสให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนามเข้ามาทำงานรับใช้ในบ้าน และงานกรรมกรในทุกประเภทกิจการได้เช่นเดียวกับแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ภายหลังจากที่ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงฯ และเปิดให้มีการลงทะเบียนตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าวพบว่า มีแรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนามจำนวนน้อยที่ประสงค์จะเข้าทำงานกรรมกรในกิจการก่อสร้างและประมงทะเลตามที่กำหนดไว้ในบันทึกข้อตกลงฯ ประกอบกับปัจจุบันยังมีแรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนามลักลอบทำงานประเภทอื่นซึ่งมิได้ระบุไว้ในบันทึกข้อตกลงดังกล่าวด้วย ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานและส่งเสริมให้มีการจ้างแรงงานต่างด้าว ที่ถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งยังช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทย คณะกรรมการนโยบายการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน ในการประชุมครั้งที่ 1/2561 จึงได้มีมติให้เพิ่มประเภทแรงงานให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนามที่นำเข้าตามบันทึกความเข้าใจฯ สามารถทำงานรับใช้ในบ้านและงานกรรมกรในทุกประเภทกิจการเช่นเดียวกับแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา โดยครอบคลุม 25 กิจการ เช่น กิจการประมง กิจการเกษตรและปศุสัตว์ กิจการก่อสร้าง กิจการต่อเนื่องประมงทะเล กิจการต่อเนื่องการเกษตร กิจการต่อเนื่องปศุสัตว์ เป็นต้น
19.เรื่อง ขออนุมัติลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงเกษตร ป่าไม้และการประมงแห่งสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจระหว่าง กษ. แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงเกษตร ป่าไม้และการประมงแห่งสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
(โดยจะมีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในระหว่างการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ป่าไม้และการประมงแห่งสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2561)
ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจเพิ่มเติมจากที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ให้ กษ. สามารถดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2558 (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ
สาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างและสนับสนุนการถ่ายทอดเทคโนโลยี ความร่วมมือทางด้านวิชาการและทางวิทยาศาสตร์ในสาขาการเกษตรระหว่างผู้เข้าร่วมทั้งสองฝ่าย โดยปราศจากการเลือกปฏิบัติต่อความร่วมมือในสาขาอื่น ๆ ซึ่งอาจมีการพิจารณาในอนาคต โดยคู่ภาคีกำหนดได้กำหนดสาขาความร่วมมืออย่างกว้าง ๆ ดังนี้
1. การพัฒนาด้านการเกษตร ซึ่งรวมถึง สัตว์ ประมง และพืช การชลประทาน และการใช้ที่ดิน
2. การพัฒนาสหกรณ์การเกษตรและสถาบันเกษตรกร
3. การพัฒนาความร่วมมือในด้านความมั่นคงทางอาหารและความปลอดภัยอาหาร ซึ่งรวมถึงสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช และมาตรฐานอาหาร
4. การเสริมสร้างความร่วมมือและการประสานงานกับองค์กรระหว่างประเทศในภูมิภาค และนานาชาติ
5. สาขาที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ที่ผู้เข้าร่วมทั้งสองฝ่ายให้ความสนใจและเห็นชอบร่วมกัน
สำหรับรูปแบบความร่วมมือจะดำเนินการในรูปแบบ ต่างๆ ดังนี้ 1. การแลกเปลี่ยนนักวิชาการและนักวิจัย 2. การวิจัยร่วมด้านการเกษตร ซึ่งรวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านวิชาการและวิทยาศาสตร์ 3. การฝึกอบรม ซึ่งรวมถึงหลักสูตร การสัมมนาและการศึกษาดูงาน และการฝึกอบรมเฉพาะทางอื่น ๆ ที่จำเป็นในเรื่องที่มีความสนใจร่วมกัน 4. การพัฒนาด้านการตลาด และการส่งเสริมธุรกิจการเกษตรและความสัมพันธ์ทางการค้า 5. การส่งเสริมการติดต่อระหว่างหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน และองค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องในสาขาเกษตร และ 6. รูปแบบความร่วมมืออื่น ๆ ซึ่งผู้เข้าร่วมทั้งสองฝ่ายเห็นชอบ
โดยมีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมด้านการเกษตร (Joint Agricultural Working Group : JAWG) เพื่อดำเนินการตามเงื่อนไขของบันทึกความเข้าใจฉบับนี้
20.เรื่อง การจัดทำและลงนามร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งราชอาณาจักรไทยกับสภาวิจัยแห่งชาติ แคนาดา
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ระหว่าง วท. แห่งราชอาณาจักรไทยกับสภาวิจัยแห่งชาติ แคนาดา (National Research Council Canada - NRC)
2. อนุมัติให้ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ทั้งนี้ ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้ วท. สามารถดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2558 (เรื่องการจัดทำหนังสือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
สาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนความร่วมมือใน การวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การใช้งานวิจัยให้เกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ การพัฒนากิจการร่วมค้าหรือหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ด้านเทคโนโลยีระหว่างวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของทั้งสองประเทศ และความร่วมมือในสาขาอื่น ๆ
โดยมีสาขาความร่วมมือ ได้แก่ 1. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร 2. พลังงานหมุนเวียนและพลังงานทางเลือก 3. เทคโนโลยีและการวิจัยเชิงอุตสาหกรรมด้านระบบราง 4. การบำบัดโรคในมนุษย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ 5. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านวัสดุ (ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับวัสดุต่าง ๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพ เช่น การพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อเก็บรักษาคุณภาพของอาหาร) 6. เทคโนโลยีชีวภาพ 7. มาตรฐานและการวัดทางวิทยาศาสตร์ (การสอบเทียบค่ามาตรฐาน เช่น การวัดค่าอุณหภูมิในกระบวนการผลิต ซึ่งจะต้องให้ได้ค่าอุณหภูมิตามมาตรฐาน) 8. สาขาความร่วมมืออื่น ๆ
สำหรับรูปแบบความร่วมมือ ได้แก่ การวิจัยร่วม การฝึกอบรม การแลกเปลี่ยนข้อมูลและบุคลากร การเชื่อมโยงระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ รวมทั้งการพัฒนากิจการร่วมค้าหรือหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ โดยจะมีการระบุประเด็นทรัพย์สินทางปัญญาที่เกิดขึ้นจากโครงการความร่วมมือไว้ในภาคผนวกด้วย ทั้งนี้ ระยะเวลาการใช้บังคับบันทึกความเข้าใจฯ มีอายุ 5 ปี นับจากวันที่ลงนาม ซึ่งคู่ร่วมความตกลงอาจขอแก้ไขหรือขยาย โดยตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรร่วมกัน รวมทั้งอาจยุติบันทึกความเข้าใจฯ ลงก่อนได้ โดยแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรแก่อีกฝ่ายหนึ่งล่วงหน้า 90 วัน ทั้งนี้ การสิ้นสุดบันทึกความเข้าใจฯ จะไม่มีผลกระทบต่อข้อตกลงโครงการความร่วมมือด้านการวิจัยที่กำลังดำเนินการอยู่
21.เรื่อง เอกสารที่จะมีการรับรองในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ครั้งที่ 18
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างปฏิญญาอูบุด (Ubud Declaration) และร่างกรอบการกำกับดูแลข้อมูลดิจิทัล (Framework on Digital Data Governance) ที่จะมีการรับรอบในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (ASEAN Telecommunications and Information Technology Ministers Meeting : TELMIN) ครั้ง 18
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารดังกล่าว
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาอูบุด และร่างกรอบการกำกับดูแลข้อมูลดิจิทัล ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ให้ ดศ. ดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
ดศ. รายงานว่า อินโดนีเซียกำหนดจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม TELMIN ครั้งที่ 18 และการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (ASEAN Telecommunications and Information Technology Senior Officials Meeting: TELSOM) ครั้งที่ 19 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 3 – 6 ธันวาคม 2561 ณ เมืองอูบุด สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยในการประชุม TELMIN ครั้งที่ 18 จะมีการรับรองเอกสารด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จำนวน 2 ฉบับ ได้แก่ ร่างปฏิญญาอูบุด (Ubud Declaration) และร่างกรอบการกำกับดูแลข้อมูลดิจิทัล (Framework on Digital Data Governance) สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. ร่างปฏิญญาอูบุด เน้นการตระหนักถึงประชาคมอาเซียนที่เติบโตโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและก่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนอาเซียนในทุกมิติครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม เพื่อมุ่งสู่ระบบนิเวศทางดิจิทัลในอนาคตเพื่อความมั่งคั่งของอาเซียน ซึ่งจะครอบคลุมการปรับปรุงกฎระเบียบภายในประเทศสมาชิกอาเซียนให้มีความสอดคล้องและสนับสนุนการรวมตัวด้านดิจิทัลในภูมิภาคเพื่อเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล บริการดิจิทัล เสริมสร้างความร่วมมือและการพัฒนาระหว่างกันผ่านกรอบอาเซียน เช่น การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การจัดทำกรอบการกำกับดูแลข้อมูลดิจิทัล การพัฒนาสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจและการพัฒนานวัตกรรม การพัฒนาคุณสมบัติและทักษะวิชาชีพด้านไอซีที รวมถึงการส่งเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศในอาเซียนให้เพิ่มมากขึ้น
2. ร่างกรอบการกำกับดูแลข้อมูลดิจิทัล เพื่อกำหนดแนวทาง หลักการ และข้อริเริ่มเพื่อให้ประเทศสมาชิกอาเซียนสามารถนำไปกำหนดนโยบายและการกำกับดูแลข้อมูลดิจิทัล และเอื้อต่อการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล ประกอบด้วย 4 กลยุทธ์หลัก คือ (1) วงจรชีวิตข้อมูลและระบบนิเวศ ซึ่งประกอบด้วยหลักการคุณภาพและความสมบูรณ์ของข้อมูล การใช้และการเข้าถึงข้อมูลความมั่นคงปลอดภัย (2) การไหลเวียนข้อมูลข้ามพรมแดน ประกอบด้วย หลักการข้อมูลข้ามพรมแดน และวิธีการของการไหลเวียนข้อมูลในอาเซียน (3) การเปลี่ยนแปลงดิจิทัลและเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ ประกอบด้วย หลักการพัฒนาศักยภาพ และการมีเวทีหารือของอาเซียนในเรื่องนวัตกรรมดิจิทัล และ (4) กฎหมายและกฎระเบียบ ประกอบด้วย หลักการกฎระเบียบ การคุ้มครองข้อมูลและความเป็นส่วนบุคคล ความรับผิดชอบ การนำแนวปฏิบัติที่ดีมาใช้
ทั้งนี้ กรอบการกำกับดูแลข้อมูลดิจิทัลจะไม่มีผลผูกพันและไม่ก่อให้เกิดสิทธิหรือพันธกรณีภายใต้กฎหมายภายในประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศแต่อย่างใด (ตามข้อ 34 ของเอกสารฯ) และจะมีการทบทวนกรอบดังกล่าวเป็นระยะ ๆ โดยจะต้องได้รับความเห็นชอบร่วมกันจากประเทศสมาชิกอาเซียน (ตามข้อ 37 ของเอกสาร)
22.เรื่อง ร่างปฏิญญาที่จะมีการรับรองในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 24 เมืองคาโตวีเซ สาธารณรัฐโปแลนด์
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรับรองร่างปฏิญญาซิเลเซียว่าด้วยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม (Solidarity and Just Transition Silesia Declaration) สำหรับการประชุมระดับผู้นำ โดยมอบหมายกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานกระทรวงการต่างประเทศ ทำหนังสืออย่างเป็นทางการถึงคณะผู้แทนถาวรโปแลนด์ประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก เพื่อแจ้งชื่อพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในรายชื่อผู้สนับสนุน (List of supporters) ของร่างปฏิญญาฯ และเห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แจ้งการรับรองร่างปฏิญญาคาโตวีเซระดับรัฐมนตรีว่าด้วยป่าไม้เพื่อสภาพภูมิอากาศ (The Ministerial Katowice Declaration on Forests for the Climate) สำหรับการประชุมระดับรัฐมนตรี ไปยังสาธารณรัฐโปแลนด์ผ่านทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
สาระสำคัญของร่างเอกสารที่จะมีการรับรองในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 24 สรุป ดังนี้
1. ร่างปฏิญญาซิเลเซียว่าด้วยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม (Solidarity and Just Transition Silesia Declaration) สำหรับการประชุมระดับผู้นำ กล่าวถึงความจำเป็นของการตอบสนองต่อภัยคุกคามเร่งด่วนจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ รวมถึงสถานการณ์ที่มีความร้ายแรงเกินปกติอันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีต่อแรงงานที่มีความเปราะบางและกลุ่มประชาชนที่ยากจน ส่งผลให้ภาคีความตกลงปารีสเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้ความสำคัญกับความจำเป็นของการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมของแรงงานและการสร้างงานที่ดีและมีคุณภาพ ซึ่งจะทำให้เกิดความมั่นใจถึงการเปลี่ยนผ่านไปสู่การพัฒนาที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อสภาพภูมิอากาศ
2. ร่างปฏิญญาคาโตวีเซระดับรัฐมนตรีว่าด้วยป่าไม้เพื่อสภาพภูมิอากาศ (The Ministerial Katowice Declaration on Forests for the Climate) สำหรับการประชุมระดับรัฐมนตรี กล่าวถึงบทบาทความสำคัญของป่าไม้ในการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความจำเป็นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการตัดไม้ทำลายป่าและความเสื่อมโทรมของป่าไม้ ตลอดจนผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีต่อรูปแบบของการรบกวนป่า ซึ่งนำไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถของป่าในการกักเก็บคาร์บอน ดังนั้น การบริหารจัดการป่าไม้ในหลายรูปแบบและยั่งยืน รวมถึงการปกป้องป่าไม้ จึงเป็นหลักสำคัญในการบรรลุความสมดุลระหว่างการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์จากแหล่งต่าง ๆ และการกักเก็บก๊าซเรือนกระจกโดยการดูดซับ
23.เรื่อง ขออนุมัติกรอบการหารือสำหรับการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 25
คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามข้อเสนอของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และอนุมติ ดังนี้
กรอบการหารือมีประเด็นสำคัญได้แก่
1) แผนปฏิบัติการประจำปี 2562 (ค.ศ.2019) ของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง
2) การเพิ่มพูนความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจา (จีน-เมียนมา) หุ้นส่วนการพัฒนาและความร่วมมือในภูมิภาค
3) การดำเนินงานตามระเบียบปฏิบัติ ด้านการใช้น้ำและการปรึกษาหารือล่วงหน้า กรณีโครงการไฟฟ้าพลังน้ำปากลาย ของ สปป.ลาว
4) การคัดเลือกหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง วาระปี 2562-2564
ทั้งนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและคณะผู้แทนไทย จะใช้กรอบการหารือดังกล่าวในการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 25 ระหว่างวันที่ 26-29 พฤศจิกายน 2561 ณ จังหวัด Ha Long สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
24.เรื่อง ขอความเห็นชอบคณะรัฐมนตรีต่อร่างขอบเขตอำนาจหน้าที่ (TOR) รัฐมนตรีแรงงานอาเซียน (ALMM)
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างขอบเขตอำนาจหน้าที่ (TOR) รัฐมนตรีแรงงานอาเซียน (ALMM) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย รับรองขอบเขตอำนาจหน้าที่ (TOR) รัฐมนตรีแรงงานอาเซียน (ALMM) ตามข้อเสนอของกระทรวงแรงงาน
ร่างขอบเขตอำนาจหน้าที่ (TOR) รัฐมนตรีแรงงานอาเซียน (ALMM) มีเจตนารมณ์ที่จะส่งเสริมมาตรฐานการดำเนินงานของรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน (ALMM) เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อการขับเคลื่อนประเด็นด้านแรงงานในภูมิภาคอาเซียน
โดยร่างขอบเขตอำนาจหน้าที่ (TOR) รัฐมนตรีแรงงานอาเซียน (ALMM) ประกอบด้วย 10 หมวด ได้แก่ 1) ภูมิหลัง 2) พันธกิจ 3) อำนาจหน้าที่ 4) องค์ประกอบและโครงสร้าง 5) กระบวนการทำงาน 6) การตัดสินใจ 7) ระยะเวลาและการเวียนวาระของประธานและรองประธาน 8) บทบาทและความรับผิดชอบของประธานรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน 9) ความร่วมมือกับองค์กรระดับรัฐมนตรีอาเซียนเฉพาะสาขาและภาคีภายนอก และ 10) การปรับแก้ขอบเขตอำนาจหน้าที่ เพื่อให้ความร่วมมือภายใต้กรอบรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน (ALMM) เป็นไปโดยมีมาตรฐานที่แน่ชัด อีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งขององค์กรอีกด้วย
25.เรื่อง ขอความเห็นชอบร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีสำหรับการประชุมว่าด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนิวเคลียร์
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีสำหรับการประชุม Ministerial Conference on Nuclear Science and Technology และเห็นชอบให้อุปทูตรักษาราชการ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวียนนาหรือผู้แทน ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ร่วมรับรองร่างปฏิญญาฯ ในช่วงระหว่างการประชุม Ministerial Conference on Nuclear Science and Technology ตั้งแต่วันที่ 28 – 30 พฤศจิกายน 2561 ณ กรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย ตามข้อเสนอของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ทั้งนี้ ร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีสำหรับการประชุม Ministerial Conference on Nuclear Science and Technology เป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมเพื่อแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของสมาชิกที่จะร่วมสนับสนุนและส่งเสริมการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติเพื่อประโยชน์ด้านการพัฒนา และการสร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับประชาชน
แต่งตั้ง
26.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้
1. นายวีรวัฒน์ มโนสุทธิ นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขาเวชกรรมทั่วไป) กลุ่มงานการรักษา กลุ่มบริการเฉพาะทาง สถาบันบำราศนราดูร กรมควบคุมโรค ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) กลุ่มงานการรักษา กลุ่มบริการเฉพาะทาง สถาบันบำราศนราดูร กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2561
2. นายปริทรรศ ศิลปกิจ นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขาจิตเวช) กลุ่มพัฒนาวิชาการ โรงพยาบาลสวนปรุง กรมสุขภาพจิต ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาจิตเวช) กลุ่มพัฒนาวิชาการ โรงพยาบาลสวนปรุง กรมสุขภาพจิต ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2561
3. นางปิยพร เสาร์สาร นักวิชาการสาธารณสุขเชี่ยวชาญ (ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม) กรมอนามัย ดำรงตำแหน่ง นักวิชาการสาธารณสุขทรงคุณวุฒิ (ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม) กรมอนามัย ตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2561
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
27.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง นางนิรมล ลีลาอดิศร ทันตแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านทันตกรรม) กลุ่มงานทันตกรรม โรงพยาบาลร้อยเอ็ด สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง ทันตแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านทันตกรรม) กลุ่มงานทันตกรรม โรงพยาบาลร้อยเอ็ด สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2561 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
28.เรื่อง ขอแจ้งรายชื่อโฆษกกระทรวงพาณิชย์และรองโฆษกกระทรวงพาณิชย์
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) แต่งตั้งโฆษก พณ. และรองโฆษก พณ. (ตามคำสั่ง พณ. ที่ 3/93/2561 เรื่อง การแต่งตั้งโฆษก พณ. และรองโฆษก พณ.) ดังนี้ 1. นายสมศักดิ์ เกียรติชัยลักษณ์ เป็นโฆษกกระทรวงพาณิชย์ 2. นายสุพพัต อ่องแสงคุณ เป็นรองโฆษกกระทรวงพาณิชย์
29.เรื่อง การแต่งตั้งโฆษกกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) เสนอการเปลี่ยนแปลงโฆษกประจำ กก. ซึ่งแต่งตั้งให้ นายสันติ ป่าหวาย รองปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็น โฆษก กก. แทน นายสุพจน์ วงศ์พรหมท้าว ผู้อำนวยการกองกลาง สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ทั้งนี้ ตามคำสั่ง กก. ที่ 833/2561 เรื่อง แต่งตั้งโฆษกกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สั่ง ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2561
30.เรื่อง การแต่งตั้งผู้ที่จะดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอแต่งตั้ง นายโกมล จิรชัยสุทธิกุล กรรมการร่างกฎหมายประจำ (นักกฎหมายกฤษฎีกาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2561 ซึ่งเป็นวันที่มีคำสั่งให้รักษาราชการแทนในตำแหน่งดังกล่าว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
31.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 5 ราย ดังนี้
1. นายสมหมาย เตชวาล รองอธิบดีกรมทรัพยากรธรณี ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี
2. นายอรรถพล เจริญชันษา รองอธิบดีกรมป่าไม้ ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมป่าไม้
3. นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
4. นายโสภณ ทองดี รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
5. นายภาดล ถาวรกฤชรัตน์ รองอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
32.เรื่อง แต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอแต่งตั้ง นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร แทน นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่เกษียณอายุราชการ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 เป็นต้นไป
33.เรื่อง ให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่ออีกหนึ่งวาระ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ซึ่งจะครบวาระการดำรงตำแหน่งหนึ่งปี ในวันที่ 11 ธันวาคม 2561 คงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่ออีกหนึ่งวาระ ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2561 จำนวน 3 ราย ดังนี้
1. หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี อยู่ในบังคับบัญชารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
2. นางจินตนา ชัยยวรรณาการ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี อยู่ในบังคับบัญชารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
3. พลเอก ปัฐมพงศ์ ประถมภัฏ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อยู่ในบังคับบัญชารองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ)
34. เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอแต่งตั้ง ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. นางพัชรี อาระยะกุล รองอธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นางสุจิตรา พิทยานรเศรษฐ์ รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
35.เรื่อง ขออนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. นายขจิต สุขุม ผู้ช่วยปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นายภูเวียง ประคำมินทร์ รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี