"อนุทิน” ชูยุทธศาสตร์ภูมิใจไทย ดันสร้างประชาชนรับ ศตวรรษที่ 21 แนะรัฐเอาใจใส่ ออกแนวทาง ยืดหยุ่นกฎหมาย กำกับดูแล
28 พ.ย.61 ที่อาคารศูนย์การเรียนรู้ ชั้น 2 ไทยพีบีเอส พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัล และโฆษกพรรคภูมิใจไทย ได้ร่วมงานสัมมนาวิชาการเรื่อง “การเมืองไทยกับการสร้างคนไทย ศตวรรษที่ 21” ณ Convention Hall โดยกล่าวว่า พรรคภูมิใจไทย(ภท.) นำโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ได้จัดทีมยุทธศาสตร์ เพื่อวางแนวทาง “การสร้างคนไทยศตวรรษที่ 21” เพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงเมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้าด้วยอัตราเร่ง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี จึงทำให้รูปแบบการทำงานและอาชีพต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จนจะทำให้แรงงานแบบดั้งเดิมไม่สามารถทำงานร่วมกับเครื่องจักรแบบอัตโนมัติและ AI ได้ โดยเห็นได้จากงานวิจัยเรื่อง “Technology and the Future of ASEAN Jobs” โดย Cisco ร่วมมือกับ Oxford Economics ในการศึกษาถึงผลกระทบจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีต่อแรงงานในกลุ่มประเทศ ASEAN-6 ซึ่งได้แก่ ประเทศไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และบรูไน ซึ่งการศึกษาพบว่า ประชากรใน ASEAN ทั้งหมดที่มีประมาณ 630 ล้านคนนั้น ครึ่งหนึ่งของจำนวนนี้มีอายุต่ำกว่า 30 ปี ถือเป็นความได้เปรียบทางการแข่งขันสำหรับภาคการผลิตในระดับนานาชาติ อย่างไรก็ตามอิทธิพลของการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล (digital transformation) ยังหมายถึง แรงงานจำนวนมากในภูมิภาคนี้อาจจะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงด้านทักษะใหม่ๆอย่างมาก
พ.อ.ดร.เศรษฐพงศ์ กล่าวต่อว่า จากการศึกษาดังกล่าวพบอีกด้วยว่า ภายในปี 2028 ตำแหน่งงานทั้งหมดจะมีความแตกต่างไปจากเดิมอย่างมาก เนื่องจากตำแหน่งงานที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่นั้น แตกต่างไปจากตำแหน่งงานเดิม และอาจต้องมีบางตำแหน่งงานที่หายไป โดยมีข้อสังเกตว่า จะมีแรงงานในภาคการเกษตรที่อาจจะต้องว่างงานถึง 5.7 ล้านคน ภายในปี 2028 ในกลุ่มประเทศ ASEAN-6 และภายในปี 2028 ในภูมิภาคอาเซียนจะต้องการแรงงานแบบดั้งเดิมลดลงกว่า 28 ล้านตำแหน่ง ซึ่งมากกว่า 10% ของตำแหน่งงานใน ASEAN-6 ในปัจจุบัน อีกประเด็นสำคัญคือการเกิดขึ้นของ ระบบเศรษฐกิจแบบแบ่งปัน หรือ Sharing economy เป็นธุรกิจรูปแบบใหม่ที่ดำเนินการบน digital platform ซึ่งเริ่มเข้ามาส่งผลกระทบต่อตลาดแบบดั้งเดิม ที่จำเป็นต้องมีการพัฒนาทักษะของแรงงานที่จะต้องตอบรับการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ
“ระบบเศรษฐกิจแบบแบ่งปันทำให้รูปแบบอุตสาหกรรมเปลี่ยนแปลงไป และทำให้มีการใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เกิดโอกาสในการเพิ่มตำแหน่งงานได้อย่างมหาศาล โดยบริการที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในเศรษฐกิจแบบแบ่งปัน ก็คือ Grab ที่เป็นระบบการขับขี่รถยนต์ร่วมกัน และ Airbnb ที่ให้บริการที่พัก อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจแบบแบ่งปัน ยังขยายไปสู่ในภาคส่วนการเงิน เครื่องมือเครื่องใช้ในบ้าน การลงทุน และงานประจำวันมากขึ้น” โฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าว
พ.อ.ดร.เศรษฐพงศ์ กล่าวอีกว่า แต่ความท้าทายของระบบเศรษฐกิจแบบแบ่งปัน ก็คือกฎระเบียบของรัฐบาลที่อุตสาหกรรมต่างๆ ต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่ถูกบัญญัติในแบบดั้งเดิม ซึ่งถือเป็นปัญหาที่ท้าทายอย่างมาก โดยผลเสียที่เกิดจากการออกกฎหมายและกฎระเบียบที่รัดกุมมากเกินไปและไม่มีความยืดหยุ่น จะเป็นการขัดขวางการพัฒนาเทคโนโลยี จนไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการค้าขายรูปแบบใหม่เท่าที่ควร และยังเป็นการยับยั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจใหม่อีกด้วย ดังนั้นรัฐบาลและหน่วยงานกำกับดูแลจึงควรมีการออกแบบแนวทางใหม่ๆ ให้ยืดหยุ่นมากขึ้นในด้านกฎระเบียบและการกำกับดูแล ที่จะกระตุ้นให้เกิดการเติบโตของระบบเศรษฐกิจแบบแบ่งปันได้ โดยหน่วยงานกำกับดูแลควรกระตุ้นและส่งเสริมแบบ bottom-up และเปิดให้มีการควบคุมตนเอง (Self-regulation) มากกว่าที่จะมีการควบคุมจากรัฐบาลแบบ top-down ด้วยการหลีกเลี่ยงกรอบการกำกับดูแลเฉพาะอุตสาหกรรม และควรลดกฎระเบียบที่ทำให้ธุรกิจสตาร์ทอัพใหม่ๆ เข้ามาแข่งขันได้ยาก โดนผู้จ้างงานอิสระ อาจจะไม่ต้องการข้อจำกัดที่มากเกินไปของกฎหมายการจ้างงาน
โฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ในประเด็นการพัฒนาทักษะของแรงงาน ซึ่ง World Economic Forum ได้มีข้อแนะนำว่า การที่จะเตรียมคนทักษะใหม่ๆ ที่ตอบความต้องการของแรงงานในศตวรรษที่ 21 ได้นั้น นโยบายของประเทศที่ผ่านระบบการเมืองการปกครองจะต้องมีความเข้าใจในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยได้สรุป 4 ประเด็นสำคัญยิ่ง (critical areas) ที่จะต้องทำการพัฒนา คือ 1.การร่วมมือกันและทำงานเป็นทีม (Collaboration and teamwork) 2.ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ (Creativity and imagination) 3.การคิดเชิงวิพากษ์ (Critical thinking) 4.ความสามารถในการแก้ปัญหา (Problem solving) จึงทำให้การศึกษายุคใหม่นั้น ไม่เพียงแต่ต้องมีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่แรงงานใหม่จำเป็นต้องรู้วิธีการเรียนรู้ (Learning skill) ที่ถูกต้องและมี Mindset ที่เหมาะสมที่จะต้องรู้วิธีการเรียนรู้ด้วยตัวเอง (Learn how to learn) โดยพ่อแม่ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ให้มากขึ้น ครูต้องเปลี่ยนบทบาทจาก Lecturer เป็น Facilitator ในขณะที่โรงเรียนและหลักสูตรต้องมีการปรับตัวและเปิดโอกาสให้มีการสร้างหลักสูตรใหม่ๆ อย่างรวดเร็ว
จากการวิจัยของ World Economic Forum (WEF) พบว่าทักษะที่จำเป็นอย่างมากในศตวรรษที่ 21 ที่เพิ่มเติมออกมาอย่างเห็นได้ชัดคือ “ทักษะการเข้าสังคมและอารมณ์ (Social & Emotional Skills)” นั่นเอง เนื่องจากมีแนวโน้มว่า อาชีพที่ต้องใช้ social skill มีจำนวนเพิ่มขึ้นและมีความต้องการมากขึ้น ในขณะที่อาชีพที่ไม่ใช้ social skill ได้ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งผลการวิจัยยังบอกอีกว่า 65% ของเด็กที่เรียนอยู่ในขณะนี้จะต้องทำงานในอาชีพที่ปัจจุบันยังไม่เกิดขึ้น ความหมายก็คือ การเรียนในปัจจุบันอาจไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของอาชีพที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตได้
“ด้วยเหตุนี้เองวิธีการเรียนการสอนในห้องเรียนแบบดั้งเดิมที่มีครูเป็นผู้สอนอยู่ฝ่ายเดียว จึงไม่ตอบโจทย์โลกอนาคตอีกต่อไป ดังนั้น บทบาทของครูที่เป็น “ผู้ถ่ายทอดความรู้” (Lecturer) จึงต้องถูกเปลี่ยนเป็น “ผู้สร้างประสบการณ์ในการเรียนรู้” (Facilitator) โดยหน้าที่ของครูนั้นจะไม่ใช่การแค่มาสอนในห้องเรียนอีกต่อไป แต่จำเป็นต้องใช้กระบวนการที่ให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนผ่านการลงมือทำจริง โดยครูเป็นผู้ให้คำแนะนำและแนะแนวทางในวิธีการเรียนรู้ และแนะนำวิธีการวิเคราะห์แทนการสอนแบบเดิมๆ คือการสอนแบบ Learn how to learn เราจะต้องสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ใหม่ให้กับคนไทย เด็กไทยยุคใหม่จะอยู่นิ่งและปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามระบบที่สร้างไว้เดิมไม่ได้อีกต่อไป เพราะระบบการศึกษาในปัจจุบันไม่ได้พัฒนาให้ทันโลกได้เร็วพอ เด็กเองจึงต้องตั้งคำถามกับตัวเองให้มากขึ้นและบ่อยขึ้น ว่าตัวเองชอบอะไร ถนัดอะไร อยากจะมีชีวิตแบบไหน และจะต้องเรียนรู้ที่จะเรียนด้วยตัวเอง (Learn how to Learn) วิเคราะห์และตอบตัวเองให้ได้ว่าทักษะไหนในศตวรรษที่ 21 ที่ตัวเองขาดอยู่ และต้องออกจาก Comfort Zone ของตัวเองเพื่อไปเติมทักษะเหล่านั้นให้เต็ม” พ.อ.ดร.เศรษฐพงศ์ ระบุ
โฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวด้วยว่า สำหรับสถาบันการศึกษาทุกระดับ ก็จะต้องเปลี่ยนนโยบายและหลักสูตรให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกเช่นกัน เช่น การเปิดกว้างต่อความรู้ใหม่ๆ, หลักสูตรการเรียนรู้ที่วัดผลทักษะผ่านการทำกิจกรรม ที่ไม่ได้วัดด้วยการสอบ เพราะการสอบวัดได้แค่ความรู้เพียงอย่างเดียว อีกทั้งหลักสูตรผลิตบุคลากรครูที่จะช่วยเติมทักษะของการเป็น Facilitator นั้นจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โรงเรียนและมหาวิทยาลัยเติมเต็มทักษะในศตวรรษที่ 21 เข้าไปในหลักสูตรได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งการแก้ปัญหาดังกล่าวของประเทศไทย สามารถทำได้ด้วยวิธีการที่ดีที่สุด รวดเร็วที่สุด และลงทุนน้อยที่สุดด้วยการเปิดโอกาสทางการศึกษาให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงการศึกษาได้ทางออนไลน์ ที่ง่ายดาย ทันสมัย และฟรี เพียงใช้นิ้วสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นใคร อายุเท่าไร อยู่ที่ใด และเวลาใด อย่างไรก็ตามพรรคภูมิใจไทยได้เสนอแนวคิด Thailand Sharing University ซึ่งเป็นการศึกษาผ่านระบบออนไลน์ที่สอดคล้องต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และสามารถเปิดโอกาสทางการศึกษาให้ประชาชนคนไทยทุกคน ซึ่งสามารถลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมได้ในที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี