28 พ.ย.61 รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ในฐานะผู้อำนวยการโครงการสำรวจความนิยมของนักการเมืองที่ประชาชนปรารถนาให้เป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งเดือน ก.พ.62 เปิดเผยผลการสำรวจคะแนนนิยมของประชาชนว่าอยากได้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้ง โดยการสำรวจดำเนินการมาแล้ว 4 ครั้ง ปรากฏว่า อันดับ 1 คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (อ่านข่าวประกอบ : 'บิ๊กตู่'รั้งอันดับ1 ประชาชนหนุนนั่ง'นายกรัฐมนตรี'หลังเลือกตั้ง)
ทั้งนี้ รศ.ดร.สังศิต กล่าวว่า จากผลโพลในโครงการสำรวจความนิยมของนักการเมืองที่ประชาชนปรารถนาให้เป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งเดือน ก.พ.62 วิทยาลัยฯ ได้ทำการรวบรวมประชากรครั้งละ 8,000 ตัวอย่าง ใน 350 เขตเลือกตั้ง ใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ ทำให้เห็นว่า ความนิยมของเครือข่ายพรรคไทยรักไทย ที่ตอนนี้กลายมาเป็นพรรคเพื่อไทย ของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ มีความนิยมลดน้อยลง เพราะมาจากปัจจัยความแตกแยกภายในของพรรคเพื่อไทย ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอีกต่อไป
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องบุคลากรนักคิด นักเขียน เอ็นจีโอ ของพรรคเพื่อไทย กลายมาเป็นฝ่ายตรงข้ามกันไปหมดแล้ว ทำให้ไม่มีการทำนโยบายใหม่ๆ ที่โดนใจประชาชนออกมา อีกทั้งนโยบายที่โดนใจคนที่เขาเคยทำ คือ 30 บาทรักษาทุกโรค กับกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาลก็ต้องนำไปใช้ทั้งนั้น ทำให้ทุกคนคิดถึงทักษิณ แต่วันนี้พรรคพลังประชารัฐ ได้ทำนโยบายบัตรคนจน ซึ่งมีขอบเขตการให้ประโยชน์แก่คนจนอย่างกว้างขว้าง โดยรวมเอานโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ผนวกรวมเข้ากับนโยบายอื่นๆ อีก เช่น เบี้ยคนชรา ค่าโดยสารสำหรับผู้ป่วย ฯลฯ และพบว่าเป็นนโยบายที่เอาชนะใจกลุ่มคนจน จำนวน 11 ล้านคน มากขึ้นอย่างรวดเร็ว
รศ.ดร.สังศิต กล่าวว่า ในทางกลับกันพรรคพลังประชารัฐ ที่มีความได้เปรียบ เนื่องจากเป็นพรรครัฐบาล เขาสามารถออกนโยบาย ใช้มาตรการต่างๆ ในการทำนโยบายให้กับกลุ่มคนได้ทุกอาชีพ ทุกระดับ เขาจึงได้เปรียบ แล้วกลายมาเป็นพรรคการเมืองที่ใหญ่โตขึ้น มีความพร้อมที่จะต่อสู้กับพรรคเพื่อไทย ได้อย่างสบาย
"ผมมองว่าพรรคพลังประชารัฐอาจจะชนะเด็ดขาดได้เลย เพราะเขาสามารถจับกลุ่มเป้าหมายคือ กลุ่มคนจนประมาณ 11 ล้านคน และผลิตนโยบายมาตอบสนองได้อย่างต่อเนื่อง พูดง่ายบัตรคนจนเอาชนะ 30 บาทรักษาทุกโรค ได้แบบไม่เห็นฝุ่น ซึ่งวาทะกรรมเรื่อง 30 บาทของคุณทักษิณ ที่พูดมาตลอดนั้น มาถึงจุดที่แพ้แล้ว คนรู้สึกว่าบัตรคนจนเป็นประโยชน์มากกว่า"
รศ.ดร.สังศิต กล่าวว่า วันนี้ถ้าดูคะแนนนิยมส่วนตัว พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งผมสำรวจมา 4 หน ชนะแค่ 3 หน แต่ครั้งสุดท้ายเริ่มชนะเยอะ ส่วนคะแนนนิยมพรรคแพ้มาตลอด แต่วันนี้พลิกกลับมาชนะ เหตุผลที่พลิกกลับมาชนะ คิดว่ามาจากเรื่องบัตรคนจน แล้วจากนี้อีก 90 วัน พรรคพลังประชารัฐ จะออกนำพรรคเพื่อไทยแบบทิ้งห่างมากขึ้น เพราะตอนนี้เขาไม่มีนักคิด ที่จะมาคิดทำนโยบายเหมือนสมัยก่อน ตอนนี้เหลือแต่การสู้ด้วยการปลุกใจ อย่างนี้ในทางการเมืองเขาแพ้แล้ว เพราะว่าเหลือแต่การปลุกใจ สงครามปลุกใจอย่างเดียว ไม่ทำให้ชนะ ต้องมีประชาชนสนับสนุนด้วยถึงจะชนะ
"ตอนนี้พรรคพลังประชารัฐ กำลังจะทำปรากฏการณ์เป็นพายุที่จะกวาดเพื่อไทย เป็นพรรคแรกตั้งแต่ปี 2544 ที่จะเอาชนะพรรคเพื่อไทยได้เป็นครั้งแรก เพราะฝั่งพรรคพลังประชารัฐ มีประชาชน นักคิดให้การสนับสนุนจำนวนมาก ดังนั้น พรรคพลังประชารรัฐมีแนวโน้มสูงมากที่จะกลับมาเป็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง" รศ.ดร.สังศิต กล่าว
อย่างไรก็ดี การเมืองย่อมมีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ หากฝ่ายไหนเกิดทำอะไรผิดพลาดอาจจะเป็นฝ่ายแพ้ได้ แต่หากแนวโน้มเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ พลังประชารัฐจะชนะเพื่อไทยเยอะ ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี เหมือนทีมฟุตบอล ที่มีกองหลังเพื่อช่วยกันป้องกันไม่ให้เสียประตู คือ ต้องป้องกันการดิสเครดิตตัวนายกฯ ประยุทธ์ เช่น เรื่องการมาจากเผด็จการ หรือเรื่องบุคลิกส่วนตัว รวมถึงการดิสเครดิตทางนโยบายอื่นๆ ต้องป้องกันให้ดี ขณะเดียวกันก็ต้องส่งกองหน้าไปทำประตู เช่น การผลิตนโยบายที่ตอบสนองประชาชน การส่งคนลงไปในพื้นที่เพื่อทำคะแนน ทราบว่ามีการตั้งคณะกรรมการหาเสียงฯ ที่มี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นประธาน เป็นสิ่งถูกต้องแล้ว แต่ต้องนำกระแสนโยบายบัตรคนจนลงไปในพื้นที่ด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี