"ปิยบุตร"ชำแหละรธน.60 ซัดฉบับคู่ขนานม.44 ฝังระบอบรัฐประหารชั่วลูกชั่วหลาน ลั่นหลังเลือกตั้งผนึกกำลังนักวิชาการ-ภาคประชาสังคมเสนอร่างแก้ทั้งฉบับ
10 ธ.ค.61 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ร่วมเสวนาทางวิชาการในหัวข้อ "ฝ่าวิกฤตรัฐธรรมนูญ 2560" โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารัฐธรรมนูญ 2560 คือลูกหลานของรัฐธรรมนูญ 2557 เกิดขึ้นจากเจตนารมณ์ของการรัฐประหารปี 2557 โดยตรง อีกทั้งเกิดขึ้นจากประชามติภายใต้บรรยากาศที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ฝ่ายเห็นด้วยรณรงค์ได้ฝ่ายเดียว ขณะที่ฝ่ายไม่เห็นด้วยถูกดำเนินคดีจากการวิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญขณะนั้น เพราะฉะนั้น การอ้างว่ารัฐธรรมนูญนี้มาจากการผ่านประชามติเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะบอกได้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มีความชอบธรรม
นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า ในด้านเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ 2560 มีหัวใจอยู่ 2 เรื่อง คือ 1.การสร้างระบบรัฐธรรมนูญคู่ขนาน และ 2.การให้ความชอบธรรมกับการรัฐประหารปี 2557 ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้มีแค่ 279 มาตรา แต่ยังมีมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 พ่วงไปด้วย และเนื่องจากมาตรา 279 คือการรับประกันการใช้อำนาจของ คสช.ซึ่งในทางปฏิบัติก็คือการทำให้มาตรา 44 สามารถขัดกับรัฐธรรมนูญได้ แค่มาตรา 44 มาตราเดียว บวกกับมาตรา 279 เข้าไป ก็เป็นการลบรัฐธรรมนูญได้ทั้งฉบับแล้ว คนเขียนรัฐธรรมนูญฉบับนี้เขียนได้มหัศจรรย์ที่สุด คือการเขียนรัฐธรรมนูญไว้คู่ขนาน กับคนธรรมดาใช้ได้ทั้ง 279 มาตรา แต่กับพวกเขา คือ คสช.ไม่มีผลทุกมาตรา
"รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกเขียนขึ้นเพื่อให้การรัฐประการถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ และให้ระบอบการรัฐประหารอยู่คู่กับสังคมไทยต่อไปในอนาคต แม้จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น แต่การแก้รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ เพราะมีการฝังอุปสรรคไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการบังคับให้ต้องใช้เสียงเห็นชอบจากฝ่ายค้าน จาก สว.และสุดท้ายคือศาลรัฐธรรมนูญ จึงไม่ใช่รัฐธรรมนูญธรรมดาหลังยึดอำนาจ แต่มันเป็นรัฐธรรมนูญที่ฝากระบอบการรัฐประหารเอาไว้ชั่วลูกชั่วหลาน" นายปิยบุตร กล่าว
นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า สำหรับการแก้ไขวิกฤตที่เกิดจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ สิ่งแรกที่จะต้องทำ คือ การยกเลิกมาตรา 279 ทิ้ง เพื่อให้การใช้อำนาจของ คสช.ไม่มีกรอบคุ้มกันและนำไปสู่การตรวจสอบได้ หลังจากนั้นจึงทบทวนบรรดาคำสั่งต่างๆ ที่ออกมาตลอด 4 ปี โดยในส่วนที่มีประโยชน์ต่อสาธารณชนจะต้องเอามาทำให้เป็นกฎหมายปกติ ส่วนฉบับไหนที่มีเนื้อหาละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง หรือออกมาเพื่อความต้องการกำจัดคู่แข่งของ คสช.ต้องยกเลิกและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทั้งหมด ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น เสนอว่าต้องมีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดยต้องเกิดจากสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากประชาชน แล้วนำไปทำประชามติอีกครั้ง ต้องเกิดขึ้นจากการหาฉันทามติของสังคมร่วมกันใหม่ ไม่ใช่วางวิธีคิดอยู่บนการล้างแค้นแบบรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านมา
"นอกจากนี้ ยังต้องมีการวางกลไกเพื่อป้องกันการรัฐประหารในอนาคต หนึ่งในนั้นคือการลบล้างผลพวงจากการรัฐประหาร พร้อมประกาศให้การยึดอำนาจปี 2557 เป็นโมฆะ ก่อนนำคนทำรัฐประหารมาดำเนินคดี , การแก้ไขความผิดฐานกบฎตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 ให้ประชาชนเป็นผู้เสียหายสามารถฟ้องต่อศาลโดยตรงได้ และบังคับให้ศาลต้องพิจารณาเป็นคดีเร่งด่วนภายใน 24 ชั่วโมง , การเขียนลงไปในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่าการยึดอำนาจเป็นความผิด และเมื่อไหร่ก็ตามที่ประชาชนที่ถูกยึดอำนาจไปได้รับอำนาจคืนมา ให้ดำเนินคดีกับผู้ยึดอำนาจได้ในทันทีโดยไม่มีอายุความ เป็นต้น" นายปิยบุตร กล่าว
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนรัฐธรรมนูญครั้งใหญ่ไม่ได้อาศัยแค่เสียงในสภาอย่างเดียว ไม่อย่างนั้นการแก้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 คงทำได้แล้ว หรือการแก้จากฉบับปี 2534 เป็นฉบับปี 2540 นั้น นักการเมืองในสภาเป็นจำนวนมากไม่เห็นด้วย แต่สุดท้ายเกิดกระแสธงเขียวกดดันจนยกมือผ่าน การทำรัฐธรรมนูญต้องอาศัยกระแสสังคมกดดัน ต้องอาศัยพลังทางสังคมกดดันด้วย และพรรคอนาคตใหม่เตรียมเสนอว่า หลังการเลือกตั้งวันที่ 24 ก.พ.62 ผ่านไป วันต่อมาคือ 25 ก.พ.62 เราจะคิกออฟรณณรงค์แก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับทันที โดยจะออกแบบเว็บไซต์ให้ประชาชนได้เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็น ประสานเครือข่าย นักวิชาการ ภาคประชาสังคม ร่วมกันแสดงความคิดเห็น ร่วมจัดทำเนื้อหาเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี