13 ธ.ค.61 เมื่อเวลา 10.30 น.ที่ห้องประชุมอเนกประสงค์ ชั้น 2 อาคารเรียนรวมและปฏิบัติการ 1 มหาวิทยาลัยขอนแก่น วิทยาเขตหนองคาย ต.หนองกอมเกาะ อ.เมืองหนองคาย จ.หนองคาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 9/2561 สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
กฎหมาย
1.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การเทียบตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่าอธิบดี พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การเทียบตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่าอธิบดี พ.ศ. .... ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. กำหนดบทนิยาม “ส่วนราชการ” หมายความว่า หน่วยงานของรัฐไม่ว่าในฝ่ายพลเรือน ทหารหรือตำรวจที่มีกฎหมายกำหนดให้มีฐานะหรือเรียกว่าส่วนราชการ
2. กำหนดให้ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ไม่ใช้บังคับกับการเทียบตำแหน่งของข้าราชการกับตำแหน่งหัวหน้าหน่วยงานของรัฐที่เทียบได้ไม่ต่ำกว่ากรมที่มีกฎหมายกำหนดให้มีองค์กรทำหน้าที่ในการเทียบตำแหน่งหรือวินิจฉัยชี้ขาดไว้เป็นการเฉพาะ
3. การพิจารณาเทียบตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่าอธิบดี อย่างน้อยต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
3.1 เป็นตำแหน่งที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยหรือตามกฎหมายอื่น
3.2 เป็นตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของข้าราชการในส่วนราชการ ไม่ว่าส่วนราชการนั้นจะมีฐานะเป็นนิติบุคคลหรือไม่
3.3 เป็นตำแหน่งประเภทบริหารที่มีกฎหมายกำหนดให้ได้รับเงินประจำตำแหน่งสำหรับการปฏิบัติหน้าที่นั้น และมีหน้าที่และอำนาจตามกฎหมายในการบังคับบัญชาและบริหารงาน บริหารบุคคล และบริหารงบประมาณของส่วนราชการนั้น ซึ่งไม่รวมถึงหน้าที่และอำนาจในฐานะผู้รับมอบอำนาจ
4. กำหนดให้องค์กรกลางบริหารงานบุคคลตามกฎหมายของแต่ละส่วนราชการ ไปวางระเบียบเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การเทียบตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่าอธิบดีสำหรับใช้กับข้าราชการในส่วนราชการของตนภายใต้หลักเกณฑ์ตามข้อ 2.
5. กำหนดให้มีคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดการเทียบตำแหน่ง ประกอบด้วยรองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธาน และให้ข้าราชการในสำนักงาน ก.พ. คนหนึ่งเป็นเลขานุการ โดยมีหน้าที่พิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการเทียบตำแหน่งและกำหนดหลักเกณฑ์กลางสำหรับเป็นแนวทางโดยไม่ขัดต่อร่างพระราชบัญญัตินี้
2.เรื่อง ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กำหนด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ยกเว้นค่าธรรมเนียมในช่วงเทศกาลปีใหม่ตั้งแต่เวลา 00.01 นาฬิกา ของวันที่ 27 ธันวาคม 2561 ถึงเวลา 24.00 นาฬิกา ของวันที่ 3 มกราคม 2562)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กำหนด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
คค. เสนอว่า
1. เนื่องจากในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2562 มีวันหยุดต่อเนื่องหลายวัน คาดหมายได้ว่าจะมีประชาชนจำนวนมากเดินทางกลับภูมิลำเนาเป็นผลให้การจราจรติดขัดในทุกสายทางที่ออกและเข้ากรุงเทพมหานครและปริมณฑล การยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ในช่วงเทศกาลปีใหม่จะมีส่วนช่วยสนับสนุนให้ประชาชนสามารถเดินทางได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้การจราจรมีความคล่องตัว รวมทั้งเป็นการลดการใช้พลังงานของประเทศ
2. การกำหนดช่วงระยะเวลาให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ตามกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ในช่วงเทศกาลสงกรานต์และปีใหม่เป็นประจำทุกปี พ.ศ. 2550 ยังไม่เหมาะสมกับช่วงระยะเวลาการเดินทางของประชาชน ดังนั้น สมควรกำหนดระยะเวลาการยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษดังกล่าว ในช่วงเทศกาลปีใหม่ของปี พ.ศ. 2562 เสียใหม่ ซึ่งเป็นช่วงเวลาทำนองเดียวกันตามกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กำหนด (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 โดยยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษดังกล่าวตั้งแต่เวลา 00.01 นาฬิกา ของวันที่ 27 ธันวาคม 2561 ถึงเวลา 24.00 นาฬิกา ของวันที่ 3 มกราคม 2562
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 สายกรุงเทพมหานคร – บ้านฉาง ตอนกรุงเทพมหานคร – เมืองพัทยา รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 34 (บางวัว) ทางแยกเข้าชลบุรี ทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบัง และทางแยกเข้าพัทยา ตามกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ตอนกรุงเทพมหานคร – เมืองพัทยา พ.ศ. 2561 และบนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนบางปะอิน – บางพลี ตามกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนบางปะอิน – บางพลี พ.ศ. 2558ตั้งแต่เวลา 00.01 นาฬิกา ของวันที่ 27 ธันวาคม 2561 ถึงเวลา 24.00 นาฬิกา ของวันที่ 3 มกราคม 2562
3.เรื่อง ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดจำนวนคนต่างด้าวซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ประจำปี พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดจำนวนคนต่างด้าวซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ประจำปี พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ และให้ มท. รับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
มท. เสนอว่า
1. ปัจจุบันการเข้ามาอยู่ในประเทศไทยของชาวต่างชาติมีความสำคัญต่อสังคมไทย โดยเหตุผลที่ชาวต่างชาติต้องการเข้ามาอยู่ถาวรในประเทศไทยมีหลายประการ เช่น เข้ามาเพื่อทำงาน เพื่อการลงทุน หรือเพื่ออยู่กับครอบครัว คู่สมรส หรือบุตรที่อยู่ในประเทศไทย ประกอบกับการสนับสนุนชาวต่างชาติที่มีความรู้ความสามารถให้เข้ามาดำเนินธุรกิจหรือลงทุนในประเทศไทย จะทำให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ อันเป็นการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ ดังนั้น จึงสมควรให้ถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรแก่คนต่างด้าวเพื่อเป็นการดึงดูดและสร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวต่างชาติที่ต้องการเข้ามาลงทุน และเป็นการส่งเสริมให้ครอบครัวมีความมั่นคงและอบอุ่น รวมทั้งยังเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวต่างชาติที่ต้องการเข้ามาอยู่ในประเทศไทยได้อย่างปลอดภัยและสะดวกสบาย
2. โดยที่มาตรา 40 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 บัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษา กำหนดจำนวนคนต่างด้าวซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรเป็นรายปี แต่มิให้เกินประเทศละ 100 คนต่อปี และสำหรับคนต่างด้าวไร้สัญชาติมิให้เกิน 50 คนต่อปี และมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ที่บัญญัติให้คนต่างด้าวจะเข้ามามีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรมิได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมืองและด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประกอบกับประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 87/2557 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมผู้รักษาการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจ ลงวันที่ 10 กรกฎาคม พุทธศักราช 2557 ที่บัญญัติให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ได้มีการออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดจำนวนคนต่างด้าวซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ประจำปี พ.ศ. 2561 กำหนดจำนวนคนต่างด้าวที่มีสัญชาติของแต่ละประเทศ จำนวนประเทศละไม่เกิน 100 คน และคนต่างด้าวไร้สัญชาติ จำนวนไม่เกิน 50 คน ใช้บังคับสำหรับปี 2561 แล้ว และ มท. เห็นควรประกาศกำหนดจำนวนคนต่างด้าวซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ประจำปี พ.ศ. 2562 ต่อไป
3. คณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมือง ในคราวประชุม ครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2561 มีมติเห็นชอบร่างประกาศดังกล่าวแล้ว
สาระสำคัญของร่างประกาศ
กำหนดจำนวนคนต่างด้าวที่มีสัญชาติของแต่ละประเทศซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ประจำปี พ.ศ. 2562 ได้ประเทศละจำนวนไม่เกิน 100 คนต่อปี และคนต่างด้าวไร้สัญชาติ จำนวนไม่เกิน 50 คนต่อปี
4.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงว่าด้วยที่ดินที่ได้รับการยกเว้นภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงว่าด้วยที่ดินที่ได้รับการยกเว้นภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาและดำเนินการตามขั้นตอนการเสนอร่างกฎหมาย
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินฯ เป็นการกำหนดให้ทรัพย์สิน และที่ดินของสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าของต่างประเทศที่จัดตั้งขึ้นตามพันธกรณีในความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับต่างประเทศได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินและภาษีบำรุงท้องที่ โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
5.เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาให้นำราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้อยู่ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. 2521 ถึง พ.ศ. 2524 มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. 2562 พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้นำราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้อยู่ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. 2521 ถึง พ.ศ. 2524 มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. 2562 พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
มท. เสนอว่า
พระราชกฤษฎีกาให้นำราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้อยู่ในการประเมินภาษีบำรุงท้องถิ่น ประจำปี พ.ศ. 2521ถึง พ.ศ. 2524 มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. 2561 พ.ศ. 2561 ซึ่งจะสิ้นสุดการใช้บังคับในวันที่ 31 ธันวาคม 2561
ภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2529 บัญญัติให้นำราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้อยู่ในการประเมินภีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. 2521 ถึง พ.ศ. 2524 ซึ่งใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. 2529 มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. 2530 และในปีต่อ ๆ ไป ตามที่จะได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนด และเนื่องจากพระราชกฤษฎีกาตามข้อ 3.1 จะสิ้นสุดการใช้บังคับในวันที่ 31 ธันวาคม 2561 ประกอบกับร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .... ซึ่งเป็นกฎหมายที่ปรับปรุงโครงสร้าง หลักเกณฑ์ และอัตราการจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่ใหม่ และขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ได้กำหนดให้มีผลใช้บังคับกับการจัดเก็บภาษีในอัตราใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป
บำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. 2521 ถึง พ.ศ. 2524 มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. 2562 ได้ทันตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 เป็นต้นไป จะส่งผลกระทบต่อการประเมินการคำนวณและการจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการจัดเก็บรายได้ของแผ่นดินและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ จึงจำเป็นต้องดำเนินการตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว โดยการนำราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้อยู่ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. 2521 ถึง พ.ศ. 2524 ซึ่งใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ สำหรับปี พ.ศ. 2561 มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. 2562 ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในฐานะผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2508 ร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้เห็นชอบในหลักการของร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมาแล้ว
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
กำหนดให้นำราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้อยู่ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. 2521 ถึง พ.ศ. 2524 ซึ่งใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. 2561 มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. 2562 โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
6.เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาให้นำราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้อยู่ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. 2521 ถึง พ.ศ. 2524 มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. 2562 พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้นำราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้อยู่ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. 2521 ถึง พ.ศ. 2524 มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. 2562 พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
มท. เสนอว่า
1. ปัจจุบันองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้จัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่โดยอาศัยอำนาจตามความในพระราชกฤษฎีกาให้นำราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้อยู่ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ ประจำปี พ.ศ. 2521ถึง พ.ศ. 2524 มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. 2561 พ.ศ. 2561 ซึ่งจะสิ้นสุดการใช้บังคับในวันที่ 31 ธันวาคม 2561
2. โดยที่มาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติกำหนดราคาปานกลางของที่ดิน สำหรับการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2529 บัญญัติให้นำราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้อยู่ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. 2521 ถึง พ.ศ. 2524 ซึ่งใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. 2529 มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. 2530 และในปีต่อ ๆ ไป ตามที่จะได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนด และเนื่องจากพระราชกฤษฎีกาตามข้อ 1. จะสิ้นสุดการใช้บังคับในวันที่ 31 ธันวาคม 2561 ประกอบกับร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .... ซึ่งเป็นกฎหมายที่ปรับปรุงโครงสร้าง หลักเกณฑ์ และอัตราการจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่ใหม่ และขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ได้กำหนดให้มีผลใช้บังคับกับการจัดเก็บภาษีในอัตราใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป
3. ดังนั้น หากไม่สามารถประกาศให้นำราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้อยู่ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. 2521 ถึง พ.ศ. 2524 มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. 2562 ได้ทันตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 เป็นต้นไป จะส่งผลกระทบต่อการประเมินการคำนวณและการจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการจัดเก็บรายได้ของแผ่นดินและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ จึงจำเป็นต้องดำเนินการตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว โดยการนำราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้อยู่ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. 2521 ถึง พ.ศ. 2524 ซึ่งใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ สำหรับปี พ.ศ. 2561 มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. 2562 ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในฐานะผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2508 ร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้เห็นชอบในหลักการของร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมาแล้ว
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
กำหนดให้นำราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้อยู่ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. 2521 ถึง พ.ศ. 2524 ซึ่งใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. 2561 มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. 2562 โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
7.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติตรวจพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. .... มีจำนวนทั้งสิ้น 69 มาตรา แบ่งออกเป็น 8 หมวด มีสาระสำคัญดังนี้
1. หมวด 1 บททั่วไป (ร่างมาตรา 6 – ร่างมาตรา 11)
(1) กำหนดให้การดำเนินการภายใต้พระราชบัญญัตินี้ต้องเป็นไปเพื่อบรรลุเป้าประสงค์ความสอดคล้องกับแผนการจัดทำโครงการร่วมลงทุน ความเป็นหุ้นส่วนระหว่างรัฐและเอกชน การรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐ การใช้ความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ และนวัตกรรมของเอกชนในการให้บริการสาธารณะของโครงการร่วมลงทุน และการถ่ายทอดความรู้ ความสามารถ และความเชี่ยวชาญไปยังหน่วยงานและบุคลากรของภาครัฐ มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ และสิทธิและประโยชน์ของผู้รับบริการจากโครงการร่วมลงทุน (ร่างมาตรา 6)
(2) กำหนดโครงการที่ต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ ต้องเป็นโครงการลงทุนของรัฐในกิจการที่หน่วยงานของรัฐหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งหรือหลายหน่วยงานรวมกันมีหน้าที่และอำนาจต้องทำตามกฎหมายหรือกฎ หรือที่มีหน้าที่และอำนาจต้องทำตามวัตถุประสงค์ในการจัดตั้ง และเป็นกิจการเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะตามที่กำหนดในร่างมาตรา 7 โดยแบ่งการดำเนินโครงการเป็น 2 ระดับ ได้แก่
1) โครงการที่มีมูลค่าตั้งแต่ห้าพันล้านบาทขึ้นไปหรือมูลค่าที่กำหนดเพิ่มขึ้นโดยกฎกระทรวง ให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้ (ร่างมาตรา 8)
2) โครงการที่มีมูลค่าต่ำกว่าห้าพันล้านบาทหรือต่ำกว่ามูลค่าที่กำหนดเพิ่มขึ้นโดยกฎกระทรวง ให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการประกาศกำหนด (ร่างมาตรา 9)
(3) กำหนดมาตรการแก้ไขปัญหากรณีโครงการร่วมลงทุนใดมีหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องมากกว่าหนึ่งหน่วยงาน และไม่สามารถตกลงกำหนดหน่วยงานเจ้าของโครงการได้ โดยให้คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนพิจารณากำหนดหน่วยงานของรัฐที่มีความรับผิดชอบในโครงการร่วมลงทุนนั้นมากที่สุดเป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการ (ร่างมาตรา 10)
(4) กำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาในกรณีที่เกิดปัญหาหรืออุปสรรค หรือเกิดความล่าช้าในการจัดทำหรือดำเนินโครงการร่วมลงทุน โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับปัญหา อุปสรรรค หรือความล่าช้าดังกล่าว เพื่อเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาต่อคณะกรรมการนโยบายฯ พิจารณา หรือเสนอกรอบระยะเวลาเร่งรัดการดำเนินการใด ๆ เพื่อความสำเร็จของโครงการร่วมลงทุนต่อคณะกรรมการนโยบายฯ พิจารณา และเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการต่อไป (ร่างมาตรา 11)
2. หมวด 2 แผนการจัดทำโครงการร่วมลงทุน (ร่างมาตรา 12)
กำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจจัดทำแผนการจัดทำโครงการร่วมลงทุนที่สอดคล้องกับแผนแม่บทด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและด้านสังคมของประเทศ ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำขึ้น และนำเสนอต่อคณะกรรมการเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ และให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการตามที่กำหนดไว้ในแผนการจัดทำโครงการร่วมลงทุนต่อไป
3. หมวด 3 คณะกรรมการนโยบายร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (ร่างมาตรา 13 – ร่างมาตรา 21)
(1) กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน โดยประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นรองประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงการคลัง ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน อัยการสูงสุด ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจำนวนไม่เกินห้าคน เป็นกรรมการ และให้ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เป็นกรรมการและเลขานุการ (ร่างมาตรา 13)
(2) กำหนดให้คณะกรรมการมีหน้าที่และอำนาจให้ความเห็นต่อรัฐมนตรีก่อนมีการตราพระราชกฤษฎีกาหรือการออกกฎกระทรวงตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้ ให้ความเห็นชอบแผนการจัดทำโครงการร่วมลงทุน พิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการจัดทำโครงการร่วมลงทุนที่มีมูลค่าต่ำกว่าห้าพันล้านบาท ให้ความเห็นชอบหลักการของโครงการร่วมลงทุน วินิจฉัยกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ รวมถึงปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่พระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่นกำหนดให้เป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ หรือตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย (ร่างมาตรา 20)
(3) กำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจรับผิดชอบงานธุรการของคณะกรรมการ และมีหน้าที่และอำนาจจัดทำและนำเสนอแผนการจัดทำโครงการร่วมลงทุน ให้ความเห็น คำแนะนำ หรือวางแนวทางปฏิบัติแก่หน่วยงานต่าง ๆ เกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ รายงานปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการต่อคณะกรรมการ และปฏิบัติการอื่นตามพระราชบัญญัตินี้ หรือตามที่คณะรัฐมนตรีหรือคณะกรรมการมอบหมาย (ร่างมาตรา 21)
4. หมวด 4 การจัดทำและดำเนินโครงการ (ร่างมาตรา 22 – ร่างมาตรา 49)
(1) ส่วนที่ 1 การเสนอโครงการ
กำหนดขั้นตอนการเสนอโครงการที่จะให้มีการร่วมลงทุน ดังนี้
1) หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการตามรายละเอียดที่คณะกรรมการประกาศกำหนด (ร่างมาตรา 22) และอาจเสนอมาตรการสนับสนุนเพื่อให้โครงการร่วมลงทุนบรรลุวัตถุประสงค์ (ร่างมาตรา 23) และกรณีที่เห็นว่าไม่ควรใช้วิธีการคัดเลือกเอกชนโดยวิธีประมูล ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการระบุเหตุผลและความจำเป็น ข้อดีและข้อเสีย และประโยชน์ที่ภาครัฐและประชาชนจะได้รับไว้ในรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการด้วย (ร่างมาตรา 25) ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายฯ อาจกำหนดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาให้ความเห็นในการจัดทำรายงานศึกษาและวิเคราะห์โครงการ หรือกำหนดกรอบระยะเวลาการจัดทำโครงการสำหรับโครงการใดเป็นการเฉพาะด้วยก็ได้ (ร่างมาตรา 26)
2) หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำหลักการของโครงการร่วมลงทุนเสนอต่อรัฐมนตรีกระทรวงเจ้าสังกัดเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ พร้อมกับรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการ (ร่างมาตรา 28 วรรคหนึ่ง)
3) เมื่อรัฐมนตรีกระทรวงเจ้าสังกัดให้ความเห็นชอบหลักการของโครงการร่วมลงทุนและรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการแล้ว ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดส่งหลักการของโครงการร่วมลงทุนและรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการที่ได้รับความเห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายฯ เพื่อพิจารณาต่อไป (ร่างมาตรา 28 วรรคสาม)
4) เมื่อคณะกรรมการนโยบายฯ ให้ความเห็นชอบหลักการของโครงการร่วมลงทุน ให้คณะกรรมการแจ้งผลการพิจารณาให้รัฐมนตรีกระทรวงเจ้าสังกัดนำเสนอหลักการของโครงการร่วมลงทุนดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติให้ดำเนินโครงการร่วมลงทุนตามหลักการนั้นต่อไป (ร่างมาตรา 29)
ทั้งนี้ ในส่วนของหลักเกณฑ์ วิธีการ และกรอบระยะเวลาในการเสนอโครงการได้กำหนดให้คณะกรรมการประกาศกำหนดต่อไป
(2) ส่วนที่ 2 การคัดเลือกเอกชน
กำหนดขั้นตอนการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน ดังนี้
1) เมื่อคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ดำเนินโครงการร่วมลงทุนแล้ว ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกคณะหนึ่ง (ร่างมาตรา 36) โดยมีหน้าที่และอำนาจในการพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างประกาศเชิญชวน ร่างเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน และร่างสัญญาร่วมลงทุน กำหนดค่าธรรมเนียม กำหนดหลักประกันซองและหลักประกันสัญญาร่วมลงทุน เจรจาและพิจารณาคัดเลือกเอกชน และดำเนินการอื่น ๆ ที่เกียวข้องกับการคัดเลือกเอกชนของโครงการร่วมลงทุนตามที่เห็นสมควร (ร่างมาตรา 38)
2) ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำร่างประกาศเชิญชวน ร่างเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน และร่างสัญญาร่วมลงทุน เสนอต่อคณะกรรมการคัดเลือกเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ (ร่างมาตรา 35)
3) เมื่อคณะกรรมการคัดเลือกให้ความเห็นชอบร่างประกาศเชิญชวนร่างเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน และร่างสัญญาร่วมลงทุน แล้ว ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการและคณะกรรมการคัดเลือก ดำเนินการคัดเลือกเอกชนตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการนโยบายฯ กำหนด (ร่างมาตรา 39)
4) เมื่อได้ผลการคัดเลือกเอกชนแล้ว ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการนำส่งร่างสัญญาร่วมลงทุนที่ผ่านการเจรจากับเอกชนที่ได้รับคัดเลือกแล้วให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณาภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้ผลการคัดเลือกเอกชนและร่างสัญญาร่วมลงทุน (ร่างมาตรา 41)
5) ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเสนอผลการคัดเลือกเอกชน ร่างสัญญาร่วมลงทุนที่ผ่านการตรวจพิจารณาของสำนักงานอัยการสูงสุด และเงื่อนไขสำคัญของสัญญาร่วมลงทุนต่อรัฐมนตรีกระทรวงเจ้าสังกัดพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาผลการคัดเลือกเอกชนและเงื่อนไขสำคัญของสัญญาร่วมลงทุน และเมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้วให้หน่วยงานเจ้าของโครงการลงนามในสัญญาร่วมลงทุนกับเอกชนที่ได้รับการคัดเลือกต่อไป (ร่างมาตรา 42)
(3) ส่วนที่ 3 การกำกับดูแลโครงการร่วมลงทุน
เมื่อมีการลงนามในสัญญาร่วมลงทุนแล้ว กำหนดให้รัฐมนตรีกระทรวงเจ้าสังกัดแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลขึ้นคณะหนึ่ง (ร่างมาตรา 43) โดยมีหน้าที่และอำนาจกำกับดูแลและติดตามโครงการร่วมลงทุน เสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการรายงานผลการดำเนินงาน ความคืบหน้า ปัญหา และแนวทางการแก้ไขต่อรัฐมนตรีกระทรวงเจ้าสังกัดเพื่อทราบ และพิจารณาให้ความเห็นประกอบการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุน (ร่างมาตรา 44)
(4) ส่วนที่ 4 การแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนและการทำสัญญาใหม่
1) กรณีที่ต้องมีการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุน ได้กำหนดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเสนอเหตุผลและความจำเป็น ประเด็นที่ขอแก้ไข ผลกระทบจากการแก้ไข และข้อมูลอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อคณะกรรมการกำกับดูแลเพื่อพิจารณาให้ความเห็น ก่อนนำส่งร่างสัญญาร่วมลงทุนให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณา และเสนอต่อรัฐมนตรีกระทรวงเจ้าสังกัดเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยเมื่อรัฐมนตรีกระทรวงเจ้าสังกัดให้ความเห็นชอบการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนแล้ว ทั้งนี้ ในกรณีที่คณะกรรมการกำกับดูแลเห็นว่าการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนมีหลักการแตกต่างจากหลักการของโครงการ่วมลงทุนหรือทำให้เงื่อนไขสำคัญของสัญญาแตกต่างจากเงื่อนไขสำคัญที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ ให้รัฐมนตรีกระทรวงเจ้าสังกัดเสนอคณะกรรมการพิจารณา และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาด้วย (ร่างมาตรา 46 – ร่างมาตรา 48)
2) กำหนดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการมีการจัดทำแนวทางการดำเนินโครงการต่อเนื่องจากโครงการร่วมลงทุนภายหลังจากสัญญาสิ้นสุด โดยให้เปรียบเทียบกรณีที่หน่วยงานของรัฐดำเนินการเองและกรณีที่ให้เอกชนร่วมลงทุน เสนอรัฐมนตรีกระทรวงเจ้าสังกัดอย่างน้อย 5 ปี ก่อนที่สัญญาร่วมลงทุนจะสิ้นสุดลง (ร่างมาตรา 49)
5. หมวด 5 การใช้อำนาจเพื่อประโยชน์สาธารณะ
ในกรณีเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน การป้องกันภัยพิบัติสาธารณะ ความมั่นคงของประเทศ หรือมีเหตุที่ทำให้การดำเนินโครงการหยุดชะงักลงจนทำให้มีผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อประชาชนหรือเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้หน่วยงานเจ้าของโครงการโดยความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีมีอำนาจเข้าดำเนินโครงการหรือมอบให้ผู้อื่นเข้าดำเนินโครงการเป็นระยะเวลาชั่วคราว แก้ไขสัญญาร่วมลงทุน หรือบอกเลิกสัญญาร่วมลงทุน เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ทั้งนี้ ในกรณีที่เหตุไม่ได้มาจากความผิดของเอกชนคู่สัญญา ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจ่ายค่าชดเชยแก่เอกชนคู่สัญญาอย่างเป็นธรรมด้วย (ร่างมาตรา 50)
6. หมวด 6 กองทุนส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
กำหนดให้จัดตั้งกองทุนส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ ในการว่าจ้างที่ปรึกษา การพัฒนาฐานข้อมูลและองค์ความรู้ การเผยแพร่ อบรม ให้ความรู้ และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน หรือเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุน (ร่างมาตรา 51 – ร่างมาตรา 59) ซึ่งกระทรวงการคลังได้ให้ความเห็นชอบตามมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 แล้ว
7. หมวด 7 บทเบ็ดเตล็ด
(1) กำหนดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการจัดส่งสำเนาสัญญาร่วมลงทุนหรือสำเนาสัญญาร่วมลงทุนฉบับแก้ไข ให้กระทรวงเจ้าสังกัดและสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจจัดทำข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับโครงการร่วมลงทุนเพื่อให้หน่วยงานตรวจสอบสามารถตรวจเข้าดูได้ และเปิดเผยสรุปข้อมูลโครงการในรูปแบบที่เข้าใจง่ายต่อสาธารณชนให้ทราบเป็นการทั่วไป (ร่างมาตรา 60) ) 2) กำหนดให้คณะกรรมการ คณะกรรมการคัดเลือก คณะกรรมการกำกับดูแล คณะกรรมการกองทุน และคณะอนุกรรมการ ได้รับประโยชน์ตอบแทนตามที่รัฐมนตรีกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี (ร่างมาตรา 61)
(3) กำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจจัดทำแผนงานพัฒนาฐานข้อมูลและองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน และแผนงานดำเนินการเผยแพร่อบรม ให้ความรู้ และให้คำแนะนำที่เกี่ยวข้องกับการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (ร่างมาตรา 62)
8. หมวด 8 บทกำหนดโทษ
กำหนดบทกำหนดโทษในกรณีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคัดเลือกผ่าฝืนร่างมาตรา 37 การห้ามเป็นกรรมการ ผู้มีอำนาจในการจัดการ หรือที่ปรึกษาในเอกชน ที่ได้รับการคัดเลือกให้ร่วมลงทุนในโครงการร่วมลงทุนที่ตนเป็นกรรมการคัดเลือก หรือถือหุ้นในเอกชนที่ได้รับคัดเลือก (ร่างมาตรา 63)
9. บทเฉพาะกาล
(1) กำหนดบทบัญญัติรองรับให้บรรดากฎกระทรวง ประกาศ หรือระเบียบ ที่ออกจามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 ที่ใช้บังคับอยู่ในวันก่อนที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ (ร่างมาตรา 64)
(2) กำหนดบทบัญญัติรองรับให้กรรมการผู้เทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ คงอยู่ในตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามพระราชบัญญัตินี้ (ร่างมาตรา 65)
(3) กำหนดให้โอนบรรดาเงิน ทรัพย์สิน สิทธิ และหนี้สิน ที่เกี่ยวเนื่องกับกองทุนส่งเสริมการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐในกระทรวงการคลัง ไปเป็นของกองทุนส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนตามพระราชบัญญัตินี้ (ร่างมาตรา 66)
(4) กำหนดบทบัญญัติรองรับในกรณีที่กฎหมายใดที่มีผลใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับมีการอ้างอิงถึงกฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ให้ถือว่าการอ้างอิงดังกล่าวในกฎหมายนั้นเป็นการอ้างอิงถึงพระราชบัญญัตินี้ (ร่างมาตรา 67)
(5) กำหนดบทบัญญัติเพื่อรองรับโครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ และโครงการนั้นเป็นโครงการภายใต้พระราชบัญญัตินี้ โดยให้การดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ (ร่างมาตรา 68)
(6) กำหนดบทบัญญัติเพื่อรองรับโครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินการในขั้นตอนตามหมวด 5 การดำเนินโครงการ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 แต่โครงการนั้นไม่เป็นโครงการภายใต้บังคับพระราชบัญญัตินี้ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามบทบัญญัติในหมวดดังกล่าวต่อไปจนกว่าจะแล้วเสร็จและให้ดำเนินการในขั้นตอนต่อไปตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำแลดำเนินโครงการนั้น (ร่างมาตรา 69)
(7) กำหนดบทบัญญัติรองรับให้คณะกรรมการซึ่งแต่งตั้งขึ้นตามมาตรา 72 แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 และปฏิบัติหน้าที่อยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ ยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้จนกว่าคณะรัฐมนตรีจะสั่งการตามข้อเสนอของคณะกรรมการดังกล่าว (ร่างมาตรา 70)
เศรษฐกิจ-สังคม
8.เรื่อง ขอความเห็นชอบการขยายพื้นที่ดำเนินงานโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนา
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ การขยายพื้นที่ดำเนินงานโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนา เพื่อให้เกษตรกรที่มีความสนใจ พร้อมทั้งพื้นที่ที่มีศักยภาพในการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้เข้าร่วมโครงการฯ ได้อย่างทั่วถึง จากพื้นที่เป้าหมาย 2 ล้านไร่ ใน 33 จังหวัด เพิ่มเติม ดังนี้
1. จำนวน 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเลย มุกดาหาร ยโสธร และอำนาจเจริญ ซึ่งสมาคมประกันวินาศภัยไทย และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มีความพร้อมและยินดีที่จะสนับสนุนในการเข้าร่วมโครงการฯ
2. จังหวัดอื่นที่เกษตรกรมีความสนใจเข้าร่วมโครงการฯ พื้นที่มีศักยภาพในการปลูกข้าวโพดและมีน้ำเพียงพอต่อการเพาะปลูกข้าวโพด พร้อมทั้งมีผู้ประกอบการที่มีความพร้อมในการรับซื้อผลผลิต สามารถที่จะเข้าร่วมโครงการฯ ได้ โดยต้องได้รับความยินยอมจากสมาคมประกันวินาศภัยไทย และ ธ.ก.ส. ก่อน
ทั้งนี้ ภายใต้พื้นที่เป้าหมาย และวงเงินงบประมาณตามโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนาที่ได้รับการอนุมัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2561 และเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2561
สาระสำคัญของเรื่อง
กษ. รายงานว่า
1. กษ. ดำเนินการชี้แจง ประชาสัมพันธ์โครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนา โดยมีระยะเวลาการรับสมัครเกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 15 พฤศจิกายน 2561 เป็น 15 มกราคม 2562 และพบว่ามีจังหวัดที่มีศักยภาพในการปลูกข้าวโพดและมีน้ำเพียงพอต่อการเพาะปลูกข้าวโพด โดยมีผู้ประกอบการที่มีความพร้อมในการรับซื้อผลผลิต พร้อมทั้งเกษตรกรมีประสบการณ์ในการปลูกข้าวโพด ประกอบด้วย จังหวัดเลย อำนาจเจริญ มุกดาหาร และยโสธร เกษตรกร จำนวน 8,214 ราย พื้นที่ จำนวน 49,147 ไร่
จังหวัด |
จำนวนเกษตรกร (ราย) |
พื้นที่ (ไร่) |
เลย |
5,057 |
31,146.25 |
อำนาจเจริญ |
976 |
5,941.25 |
มุกดาหาร |
736 |
3,500.00 |
ยโสธร |
1,445 |
8,559.50 |
รวม |
8,214 |
49,147.00 |
2. กษ. เห็นว่า การขยายพื้นที่ดำเนินงานโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดดังกล่าว นั้น ส่งผลให้ลดพื้นที่การปลูกข้าว ผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพียงพอต่อความต้องการของตลาด สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรจากการปลูกพืชอื่นทดแทนการปลูกข้าว และสร้างโอกาสให้เกษตรกรได้เรียนรู้การปลูกพืชอื่นในนาเป็นเกษตรกรรมทางเลือกอื่นในระยะยาว โดยค่าใช้จ่ายจะดำเนินการภายใต้วงเงินของโครงการฯ ที่ได้รับการอนุมัติตามมติคณะรัฐมนตรี (25 กันยายน 2561 และ 24 ตุลาคม 2561)
3. สมาคมประกันวินาศภัยไทยและ ธ.ก.ส. พิจารณาแล้วเห็นว่า มีความยินดีที่จะขยายพื้นที่รับประกันภัยเพิ่มเติมอีก 4 จังหวัด โดยสมาคมประกันวินาศภัยไทยจะได้ยื่นแก้ไขแบบและข้อความของกรมธรรม์ประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพื่อขยายพื้นที่การรับประกันภัยให้ครอบคลุม 4 จังหวัด เพิ่มเติมกับนายทะเบียนสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
ทั้งนี้ โครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนา มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมเกษตรกรที่มีความประสงค์จะปรับเปลี่ยนจากการปลูกข้าวมาเป็นการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในนาช่วงฤดูแล้ง เพื่อเพิ่มผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เพียงพอกับความต้องการใช้ภายในประเทศ โดยกำหนดพื้นที่เป้าหมาย 2 ล้านไร่ ใน 33 จังหวัด ตาม Zoning by Agri – Map ของกรมพัฒนาที่ดิน ครอบคลุมเกษตรกรผู้เอาประกันภัยประมาณ 150,000 ราย ขณะนี้มีเกษตรกรผู้สนใจเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 86,074 ราย รวมเป็นพื้นที่ 744,362.75 ไร่ (ข้อมูล ณ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2561)
9.เรื่อง แผนงาน/โครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ (ปีพุทธศักราช 2562) ให้แก่ประชาชน (กห.)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงกลาโหม (กห.) เสนอแผนงาน/โครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ (ปีพุทธศักราช 2562) ให้แก่ประชาชน ภายใต้การดำเนินโครงการ “เติมความสุข ให้คนไทย จากใจทหาร” ระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม 2561 – 2 มกราคม 2562 โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มงานหลัก ได้แก่ งานสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน งานการช่วยเหลือประชาชน และงานให้บริการและอำนวยความสะดวกต่าง ๆ โดยสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
กลุ่มงานหลัก |
โครงการ/กิจกรรม |
งานสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน |
การจัดเตรียมความพร้อมของกำลังพล เพื่อรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับประชาชนในพื้นที่ตามแนวชายแดนและพื้นที่ที่มีความสำคัญด้านความมั่นคงของประเทศ |
งานการช่วยเหลือประชาชน |
การจัดตั้งจุดบริการช่วยเหลือประชาชนและนักท่องเที่ยว โดยจัดจุดพักรถเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ โดยบูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วนในพื้นที่ ซึ่งจะมีการให้บริการสุขาเคลื่อนที่ การบริการเครื่องดื่มและอาหารว่าง การบริการทางการแพทย์ การบริการตรวจสภาพและซ่อมแซมยานพาหนะตามถนนสายหลักด้านหน้าที่ตั้งของหน่วยทหาร รวมถึงถนนสายรองที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ การจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าพื้นเมืองราคาถูก การแสดงดนตรีและสันทนาการ จุดบริการสัญญาณอินเทอร์เน็ต และชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์เคลื่อนที่ และการบริการนวดผ่อนคลาย จำนวนกว่า 600 จุดทั่วประเทศ รวมทั้งการจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือประชาชนและนักท่องเที่ยวทางทะเล |
งานให้บริการและอำนวยความสะดวกต่าง ๆ |
การจำหน่ายสินค้าอุปโภคและบริโภคราคาถูก ภายในพื้นที่ของหน่วยทหารทั่วประเทศ เพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยในการลดค่าครองชีพ |
เปิดแหล่งท่องเที่ยวและพิพิธภัณฑ์ในเขตทหารทั่วประเทศ ให้ประชาชนสามารถเข้าชมโดยไม่คิดค่าบริการ |
|
ให้บริการศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยดำเนินการให้บริการประชาชนในหน่วยทหารทั่วประเทศ |
10.เรื่อง ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นรายการค่าก่อสร้างและค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 พร้อมที่พักอาศัยและสิ่งก่อสร้างประกอบ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้สำนักงานศาลยุติธรรมดำเนินการก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 พร้อมที่พักอาศัยและสิ่งก่อสร้างประกอบ บริเวณศูนย์วิจัยพืชสวนเชียงรายภายในกรอบวงเงิน 859,050,000 บาท ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบในหลักการแล้ว โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 171,810,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก จำนวน 687,240,000 บาท ให้ขอรับการจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นที่ต้องใช้จ่ายในแต่ละปี ตามนัยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 โดยให้สำนักงานศาลยุติธรรมดำเนินการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้องและขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ โดยให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2559 เรื่อง ซักซ้อมความเข้าใจในการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2561 เรื่อง การดำเนินการออกแบบและก่อสร้างอาคารสถานที่และสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
ต่างประเทศ
11.เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านกิจการยุติธรรมและกฎหมายระหว่างกระทรวงยุติธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงยุติธรรมแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านกิจการยุติธรรมและกฎหมายระหว่างกระทรวงยุติธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงยุติธรรมแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ทั้งนี้ หากก่อนลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงยุติธรรมหารือกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามฝ่ายไทยในบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว
สาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ สรุปได้ดังนี้
1. ข้อบทที่ 1 สถานะของบันทึกความเข้าใจ ซึ่งวางหลักการให้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ไม่เป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศ และมิได้มีข้อกำหนดผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ
2. ข้อบทที่ 2 ขอบเขตและกิจกรรมความร่วมมือ โดยกำหนดรูปแบบของความร่วมมือ อาทิ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ข้อมูลด้านกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมาย การศึกษาดูงานระหว่างเจ้าหน้าที่ของทั้งสองประเทศ การให้ความช่วยเหลือทางการปฏิบัติงานและการดำเนินงาน การจัดการประชุมและสัมมนาร่วม ตลอดจนการเสริมสร้างศักยภาพของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ทั้งนี้อยู่ภายใต้เงื่อนไขของข้อจำกัดด้านขีดความสามารถ และเป็นไปตามกฎหมายและกฎระเบียบภายในประเทศ ตลอดจนความตกลงอื่น ๆ ที่ทั้งสองประเทศมีพันธกรณีอยู่
3. ข้อบทที่ 3 เงินทุน โดยกำหนดให้ภาคีแต่ละฝ่ายจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนตนที่อาจเกิดจากปฏิบัติตามบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ โดยอาจสรรหาเงินทุนจากฝ่ายที่สามเพื่อสนับสนุนกิจกรรมตามความร่วมมือได้
4. ข้อบทที่ 4 การรักษาความลับข้อมูลและเอกสาร ซึ่งกำหนดให้ภาคีแต่ละฝ่ายต้องรักษาความลับของข้อมูลและเอกสารที่ได้รับจากภาคีอีกฝ่ายหนึ่งและห้ามส่ง หรือแลกเปลี่ยนข้อมูลและเอกสารดังกล่าว โดยมิได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้า
5. ข้อบทที่ 5 การดำเนินงาน โดยได้กำหนดให้หน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ประสานงานของฝ่ายไทย คือ สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม และฝ่ายลาว คือ กรมร่วมมือสากลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
6. ข้อบทที่ 6 การทบทวนและแก้ไข ซึ่งกำหนดให้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้อาจมีการทบทวน ปรับเปลี่ยน หรือแก้ไขได้ เมื่อภาคีได้ตกลงร่วมกันเป็นลายลักษณ์อักษร
7. ข้อบทที่ 7 การระงับข้อพิพาท
8. ข้อบทที่ 8 บทบัญญัติสุดท้าย ซึ่งกำหนดให้ความตกลงฉบับนี้มีผลบังคับใช้ ณ วันที่มีการลงนาม และมีผลต่อเนื่องสืบไปโดยไม่มีกำหนด และหากภาคีต้องการยกเลิกให้แจ้งแก่หน่วยงานตามข้อบทที่ 5 โดยให้ผลยกเลิกหลังจากสามสิบวันนับจากวันที่ได้รับแจ้งยกเลิก ทั้งนี้ การยกเลิกจะไม่กระทบดำเนินการของโครงการหรือกิจกรรมแต่อย่างใด
12.เรื่อง ขอความเห็นชอบและลงนามร่างบันทึกความร่วมมือด้านการคมนาคมขนส่งระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงโยธาธิการและขนส่งแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือด้านการคมนาคมขนส่งระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงโยธาธิการและขนส่งแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ หากก่อนการลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการต่อไปได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามร่างบันทึกความร่วมมือฯ ฝ่ายไทย โดยให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Power) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายสำหรับการลงนามดังกล่าว
สาระสำคัญ
1. ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันผลักดันการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมการค้าการลงทุน การคมนาคมขนส่ง และการท่องเที่ยว อาทิ โครงการสะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ – บอลิคำไซ) การศึกษาความเป็นไปได้และออกแบบรายละเอียดโครงการสะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งที่ 6 (อุบลราชธานี – สาละวัน) การศึกษาความเหมาะสมทางด้านเศรษฐกิจ วิศวกรรม และสิ่งแวดล้อม โครงการเชื่อมต่อทางรถไฟเส้นทางอุบลราชธานี-ปากเซ โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขง เมืองหลวงพระบาง – เมืองจอมเพ็ด โครงการปรับปรุงเส้นทางหมายเลข 12 เส้นทางท่าแขก-ยมมะลาด-นาเพ้า และโครงการก่อสร้างทางเลียบแม่น้ำโขง เส้นทางบ่อแก้ว-ปากทา-ก้อนตื้น ระยะทาง 74 กิโลเมตร
2. ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งรัดการดำเนินการตามความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS Cross Border Transport Facilitation Agreement : GMS CBTA) เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามแดนและผ่านแดนระหว่างประเทศสมาชิกอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว และเพื่อแสดงให้ประเทศสมาชิกเห็นความสำคัญและประโยชน์ของ GMS CBTA ทั้งสองฝ่ายจะผลักดันการเพิ่มเส้นทางหมายเลข 12 เป็นเส้นทางขนส่งระหว่างประเทศภายใต้ความตกลง GMS CBTA เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน และการคมนาคม ของทั้งสองประเทศ รวมถึงจะร่วมกันเร่งรัดการเปิดใช้พื้นที่ควบคุมร่วมกัน (Common Control Area : CCA) บริเวณด่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 (มุกดาหาร-สะหวันนะเขต) ซึ่งเป็นโครงการนำร่องภายใต้ความตกลง GMS CBTA เพื่ออำนวยความสะดวกและช่วยลดระยะเวลาการขนส่งสินค้าระหว่างทั้งสองประเทศภายในไตรมาสที่หนึ่งของปี พ.ศ. 2562
3. ฝ่ายลาวแสดงความขอบคุณฝ่ายไทยในการให้ความช่วยเหลือการก่อสร้างทางรถไฟระยะที่ 2 (ท่านาแล้ง-เวียงจันทน์) โดยทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อเร่งรัดการพัฒนาการเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟระหว่างไทย-สปป.ลาว โครงการก่อสร้างสะพานรถไฟแห่งใหม่ระหว่างหนองคาย-เวียงจันทน์ ให้สามารถรองรับรถไฟขนาดราง 1 เมตร และขนาดรางมาตรฐาน และโครงการความร่วมมือสามฝ่ายในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงระหว่างไทย-สปป.ลาว-จีน เพื่อประโยชน์ในการลดต้นทุนการขนส่ง การอำนวยความสะดวกทางการค้า และสนับสนุนการท่องเที่ยว
4. ทั้งสองฝ่ายจะใช้ความพยายามสูงสุดในการพัฒนาระบบการเดินทางโดยรถโดยสารประจำทางระหว่างประเทศร่วมกับประเทศที่มีอาณาเขตติดต่อกันทางบก เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างไทย-สปป.ลาว-เวียดนาม
5. ทั้งสองฝ่ายจะหารือร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อพิจารณาจัดทำความตกลงด้านการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานที่ประสบภัย (Search and Rescue) ระหว่างไทยกับ สปป.ลาว เพื่อเป็นการส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานที่ประสบภัยระหว่างทั้งสองประเทศ
6. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และข้อมูลในสาขาการขนส่ง โดยเฉพาะด้านการขนส่งทางถนน ทางราง ทางน้ำ ทางอากาศ และด้านโลจิสติกส์
7. ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันพัฒนาบุคลากรด้านคมนาคมขนส่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายไทยมีความยินดีที่จะจัดให้มีโครงการฝึกอบรมบุคลากรเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่มีความทันสมัย
8. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้จัดการประชุมระดับรัฐมนตรีคมนาคมไทย-ลาว อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้งเพื่อให้สามารถติดตามความคืบหน้าโครงการความร่วมมือต่าง ๆ ได้อย่างใกล้ชิด โดยสลับกันเป็นเจ้าภาพ
แต่งตั้ง
13.เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้ง นายทองลักษณ์ หาญศึก ผู้แทนสหกรณ์การเกษตรผู้ถือหุ้น เป็นกรรมการในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) แทน นายสมคิด พรหมเจริญ ที่ลาออก ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2561 เป็นต้นไป และให้ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งแทนนี้อยู่ในตำแหน่งตามวาระของผู้ซึ่งตนแทน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี