บิ๊กตู่-ป้อมประสานเสียง
ขวางแก้รธน.
อัดแม้วเอาตัวเองให้รอด
ยังรอขันหมากเชิญนั่งนายกฯ
สุวิทย์แย้มเวลาสำคัญมาถึงแล้ว
ปชป.ชี้แห่กดATMแก้ศก.เหลว
ถกครม.สัญจรอีสาน “บิ๊กตู่” โว 4 ปีผ่านมา ทุ่มกว่า2 หมื่นล้าน จัดการน้ำอีสานได้ผล ยัวะ “พท.”จะแก้ยุทธศาสตร์ชาติ บอกทุกอย่างให้ชาวบ้านตัดสิน ประกาศตั้งตารอขันหมากเชิญนั่งนายก“บิ๊กป้อม”สับ“แม้ว”เอาตัวให้รอดก่อนจุ้นการเมืองไทย ขณะที่“สุวิทย์”ระบุถึงเวลาแล้วต้องเทียบเชิญ“ประยุทธ์” ด้าน“ปชป.”ชี้ตู้เอทีเอ็มแตก สะท้อนคสช.ล้มเหลวแก้ปัญหาศก.อัดแค่เปลี่ยนปกใหม่ แต่ไส้ในยัง“ประชานิยม”
เมื่อเช้าวันที่ 13ธันวาคม ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น วิทยาเขตหนองคาย ต.หนองกอมเกาะ อ.เมือง จ.หนองคาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ คสช.ทักทายกับนักศึกษา คณาจารย์ที่คอยต้อนรับก่อนเป็นระธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน1 (บึงกาฬ เลย หนองคาย หนองบัวลำภู และอุดรธานี) และประชุมครม.
โดยนายกฯระบุว่า วันนี้โลกเปลี่ยนดังนั้นทุกคนต้องรู้ให้เท่าทันโลกที่เปลี่ยนแปลงไป จึงขอฝากทางมหาวิทยาลัยด้วย ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรี ยังสอบถามนักศึกษาว่าเรียนคณะอะไรกันบ้าง พร้อมระบุว่า หากอยากเป็นครู ก็ถือว่าดีแล้วจะได้ประสิทธิประศาสตร์วิชาความรู้ให้คนทั่วไป พร้อมกล่าวทิ้งท้ายกับเด็กด้วยว่า หน้าลุงเหมือนโทรทัศน์หรือไม่ จำหน้าลุงไว้นะ
ไม่ได้หวังผลทางการเมือง
ต่อมาเวลา 12.40 น. พล.อ.ประยุทธ์ แถลงภายหลังการประชุมครม.สัญจร โดยยืนยันว่าการลงพื้นที่ครั้งนี้ไม่ได้มาเพื่อการเมือง เพราะตราบใดที่ยังเป็นรัฐบาลอยู่ ก็ย่อมมีหน้าที่เยี่ยมเยียนประชาชน ขออย่ามองเป็นเรื่องการเมืองทั้งหมด
เมื่อถามถึงกรณีที่ถูกวิจารณ์รัฐบาลแจกเงินในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งจะแจกซิมโทรศัพท์ ให้ผู้มีรายได้น้อย ให้ใช้อินเตอร์เน็ตฟรี โดยมองเป็นการหวังผลทางการเมือง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ในส่วนของซิม เป็นเรื่องที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)กำลังพิจารณาอยู่ อย่าบอกว่าเป็นการเอื้อผู้ประกอบการด้านโทรคมนาคมรายใหญ่ ในเมื่อผู้ประกอบการรายเล็กไม่ได้ทำ แต่คนที่ได้ประโยชน์คือชาวบ้าน ซึ่งประโยชน์ที่ได้รับคือจะเอาซิมไปทำอะไร โดยไม่ใช่แค่ให้มาคุยกัน แต่อยากให้ทุกคนเรียนรู้และใช้ดิจิทัลให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ยั่วะเลิกพูดเรื่องบัตรเลือกตั้ง
เมื่อถามว่านายกฯ ได้เสนอให้ใช้บัตรเลือกตั้งแบบไม่มีโลโก้และไม่มีชื่อพรรค หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ อย่างอารมณ์เสียว่า “เลิกพูดกันได้แล้ว เรื่องของผม ถามอยู่ได้ ซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่นั่น” ส่วนที่มีการเริ่มเคลื่อนไหวหลังปลดล็อคทางการเมืองนั้นเรื่องนี้คงไม่ต้องไปถามใคร เพราะประชาชนรับทราบอยู่แล้ว ก็ต้องติดตามดูว่าใครพูดเรื่องดีหรือไม่ดี จริงหรือไม่จริง และได้บอกหลายครั้งแล้วว่า หน้าที่ของรัฐบาลนั้น ต้องรักษาความสงบเรียบร้อยก่อนและหลังเลือกตั้ง โดยบ้านเมืองจะต้องสงบเรียบร้อย ซึ่งมีกฎหมายที่รองรับ ดูแลอยู่แล้ว เมื่อยกเลิกคำสั่ง คสช.ก็จะปล่อยให้มีเสรีภาพ ดำเนินการอย่างอิสระ แต่ทุกคนควรรู้ว่าบ้านเมืองเราอยู่ในช่วงเวลาใด อย่าเอาคนโน้นคนนี้มายุ่งเกี่ยว กับตน
เมื่อถามถึงกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง แกนนำพรรคเพื่อไทย(พท.) วิจารณ์ว่าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ได้แบ่งเค้กเก้าอี้รัฐมนตรีกันแล้ว พร้อมเย้ยไม่มีทางชนะเลือกตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ผมไม่มีความคิดเห็นเรื่องนี้หรอก ผมไม่รู้จัก ไม่อยากรู้จักสักคน ถ้าพูดสร้างสรรค์ก็ถือว่าดีแต่พูดไม่สร้างสรรค์ ก็ไม่อยากรู้จัก แล้วจะมาถามผมทำไม ผมไม่ได้เป็นคนพูด”
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า การแก้ไขปัญหาและทำให้ประเทศก้าวหน้า ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาลหรือนายกฯ อย่างเดียว แต่อยู่ที่ทุกคน ต้องช่วยกันสร้างการรับรู้ อย่าไปสร้างความเข้าใจในการขยายความขัดแย้ง ไม่เช่นนั้นปัญหาก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วประเทศชาติจะอยู่ตรงไหน เรื่องนี้ไม่อยากโทษใครทั้งสิ้น แต่ทุกคนมีส่วนต้องรับผิดชอบร่วมกัน ส่วนที่จะมีการชุมนุมเคลื่อนไหว ก็ถือเป็นสิทธิ์ของเขา วันนี้ประชาชนฉลาดแล้ว คงรู้เอง เพราะมีความเข้าใจมากขึ้น โดยประชาชนจะเป็นคนตัดสิน ส่วนเจ้าหน้าที่ก็สามารถใช้กฎหมายปกติดำเนินการได้ แต่หลายเรื่องขอเตือนไว้ก่อน ไม่ได้ขู่อะไรทั้งสิ้น
ยุทธศาสตร์ชาติยังไม่ได้ใช้
เมื่อถามกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร เสนอแก้ไข รัฐธรรมนูญปี 2560 ไม่ให้ ส.ว.มีสิทธิ์เลือกนายกฯพร้อมให้ยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ใครพูดก็ไปถามเขา มันจะแก้ได้อย่างไร กว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ได้มันผ่านอะไรมาบ้างวันนี้รัฐธรรมนูญใช้แล้วหรือยัง ยังใช้ได้ไม่เต็มที่เลย เช่นเดียวกับยุทธศาสตร์ชาติ ที่ยังไม่ได้เริ่มเลย
“สิ่งเหล่านี้กว่าจะประกาศใช้เป็นกฎหมาย ทำกันแทบตาย ออกมาแล้วจะบอกว่าให้ยกเลิก ก็ขอให้เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของประชาชนก็แล้วกัน ถ้าเห็นว่าไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเป็นเรื่องของหลักการสากล ทั่วโลกก็ทำแบบนี้”
บอกรอขันหมากทุกวัน
เมื่อถามว่านายสุวิทย์ เมษินทรีย์รองหัวหน้าพรรค พปชร.ระบุถึงเวลาแล้วที่จะต้องเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ มาอยู่ในบัญชีที่จะเสนอเป็นนายก พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า“วันนี้เขาเชิญหรือยัง ยังไม่ได้เชิญนี่ เขาบอกสื่อเมื่อไหร่ว่าจะเชิญ เมื่อถึงเวลา เขาก็คงเชิญเอง และเชิญแล้วผมจะรับหรือไม่ ก็ไม่รู้”
เมื่อถามว่าได้ทูลเกล้าฯ ร่างพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งแล้วหรือยังพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เมื่อถึงเวลาก็จะมีการประกาศผ่านราชกิจจานุเบกษาออกมาเอง ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน
อย่างไรก็ถาม พล.อ.ประยุทธ์ ได้ตัดบทการสัมภาษณ์โดยระบุว่า ต้องเดินทางไปประชุมร่วม ครม.ไทย-ลาว ที่สปป.ลาว ระหว่างวันที่ 13-14 ธันวาคม ซึ่งที่ทำทุกอย่างในวันนี้ ก็เพื่อความก้าวหน้าของประเทศ แต่ทุกคนต้องช่วยกันขยายความเข้าใจ อย่าขยายการบิดเบือนให้เป็นปัญหาต่อไป เราต้องช่วยกันปฏิรูปบ้านเมืองสื่ออย่ามุ่งเน้นแต่การสร้างความสนใจในประเด็นข่าว เพราะทำให้ตายก็ไม่เกิดประโยชน์ แล้วอย่ามาอ้างว่าเป็นนักข่าวการเมือง ก็ต้องถามเรื่องการเมือง การเมืองไปถามที่กรุงเทพฯโน่น
ทุ่มพัฒนาอีสานทุกด้าน
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวด้วยว่า ในการประชุมเป็นการติดตามความก้าวหน้าในส่วนที่รัฐบาลทำไปแล้วส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเป็นการเพิ่มเติมจากที่ขอมาครั้งที่แล้ว ซึ่งจะมีทั้งหมด 5 กลุ่มงาน 1.ด้านคมนาคมขนส่งที่ของบประมาณก่อสร้างถนน 67 โครงการ อยู่ในแผนงานปี 62-63 และจะบรรจุแผนแม่บทต่อไป ทั้งนี้เส้นทางเลี่ยงเมืองหากมีความจำเป็นสามารถปรับแผนแม่บทได้ แต่คงไม่ได้ทั้งหมด ซึ่งตนก็รับไว้พิจารณา เพื่อดำเนินการให้เกิดขึ้นให้ได้ เพื่อวันพรุ่งนี้และวันข้างหน้า 2.การพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อเกษตรกรและการแก้ปัญหาอุทกภัย ได้มีการบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอ ทั้งอุปโภค บริโภค ภาคการเกษตรและอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างย่ิงในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ ทั้งนี้การบริหารจัดการน้ำตั้งแต่ปี 57-61 ใช้งบฯ 2 หมื่นกว่าล้านบาท ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน ส่วนโครงการใหม่ที่ขอมาที่มีทั้งเล็กและใหญ่ จะมีจัดหาให้ในโครงการระยะสั้น 3.การยกระดับการผลิตและการสร้างมูลค่าในผลผลิต เรื่องนี้เราต้องมีการพูดคุยถึงการพัฒนาเกษตรครบวงจร
4.การท่องเที่ยวได้มีการขอสนับสนุนโครงการพัฒนาส่ิงอำนวยความสะดวกแหล่งท่องเที่ยว อุทยานแห่งชาติ รวมถึงให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา บรรจุแผนแม่บทวิถีชีวิตลุ่มน้ำโขง 5.ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต อย่างจ.อุดรธานี ได้ขอสนามกีฬาซึ่งกำลังพิจารณาตามกฎหมาย ทั้งนี้ การพัฒนาสาธารณูปโภค ได้มีการปรับปรุงระบบประปาของจ.หนองคายและอุดรธานี เราต้องมีการเตรียมตัวรองรับ ภาคอุตสาหกรรมที่เป็นระยะเวลา 5-10 ปี รัฐบาลได้เตรียมการไว้แล้ว ด้านสาธารณสุขเพิ่มศักยภาพในการบริการผู้ป่วยฉุกเฉิน ยกระดับศักยภาพโรงพยาบาลโครงการศูนย์แพทย์แผนไทย สิ่งเหล่านี้จะมีการบรรจุในแผนงานของรัฐบาล
“ทุกอย่างที่ดำเนินการแล้วในกิจกรรม อยากให้ผู้ว่าราชการทุกจังหวัดได้พิจารณาหาช่องทางให้มีความเชื่อมโยงกัน และทุกพื้นที่ต้องเริ่มด้วยตัวเอง รัฐบาลจะเสริมให้ในส่วนที่จัดหางบประมาณให้ได้ และอยากฝากสื่อช่วยดูตั้งแต่ปี 57-61 มีการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในทุกระดับและมีโครงการต่างๆที่ลงไปในช่วงปี 62-63 รัฐบาลได้ทำงบประมาณไว้ล่วงหน้า และบรรจุโครงการต่างๆไว้ในแผ่นแม่บท”นายกฯกล่าว
‘ป้อม’ไม่ห่วงพวกเคลื่อนไหว
ในขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมครม.สัญจรกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ เป็นห่วงการเคลื่อนไหวหลังจากที่มีการปลดล็อกทางการเมือง ว่า เขาให้เคลื่อนไหวทางการเมืองได้และไม่เกิดเขาโฆษณาไปอย่างนั้น ต่างคนต่างพูดไม่มีอะไรทั้งนั้น ยอมรับว่าตอนนี้ก็มีการเคลื่อนไหวบ้างเป็นเรื่องทางการเมือง เพราะให้ทำกิจกรรมทางการเมืองได้แล้ว ใครอยากจะพูดอะไรก็พูด แต่อย่าบิดเบือน ใครมีหน้าที่อะไรก็ทำหน้าที่ของตัวเองนักการเมืองมีหน้าที่หาเสียงก็หาเสียงไปไม่เป็นอะไร
เมื่อถามว่านายกฯระบุว่าเหนื่อยใจแล้ว ส่วนตัวท่านรู้สึกเหนื่อยด้วยหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่เหนื่อยเอาอยู่มา4-5ปีแล้วไม่มีอะไร จะไปกลัวอะไรมีแต่คนพูดให้ขัดแย้ง ตอนนี้ประชาชนรู้และเข้าใจกันหมดแล้วว่ารัฐบาลทำอะไร ส่วนพล.อ.ประยุทธ์ ได้เปรยหรือไม่ว่าพร้อมที่จะลงการเมืองเมื่อใดนั้น เรื่องนี้ไม่ได้พูดคุยกับนายกฯ
แนะทักษิณเอาตัวให้รอดก่อน
เมื่อถามอีกว่าขณะนี้มีบางคนเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งที่ยังไม่ได้เลือกตั้ง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่าธรรมนูญยังไม่ได้ใช้ จะพูดก็พูดไป ประชาชนอย่าไปสับสน รัฐธรรมนูญยังไม่ทำให้เกิดความขัดแย้ง ให้ทำงานไม่ได้ก่อนค่อยมาแจ้ง ส่วนห่วงหรือไม่เพราะเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาจากข้อเสนอของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีพล.อ.ประวิตร กล่าวย้อนว่า แล้วนายทักษิณอยู่ที่ไหน เรื่องของเขา เป็นคนที่อยู่นอกประเทศแล้วมาเสนอไปแก้ เอาตัวเองให้รอดก่อน
พปชร.ได้เวลาเชิญประยุทธ์
ก่อนหน้านี้นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.วิทยาศาสตร์ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ให้สัมภาษณ์ ถึงส่วนการทำไพรมารีโหวตเพื่อสรรหาผู้ที่จะถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ ว่า จะต้องมีการหารือกันในพรรคอีกครั้ง แต่ช่วงนี้แกนนำพรรคต่างมีภาระจำนวนมาก จึงไม่มีโอกาสได้คุยกัน และยังไม่ได้พูดคุยเรื่องดังกล่าวกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ซึ่งเป็นผู้ที่มีการคาดการณ์กันว่าจะถูกเสนอชื่อ อย่างไรก็ตาม วันนี้เมื่อมีการปลดล็อคการเมืองแล้ว คิดว่าก็น่าจะถึงเวลาที่จะเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ ได้แล้ว เพราะส่วนตัวไม่เคยคุยเรื่องนี้กับ พล.อ.ประยุทธ์ มีเพียงการพูดคุยกันเรื่องงาน
“ส่วนการจัดทำนโยบาย คิดว่าหลายนโยบายของรัฐบาลนี้ควรได้รับการสานต่อและพัฒนาต่อยอด เช่น โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งไม่ใช่การแจกเงินคนจนอย่างที่กล่าวหา เมื่อประชาชนมีรายได้ไม่เพียงพอ ก็ต้องเติมให้ เราต้องการสร้างสังคมประชารัฐ คนจะอดตายอยู่แล้ว คุณไม่เติมให้เขาได้ยังไง ต้องเติมให้ จากนั้นจึงให้เขาพัฒนาตัวเอง จึงต้องมีการต่อยอด จากที่ตอนนี้ผู้ถือบัตรมี 11.4 ล้านคน เราต้องมาดูว่าครอบคลุมหรือไม่ ขณะเดียวกัน ต้องช่วยมนุษย์เงินเดือนด้วย จึงต้องมีนโยบายอย่างกองทุนบำนาญเอกชน เราต้องการชูเรื่องหลักประกันชีวิต เพราะทุกอาชีพมีการเปลี่ยนแปลงทั้งนั้น” นายสุวิทย์ กล่าว
ตำรวจจับตา”แม้ว-ปู”เคลื่อนไหว
พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกตร. กล่าวถึงกรณีที่ คสช.มีคำสั่งยกเลิกประกาศคำสั่งทางการเมืองเพื่อการเลือกตั้งว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติประสานใกล้ชิดกับกกต.เพื่อเตรียมการเลือก ส.ว.และการเลือกตั้งส.ส. โดยแบ่งการดำเนินการ 4 ส่วน คือ 1.การลงพื้นที่หาข่าวตรวจสอบข้อมูลที่กระทบการเลือกตั้ง การกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง 2.อำนวยความสะดวกการรักษาความปลอดภัย 3.การอำนวยการด้านจราจร และ4.ติดตามก่อน ขณะ หลัง การเลือกตั้ง การหาเสียง การสืบสวนสอบสวนดำเนินคดีต่างๆเกี่ยวกับการเลือกตั้ง เตรียมพร้อมศึกษาอำนาจการสอบสวน ว่าเรื่องใดเป็นของกกต.เรื่องใดเป็นของตำรวจ
“ในภาพรวม พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) มอบหมาย พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร.ด้านความมั่นคง และกิจการพิเศษไปจับตากลุ่มที่จะมีความเคลื่อนไหวต่างๆนานา โดยเฉพาะกลุ่มที่เคลื่อนไหวในโซเชียลมีเดีย ซึ่งมอนิเตอร์มาตลอด อะไรที่เป็นความผิดก็ดำเนินการทางคดีได้เลย อะไรที่ต้องรอการร้องทุกข์จากกกต.ก็มีกระบวนการดำเนินการ” รองโฆษกตร.กล่าว และว่าตอนนี้ทราบว่านักการเมืองมีการใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียรณรงค์หาเสียมากขึ้น ทราบว่าทางทีมงานของรองผบ.ตร.ฝ่ายความความมั่นคงมีข้อมูลติดตามอยู่แล้ว และจะรายงานผบ.ตร.ขึ้นมา ซึ่งผบ.ตร.เองกำชับให้ดูทุกมิติ และย้ำว่าตำรวจต้องวางตัวเป็นกลาง
เมื่อถามว่ากรณีความเคลื่อนไหวของ นายทักษิณ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีในช่องทางโซเชียลมีเดีย จับตาเป็นพิเศษหรือไม่ รองโฆษกตร.กล่าวว่า ในเรื่องความเคลื่อนไหวทางการเมือง ไม่ว่าใครก็แล้วแต่เมื่อรัฐบาลวางกฎเกณฑ์ และกติกาไว้แล้วเชื่อว่าผู้ที่เกี่ยวข้องทราบอยู่แล้วว่าอะไรสามารถทำได้ อะไรทำไม่ได้ อะไรสุ่มเสี่ยง หน่วยงานความมั่นคงรวมทั้งตำรวจเฝ้าฟัง จับตาดูอยู่ อะไรที่ผิดก็ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่เท่านั้นเอง
ตู้เอทีเอ็มแตกบ่งชี้ศก.ล้มเหลว
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ด้านเศรษฐกิจ กล่าวถึงปรากฎการตู้เอทีเอ็มแตก จากการไปกดเงิน500 บาทที่รัฐบาลแจกผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้ผู้ยากไร้ ว่า การแก้ไขปัญหาความยากจน ของ รัฐบาล คสช. ที่ออกโครงการบัตรคนจน จึงถือเป็นการแก้ไขปัญหาไม่ตรงจุด หรือเกาไม่ถูกที่คัน เพราะไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจภายในชุมชน หมุนเวียนอย่างแท้จริง กลับเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนเพราะต้องนำบัตรไปรูดเพื่อแลกสินค้าตามร้านค้าที่กำหนด
ดังนั้น โครงการนี้ จึงเป็นโครงการประชานิยมอีกรูปแบบหนึ่งที่วันนี้ได้แปลงร่างมาสนองนโยบายประชารัฐ เพื่อรองรับผลทางการเมือง จึงเป็นเหมือนการเปลี่ยนปกใหม่แต่ไส้ในยังเหมือนเดิม เพราะ สิ่งที่สะท้อนว่า คนจนเพิ่มมากขึ้น คือการที่ชาวบ้านไปรอกดเงินจากตู้เอทีเอ็ม คนละ 500 บาท จนเกิดปรากฏการณ์ ‘ตู้เอทีเอ็มแตก’ล้วนตอกย้ำว่ารัฐบาลล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง” นายอนุชากล่าว
กกต.ชี้บัตรคนจนไม่ผิดกฎหมาย
วันเดียวกัน พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการกกต. ตอบคำถามกรณีพรรคการเมืองร้องขอให้กกต.ตรวจสอบนโยบายบัตรสวัสดิการคนจนของรัฐบาลที่เอื้อต่อพรรคพลังประชารัฐในการหาเสียงหรือไม่ ว่า เรื่องนี้เป็นประเด็นข้อกฎหมาย คิดว่าบัตรสวัสดิการคนจนเรามองว่าเป็นแนวนโยบายของรัฐ ซึ่งไม่ใช่การทุจริตการเลือกตั้งที่กกต.ต้องเข้าไปตรวจสอบ เชื่อว่าประชาชนสามารถแยกแยะได้ว่าอะไรเป็นการใช้ทรัพยากรของรัฐหรือแนวนโยบายแห่งรัฐ
เมื่อถามต่อว่าเมื่อมีพ.ร.ฎ.เลือกตั้งออกมาแล้วพรรคพลังประชารัฐประกาศสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯนั้น กกต.จะต้องเข้าไปควบคุมการอนุมัติโครงการของรัฐหรือไม่ พ.ต.อ.จรุงวิทย์ กล่าวว่า ต้องดูข้อกฎหมายก่อน แต่ต้องเข้าใจว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่เหมือนรัฐบาลรักษาการหลังการยุบสภา แต่เป็นรัฐบาลในภาวะไม่ปกติและเป็นรัฐบาลในวาระเริ่มแรก แต่หากนำเงินของผู้สมัครไปแจกเพื่อให้มีผลต่อการเลือกตั้ง กกต.ก็จะถือว่าเป็นความผิด
19ธค.ถกพรรคการเมือง
พ.ต.อ.จรุงวิทย์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้กกต.ได้เสนอร่างพ.ร.ฎ.เลือกตั้งให้มีการเลือกตั้งไปยังคณะรัฐมนตรี(ครม.)เพื่อพิจารณาและนำขึ้นทูลเกล้าฯ ซึ่งหากโปรดเกล้าฯในวันที่ 2 ม.ค.62ตามที่เสนอก็จะมีการเลือกตั้งในวันที่ 24 ก.พ. และหลังพ.ร.ฎ.เลือกตั้งมีผลใช้บังคับแล้ว กกต.ก็จะกำหนดวันสมัครและวันเลือกตั้ง จากนั้นการหาเสียงของพรรคการเมืองและผู้สมัครก็จะต้องนำมาคิดเป็นค่าใช้จ่าย
“ในการประชุมระหว่างกกต.กับพรรคการเมืองในวันที่ 19 ธ.ค.นี้ นอกจากกกต.จะแจ้งว่าจะสนับสนุนอะไรได้บ้างแล้วก็จะหารือเรื่องค่าใช้จ่ายของผู้สมัครพรรคการเมืองควรเป็นเท่าใด จากเดิม 1.5 ล้านบาท จะขยับเป็น 2 ล้าน หรือ2.5 ล้านบาท ร่วมถึงยังมีการหารือเรื่องการหาเสียงทางโซเชียลมีเดียด้วย”พ.ต.อ.จรุงวิทย์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี