สั่งห้ามองค์กรต่างประเทศ
จุ้นเลือกตัง
‘ดอน’ยันไทยจัดการเองได้
‘สุเทพ’ปลุกปกป้องรธน.
เชื่อไม่เกิดพฤษภาทมิฬ2
“บิ๊กตู่” เขินหลังชาวบ้านเชียร์ให้กลับมาเป็นนายกฯอีกหน บอกเดี๋ยวค่อยว่ากัน ในขณะที่ “ดอน ปรมัตถ์วินัย”รมว.ต่างประเทศ ประกาศก้องโลกห้ามองค์กรต่างประเทศ เข้ามาจุ้นเลือกตั้งไทย ระบุเราจัดการเองได้ ด้านกกต.ออกกฎเหล็กห้ามผู้สมัคร สส.ใช้รูปคนอื่นติดประกอบป้ายหาเสียง ภาพ“แม้ว-ปู-นายหัวชวน”หมดสิทธ์ประกบลูกทีม ”เทพเทือก”ปลุกปกป้อง รธน. ไม่ซ้ำรอยพฤษภาทมิฬ ป้อง’ลุงตู่-4รมต.ไม่ลาออก อยู่ทำงานต่อ
เมื่อเช้าวันที่ 15 ธันวาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)เป็นประธานเปิดกิจกรรมเดินรณรงค์“คน รัก คลอง” ..“ไม่ทิ้ง ไม่เท ทุ่มทำความดี”มีประธานองค์กรตามรัฐธรรมนูญพร้อมคณะรัฐมนตรีอาทิพล.อ.ฉัตรชัย สาลิกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี นายสุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและประชาชน
“บิ๊กตู่”เขินเสียงเชียร์นั่งนายกฯ
ในระหว่างทางเดินรณรงค์ได้มีชาวบ้านกระซิบถาม พล.อ.ประยุทธ์ว่าให้นายกฯลงเลือกตั้ง จะได้เลือกกลับมา เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ หัวเราะพร้อมตอบอย่างเขินๆว่า“เดี๋ยวค่อยว่ากัน” พร้อมยืนยันว่า การมาเดินรณรงค์ครั้งนี้ มาเดินเรื่องของคูคลอง ไม่ได้มาการเมืองและรู้สึกเบื่อที่ทำอะไรแล้วมีคนนำไปโยงเกี่ยวกับเรื่องการเมืองทั้งหมด ขณะที่ ยังมีชาวบ้านที่สนับสนุนส่งเสียงเชียร์“ลุงตู่สู้สู้” พล.อ.ประยุทธ์กล่าวตอบกลับว่า “สู้กับขยะสู้กับแม่น้ำลำคลอง อย่างอื่น ไม่ต้องไปสู้หรอก เป็นเรื่องของประชาชนซึ่งวันนี้ประชาชนรู้จักสิทธิ์อย่างเดียวไม่ได้ จะต้องรู้จักหน้าที่ ไปพร้อมๆกันด้วย ทั้งนี้ นายกฯได้ถือโอกาสกล่าวอวยพรเนื่องในเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ล่วงหน้าให้กับประชาชนที่มาต้อนรับด้วย
หลังจากนายกฯเดินรณรงค์เสร็จสิ้น ได้เข้าสักการะพระพุทธชินราช ในพระอุโบสถ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม และได้ถวายโคมบูชาพระพุทธชินราชด้านหน้าพระอุโบสถแต่จังหวะที่นำโคมขึ้นแขวน ปรากฏว่าโคมได้หล่นลงมา เจ้าหน้าที่รีบเก็บขึ้น ให้นายกฯแขวนอีกครั้ง คราวนี้นางนราพร จันทร์โอชา ภริยาได้เข้าช่วยนายกฯแขวน นายกฯกล่าวว่าแสบตาทำให้มองไม่เห็นตอนแขวน
อยู่ทำงานจนกว่ามีรัฐบาลใหม่
ต่อมา นายกรัฐมนตรีกล่าวกับประชาชนที่ร่วมกิจกรรมจากพื้นที่เขตต่างๆว่านายกฯมาวันนี้เพื่อมาทำประโยชน์ให้กับบ้านเมือง ไม่ต้องพูดเรื่องอื่นนะ เดี๋ยวหาว่ามาทำโน่นทำนี่ ตอนนี้ขยับอะไรไม่ได้ จะให้ตนนอนอยู่บ้านมั้ง ตนเป็นรัฐบาลที่มีหน้าที่ทำงานต่อไปจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ เพราะกฎหมายให้ทำได้
ในขณะนั้นมีชาวบ้านตะโกนว่า”ให้เป็นนายกฯต่อ”พล.อ.ประยุทธ์ได้อมยิ้มเขินๆก่อนตอบว่าทำต่อไปเลยเหรอ พอๆแล้ว เดี๋ยวโดนด่า เป็นเรื่องของท่าน วันนี้เรามาทำความดีให้แผ่นดิน ทำดีด้วยหัวใจตามพระราโชบายของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่10 สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และ ถวายพ่อหลวงด้วย ยังอยู่กับเราทั้งหมดท่านจะมองดูว่าประเทศไทยจะไปอย่างไร วันนี้โอกาสมีเยอะแล้ว อย่าทำโอกาสวันนี้ให้เป็นวิกฤตอีกเข้าใจไหม
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า วันนี้เดินข้างถนน ก็กลัวเขาว่ารถจะติด จึงให้เดินครึ่งทางพอ คนไม่เข้าใจเยอะ เราก็ไม่รู้คนหวังดี หรือไม่หวังดี เดี๋ยวเอาตัวอย่างกล่าวหาว่า รัฐบาลทำได้ ก็ทำบ้าง ทีนี้ก็ไปกันใหญ่ มันอยู่ที่ความบริสุทธิ์ใจนึกว่าสนุก หรืออย่างไร เดินให้มันเมื่อย แต่วันนี้เป็นการเดินเพื่อรณรงค์ก็ขอให้ทุกคนร่วมกัน แต่ตนเชื่อว่าคนไทยที่เป็นคนไทยอย่างแท้จริง รักตน ใครไม่รักยกมือ แหย่เล่น รัก ไม่รักตนก็ทำให้ ทำอะไรคนรัก มันง่ายมากกว่า ทำอะไรให้สำเร็จ แต่ต้องใช้เวลา
และในโอกาสปีใหม่อยากให้ความปรารถนาดีของตน รัฐบาล และครม.ทั้งหมดด้วยใจจริงทำงานมา 4 ปีแล้ว หวังแค่นี้อย่างอื่นไม่ได้หวังอะไรทั้งสิ้น จากนั้นนายกฯได้โชว์ผัดกระเพราไส้กรอกพร้อมตักแจกประชาชนก่อนที่จะไปปล่อยปลาและเดินทางกลับ
“ดอน”ห้ามองค์กรต่างชาติมาจุ้น
ที่วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศกล่าวถึงที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ชี้แจงขั้นตอนการเลือกตั้ง ส.ว.และส.ส.ให้ทูตต่างประเทศได้รับทราบเมื่อวันที่ 14 ธันวาคมว่าถือว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะทูตต่างประเทศจะได้เข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการเลือกตั้งของไทยมากขึ้น ขณะเดียวกันที่ผ่านมาต่างชาติมองการเมืองไทยดีขึ้นมากอยู่แล้วเพราะตลอด 4 ปีที่ผ่านมา นักท่องเที่ยว ต่างชื่นชมประเทศไทยโดยรับรู้ว่ารัฐบาลนี้เข้ามาบริหารจัดการปัญหาต่างๆที่เคยเกิดขึ้นได้
นายดอนกล่าวว่ากกต.ได้ถามมายังกระทรวงการต่างประเทศ ถึงแนวคิดการให้ต่างประเทศเข้ามาสังเกตการณ์การเลือกตั้งในไทยซึ่งยืนยันว่าเราเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติที่อยู่ในสถานทูตประเทศต่างๆ ช่วยเป็นหูเป็นตา สังเกตการณ์การเลือกตั้งในไทยได้ แต่ไม่ควรให้ชาวต่างชาติซึ่งอยู่นอกประเทศหรือองค์กรระหว่างประเทศเข้ามาสังเกตการณ์เพราะจะถือเป็นการเอาคนข้างนอกเข้ามา การให้สถานทูตในไทยมาสังเกตการณ์ยังถือว่าเป็นการดำเนินการภายในประเทศอยู่ จะทำให้ภาพรวมของการเลือกตั้งไทยดีขึ้นด้วย
บอกไทยจัดการเลือกตั้งเองได้
“เรื่องของประเทศ ทำไมต้องให้คนนอกประเทศมาตามดู เพื่อจะหาปัญหาเพราะประเทศที่เจริญแล้วอย่างญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ก็ไม่มีต่างประเทศ เข้ามาเกาะติดเรื่องบ้านเมืองเขา ถ้าเกิดต่างชาติเข้ามาติดตามการเลือกตั้งในไทยก็แสดงว่าประเทศไทยยังมีปัญหาจึงถามว่าเราอยากให้บ้านเมืองเรามีปัญหาหรือเราคิดว่าเราดูแลเองได้ แม้ตอนนี้จะมีรัฐบาลที่มาจากรัฐประหารแต่เราจัดการเองได้ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจ เป็นเกียรติเป็นศรีอย่างหนึ่งของคนไทย เพราะที่สุดแล้ว เราก็จะสามารถยืนขึ้นเองได้ เดินเองได้”นายดอนย้ำ
นายดอน กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลจะให้ความสำคัญกับความเข้าใจในสถานการณ์ไทยต่อต่างประเทศ ได้ตอบข้อข้องใจต่างๆเพื่อความกระจ่างอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อถึงจุดที่เราสามารถเดินได้แล้ว เราก็ควรเดินเอง ซึ่งที่ผ่านมาในหลายประเทศ ที่จัดการเลือกตั้งไม่ว่าจะเป็นอินเดีย บังคลาเทศก็ไม่มีต่างชาติให้ความสนใจ เข้าไปยุ่งเกี่ยวซึ่งส่งผลดีต่อประเทศนั้นๆเองด้วยเพราะสามารถจัดการเลือกตั้งเองได้เช่นเดียวกับไทย หากประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ทั้งก่อนและหลังเลือกตั้ง แล้วบริหารจัดการเองได้ ย่อมจะดีกว่าให้คนต่างประเทศเข้ามาคุมอยู่ตลอดเวลา
ชี้สมศักดิ์ศรีชอบธรรมคนไทย
เมื่อถามว่าหากไม่ให้ต่างชาติเข้ามาจะถูกวิจารณ์ในเรื่องความโปร่งใสหรือไม่ นายดอน กล่าวว่า คิดว่า กกต.จะเชิญชวนประชาชนรวมถึงเจ้าหน้าที่สถานทูตในประเทศไทย มาสังเกตการณ์ นั่นก็มีชาวต่างชาติมาสังเกตการณ์เกือบ100คนแล้ว ยิ่งเมื่อบวกกับคนไทยที่เป็นผู้สังเกตการณ์ด้วยก็ถือว่าเพียงพอและถือว่าเป็นการบริหารจัดการกันเองภายใน คิดว่าสมศักดิ์ศรี และชอบธรรมแล้ว ส่วนที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯวิจารณ์รัฐบาลอย่างต่อเนื่อง ถือว่ากระทบต่อความเชื่อมั่นหรือไม่ นายดอน ตอบว่าคนที่เข้าใจในสถานการณ์ จะรู้ว่าเป็นเรื่องปกติ ที่นายทักษิณ จะต้องออกมาวิจารณ์รัฐบาล เพราะถือว่าตัวเองอยู่คนละฝ่ายกับรัฐบาล
ร่างพรฏ.เลือกตั้งทูลเกล้าฯแล้ว
ด้าน นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนำร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งนำขึ้นทูลเกล้าฯว่าคาดว่ามีการนำร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าฯถวายแล้ว ส่วนที่กกต.ระบุว่าจะรู้วันเลือกตั้งที่ชัดเจน จะเป็นวันที่24ก.พ.62หรือไม่ ต้องรอร่างพ.ร.ฎ.ให้การเลือกตั้งประกาศในราชกิจานุเบกษา ไม่เกิน 4 ม.ค.2562นั้น เป็นเพียงการกะเกณฑ์ของกกต.แต่สามารถปรับได้โดยนับตั้งแต่วันที่ 16 ก.พ.ถัดจากนั้น 7 วัน ต้องมีเลือกตั้งล่วงหน้าก่อนหน้านั้น 2 สัปดาห์ เป็นการเลือกตั้งต่างแดน หากนับถอยไปอีก เป็นการรับสมัคร พอคิดอย่างนี้ กกต.เลยคิดว่าต้องประกาศวันที่ 4 ม.ค.ถ้าช้ากว่านี้ วันเลือกตั้ง ยังเป็นวันที่ 24 ก.พ.ได้ เพียงแต่ต้องปรับวันเลือกตั้งล่วงหน้ากับนอกราชอาณาจักรไม่ต้องต่อกันเพราะทับวันกันได้
เมื่อถามว่าปฏิทินที่พรรคการเมืองจะเสนอชื่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ให้มาอยู่ในบัญชีเพื่อเสนอชื่อ เป็นนายกรัฐมนตรีเริ่มทำได้เมื่อไร นายวิษณุกล่าวว่า การทาบทามทำได้เลย แต่การเสนอชื่อให้ กกต.ต้องอยู่ภายใน 5 วัน ที่มีการเปิดรับสมัคร จะก่อนไม่ได้ หลังไม่ได้ ทั้งนี้ หลังจากเสนอชื่อให้กับกกต.แล้วก็ยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามปกติ ไม่ได้มีข้อห้ามอะไร เพราะเป็นเพียงรายชื่อที่พรรคเสนอ ไม่ได้เป็นผู้สมัคร
ยันครม.สัญจรได้ อยู่เฉยๆก็ได้เปรียบ
นายวิษณุกล่าวว่าในเรื่องการหาเสียง ต้องให้พรรคพูด นายกฯจะพูดในแง่ของรัฐบาลเท่านั้น พูดอะไรก็ตาม ต้องตั้งต้นด้วยการเป็นรัฐบาล ไม่ใช่พรรคการเมือง เรื่องนี้ใครๆ ก็รู้ทั้งคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ยุบสภา และไปหาเสียง หรือแม้กระทั่ง นายทักษิณ ชินวัตรที่อยู่ครบเทอมแล้ว ก็ไปหาเสียงซึ่งรู้ว่าต้องพูดอย่างไร แต่อาจแตกต่างตรงที่ท่านนายกฯไม่ได้เป็นผู้สมัคร ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค จะพูดได้ก็แค่รณรงค์ให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ไม่ต้องห่วง ระมัดระวังอะไร
“การประชุม ครม.สัญจร ยังมีปกติ เพราะกำหนดล่วงหน้านานแล้ว มีไปได้เรื่อยๆ จะเหมาะสมหรือไม่ ไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม ถึงอย่างไร ครม.ต้องประชุมอยู่แล้ว ไม่ว่า จะประชุมที่นี่ หรือสัญจรไม่ต่างกัน แต่ถ้าประชุมสัญจร อาจได้ลงพื้นที่ ต้องยอมรับว่า คนเป็นรัฐบาลย่อมมีโอกาสได้เปรียบ แต่จะไปเอาเปรียบไม่ได้ อยู่เฉยๆ ก็ได้เปรียบ เพราะมีงานทำ มีผลงาน ทั้งนี้การเอา หรือไม่เอาเปรียบ ถ้าแบ่งโดยกฎหมายมีเส้นแบ่งชัดเจน แต่คนข้างนอกมองก็ต้องปล่อยไป ไม่ได้มีอะไรยุ่งยากในเรื่องพวกนี้ เมืองไทยผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาเยอะแล้ว”
กกต.งัดกฎเหล็กติดป้ายหาเสียง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ว่ากกต.ร่างระเบียบที่เกี่ยวกับการหาเสียงซึ่งกำหนดการจัดทำแผ่นป้ายหาเสียงสำหรับการเลือกตั้ง ส.ส.เสร็จเรียบร้อบแล้วโดยกำหนดว่า ผู้สมัครส.ส.เขต จัดทำแผ่นป้ายคัทเอาท์หาเสียงของตัวเองได้จำนวนไม่เกิน 2 เท่าของจำนวนหน่วยเลือกตั้งในแต่ละเขต ขณะที่พรรคการเมืองสามารถจัดทำป้ายคัทเอาท์หาเสียงได้เอง จำนวนไม่เกิน 1 เท่า ของจำนวนหน่วยเลือกตั้งในแต่ละเขตโดยในส่วนของ กกต.จัดทำแผ่นป้ายหาเสียงขนาด A3 ให้ผู้สมัครแต่ละคนอย่างเท่าเทียมกัน ขนาดและสถานที่ติดตั้งป้ายขึ้นอยู่ กกต. กำหนด
ห้ามติดรูป’แม้ว-ปู-ชวน’บนป้าย
ส่วนรถหาเสียง ผู้สมัครแต่ละเขต มีรถแห่หาเสียงได้ไม่เกิน 10 คัน ห้ามใช้รูปบุคคลอื่น ที่ไม่ใช่ผู้สมัคร ส.ส.เขต หัวหน้าพรรค หรือ ว่าที่นายกรัฐมนตรี ตามที่พรรคเสนอ สำหรับแผ่นป้ายหาเสียง กกต.กำหนดให้ใช้เฉพาะรูปผู้สมัคร ส.ส.เขตแต่ละเขต หัวหน้าพรรค และว่าที่นายกรัฐมนตรี ตามที่พรรคการเมืองเสนอเท่านั้น ไม่สามารถใช่รูปบุคคลอื่นหรือผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ ในการหาเสียงได้ ดังนั้น ส่งผลให้พรรคเพื่อไทยและพรรคไทยรักษาชาติ ไม่สามารถใช้ภาพของ นายทักษิณ ชินวัตรและน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หาเสียงได้ เช่นเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่สามารถใช้ภาพของนายชวน หลีกภัย ในฐานะผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ ได้เช่นกัน.
รปช.เล็งจัดระดมทุนโต๊ะจีน240ล้าน
ช่วงวันเดียวกัน ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี พรรครวมพลังประชาชาติไทย(รปช.)ได้จัดประชุมสมัชชา เพื่อแก้ไขข้อบังคับ เลือกหัวหน้าพรรค เลขาธิการฯและเหรัญญิก มี ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล หัวหน้าพรรคฯ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรค แกนนำ และสมาชิกพรรคเข้าร่วมอย่างคึกคัก ซึ่งมีการประชุมมีการวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ไปยังศูนย์จังหวัดต่างๆทั่วประเทศทั้ง 17ศูนย์ และส่วนกลาง รวมประมาณ 8,200 คน โดย นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรค รปช. กล่าวว่าวันที่ 18 ธ.ค.พรรค รปช.จะจัดงานระดมทุนเข้าพรรคในรูปแบบโต๊ะจีน จำนวน 240 โต๊ะๆละ1ล้านบาท ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
หม่อมเต่ารั้งหน.-เอนก-จักษ์ กก.บห.
จากนั้นที่ประชุมรับรองการแก้ไข้ข้อบังคับพรรค และรับรองการที่ไม่ต้องเลือกหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค เหรัญญิกพรรค นายทะเบียนสมาชิกพรรค และกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ จำนวน 7 คน ตามที่ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรค เป็นผู้เสนอให้ใช้กรรมการบริหารพรรคชุดเดิม ซึ่งมี ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล เป็นหัวหน้าพรรค และนายทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง เป็น เลขาธิการพรรค
แต่มีกรรมการบริหารพรรคลาออก2คนคือ น.ส.สุเนตตา แซ่โก๊ะ และ นายวีระชัย คล้ายทอง ดังนั้นสมาชิกผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนจึงได้เข้าคูหากาบัตรลงคะแนนรับรองเลือกนายเอนกและนายจักษ์ พันธ์ชูเพชร เป็นกรรมการบริหารพรรคแทน ซึ่งการลงคะแนนได้เกิดขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศที่มีการประชุมพรรค รปช.มีจำนวนสมาชิกที่มีสิทธิ์ลงคะแนนทั่วประเทศ 8,235คน ต่อมา ที่ประชุมมีมติ เลือกคณะกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง จำนวน7คน และคณะกรรมการวินัยและจริยธรรมร่วมกับส่วนกลาง จำนวน 5 คน
ลุงกำนันติวเข้ม-ปลุกรปช.ป้องรธน.
โดยนายสุเทพ ชี้แจงว่าคณะกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง และคณะกรรมการวินัยและจริยธรรม เพื่อคอยกำกับตรวจสอบความประพฤติการปฏิบัติตนของผู้สมัคร ส.ส.คณะกรรมการบริหารพรรคและผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองของพรรค ไม่ให้คนในพรรค ไปสร้างความเสียหายให้กับบ้านเมืองและคณะกรรมการบริหารพรรค ทั้ง 7คน ประชาชนต้องไว้วางใจ ตนจึงได้กำชับไปแล้วว่า การทำงานจะต้องเป็นทีมและต้องรับผิดชอบร่วมกัน ถ้าจำนวนมากเกินไปจะทำให้ยุ่งไปหมด จะกลายเป็นกรรมการงานวัด และจะต้องไม่ยอมให้คณะกรรมการบริหารพรรค เป็นตัวแทนของจังหวัดของภาคและเป็นมุ้งใด มุ้งหนึ่งของจังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง ขณะนี้มีผู้มีอิทธิพลทางการเมือง ประกาศว่า ถ้าเขาชนะจะแก้รัฐธรรมนูญ ไม่ให้มีแผนยุทธศาสตร์ชาติอีกต่อไป แต่พรรค รปช.ขอประกาศปกป้องรัฐธรรมนูญ.
เชื่อไม่ซ้ำรอยพฤษภาทมิฬ35
นอกจากนี้ นายสุเทพ ยังให้สัมภาษณ์ถึงพรรคการเมืองวิเคราะห์การเลือกตั้งครั้งนี้เหมือนคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)สืบทอดอำนาจหวั่นว่าจะมีเกิดพฤษภาทมิฬซ้ำรอยรอบ2ว่าประชาชนคาดหวังว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นการเลือกตั้งที่ดี นำมาซึ่งสิ่งดีของบ้านเมือง ดังนั้น ใครก็ตามที่พยายามวาดภาพให้การเลือกตั้งเลวร้ายทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความคาดหวังของประชาชน ส่วนตัวก็ยังเชื่อว่าการเลือกตั้ง ต้องเรียบร้อย เพราะประชาชน ไม่ต้องการให้ใครมาทำให้บ้านเมืองเสียหาย ไม่มีใครกล้าทำอะไรให้เสียหาย เพราะไม่มีใครใหญ่กว่าประชาชน ซึ่งเป็นหน้าที่ของ กกต.ที่จะต้องควบคุมดูแล กำกับการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ ยุติธรรมและเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ส่วนเรื่องอนาคตประชาชน เป็นผู้ตัดสินเอง
ป้อง’ลุงตู่-4รมต.’ไม่ออก-ทำงานต่อ
ส่วนกรณีพรรคการเมืองยังเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ4 รัฐมนตรี ที่สังกัดพรรคพลังประชารัฐ ลาออก หลังประกาศความชัดเจนทางการเมืองว่า ทุกอย่าง ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ขออย่าเรียกร้องไปมากกว่านั้น โดยมองว่า การที่พล.อ.ประยุทธ์กับ4 รัฐมนตรี ยังไม่ลาออก ไม่ใช่การเอาเปรียบพรรคการเมืองอื่น และครั้งนี้ เป็นการเลือกตั้งครั้งแรก หลังจากมีการยึดอำนาจโดย คสช.หากลองหลับตานึกถึงการเลือกตั้งครั้งต่อไป ก็จะต้องมีคนที่เป็นรัฐบาล และรัฐบาลรักษาการปฏิบัติหน้าที่อยู่ ถ้าเป็นอย่างนั้นนั้น ก็คงต้องชี้หน้าว่า เอาเปรียบคนอื่น จึงขออย่าพูดเกินจริง ควรพูดในสิ่งที่พอดี
ชี้เคยหนุนบิ๊กตู่วันนี้ต้องฟังเสียงปชช.
ทั้งนี้ นายสุเทพ บอกว่า ที่พูดเช่นนี้ไม่ใช่ผมสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ สิ่งที่เคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เต็มตัวเพราะต้องการให้บริหารราชการแผ่นดินช่วงรอยต่อให้เรียบร้อย ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติ เพราะเมื่อการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรครวมพลังประชาชาติไทยเป็นพรรคการเมืองของประชาชนก็จะฟังเสียงประชาชน ใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ต้องการชวนพรรครวมพลังประชาชาติไทยเข้าร่วมด้วยก็ต้องพูดคุยกันว่าจะนำอุดมการณ์ของพรรคไปดำเนินการหรือไม่ และสนับสนุนให้ทำงานตามเป้าหมายเรื่องการปฏิรูปประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าหากอุดมการณ์ไม่ตรงกันพรรครวมพลังประชาชาติไทยก็จะไม่เข้าร่วมด้วย
‘มาร์ค’เปิดนโยบายด้านการศึกษา
ในซีกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ได้แถลงนโยบายพรรคด้านการศึกษา เน้นยกระดับคุณภาพการศึกษาไทย เพื่อขจัดความเหลื่อมล้ำสร้างความเปลี่ยนแปลงภายใต้ 10 นโยบายสำคัญ อาทิ นโยบายเกิดปั๊ป รับสิทธิเงินแสน เบี้ยเด็กเข้มแข็งแรกเกิดรับ5,000บาท และได้รับเดือนละ1,000บาท จนถึงอายุ 8 ขวบ ส่งเสริมให้ครอบครัวมีค่าครองชีพในการดูแลเด็กเล็กอย่างเต็มที่ได้รับโภชนาการที่ถูกต้องเพื่อให้เด็กมีสุขภาพที่แข็งแรงจากงานวิจัยที่เด็กอายุ 0-8 ปีควรได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่แต่ปัจจุบันเด็กไทยเผชิญปัญหาได้รับโภชนาการที่ไม่เพียงพอและไม่เหมาะสมส่งผลต่อพัฒนาการและความพร้อมทางสมอง ยืนยันว่า ไม่ใช่นโยบายประชานิยม แต่เป็นสวัสดิการที่ควรได้รับ
ยังมีนโยบายพัฒนาศูนย์เด็กเล็ก ต่อยอดจากนโยบายที่เคยริเริ่มไว้ให้คุณภาพดี ผลักดันให้เด็กทุกคนมีสิทธิต้องเข้าถึงการศึกษาปฐมวัย มีครูปฐมวัย เพียงพอ นโยบายสนับสนุน อาหารเช้า และอาหารกลางวันฟรีมีคุณภาพในโรงเรียนต่อยอดนโยบายที่เคยเริ่มในยุคพรรคประชาธิปัตย์ ที่ปัจจุบัน มีปัญหาการจัดสรรงบประมาณไม่เพียงพอรวมไปถึงนโยบายเรียนฟรีถึงปวส.ส่งเสริมคนจบสายอาชีพ จบแล้วต้องมีงานทำ โดยมีสถานประกอบการรับรอง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าพรรคยังมีนโยบายคูปองการศึกษาตลอดชีวิต ให้ผู้ใหญ่ได้เรียนรู้ฝึกทักษะฝีมือแรงงาน มีใบรับรองในการประกอบอาชีพรวมไปถึงเด็กไทยต้องพูดได้อย่างน้อย2ภาษา และต้องพูดภาษาอังกฤษเป็น อีกทั้งมีนโยบายคืนครูให้นักเรียน ลดภาระงานครู เลิกระบบการประเมินผลงานครูและการยึดประเมินจากผลลัพธ์ของผู้เรียนแทน และนโยบายกระจายอำนาจให้โรงเรียน ได้รับจัดสรรงบประมาณ ที่เหมาะสม โรงเรียนมีอิสระในการใช้จ่ายงบประมาณ ให้สอดคล้องกับความต้องการของนักเรียนในพื้นที่ไม่ใช่กระทรวงมาคอยจัดสรรอุปกรณ์การเรียน แบบที่บางโรงเรียนผู้เรียนไม่ถนัด ยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์พร้อมที่จะเข้ามาลงทุน นโยบายและได้ประเมินผลกระทบต่องบประมาณเรียบร้อยแล้ว ถือเป็นนโยบายที่คุ้มค่ามากที่สุด และเป็นนโยบายระยะยาว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี