‘เอกพร’ระบุต่างชาติจุ้นเลือกตั้งเป็นเรื่องสากล ชี้ประเทศยึดอำนาจยิ่งต้องจับตา
16 ธ.ค.61 นายเอกพร รักความสุข หัวหน้าพรรคพลเมืองไทย กล่าวถึงกระแสการเรียกร้องให้องค์กรต่างชาติเข้ามาสังเกตการณ์การเลือกตั้งในประเทศไทย ว่า ตามหลักการการเลือกตั้งต้องเปิดเผย บริสุทธิ์ ยุติธรรม โดยการเลือกตั้งปกติของทุกประเทศจะเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีผู้สังเกตการณ์ ใครสนใจก็จะมา แต่สำหรับประเทศที่มีการยึดอำนาจ สังคมโลก จะเห็นว่าประเทศใดที่มีปัญหาแบบนี้ ย่อมอาจจะส่งผลต่อการสืบทอดอำนาจ เช่น หลายประเทศในแอฟริกาที่ล้มเหลว ก็มาจากการยึดอำนาจ แล้วทุจริตในการเลือกตั้ง มีการโกง ฉะนั้นเรื่องที่เป็นสากลอย่างนี้ ย่อมอยู่ใสความสนใจของคนทั่วโลก เราต้องยอมรับความจริงว่าเรามีการยึดอำนาจและปกครองประเทศมา 5 ปี ขณะที่คนที่ไม่เห็นด้วยกับการยึดอำนาจ เขาก็ส่งสัญญาณว่าอาจจะมีการเอาเปรียบอย่างถูกกฎหมาย
“แม้แต่รัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติบอกว่าจะใช้ระบบที่ประชาชนมีส่วนร่วมคือระบบไพรมารีโหวต ตอนที่มีการยกร่างกฎหมายก็มีทั้งคนเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย แต่เมื่อคณะกรรมการยกร่างเห็นด้วย มันจึงกลายเป็นหลักของประเทศ ต่อมาพอจะเลือกตั้งจริง คนที่เชียร์ผู้ปกครองประเทศ ก็ให้หันไปใช้ระบบอื่น เพราะกลัวจะจัดตั้งพรรคการเมือง หรือหาผู้สมัครไม่ทัน คำสั่งมาตรา 44 ฉบับที่ 13,16 มันสะท้อนเลยว่าเป็นการลดเงื่อนไขที่รัฐธรรมนูญวางหลักการเอาไว้ ให้สามารถสรรหาผู้สมัครได้ถึงวันรับสมัครเลือกตั้ง เนื่องจากพรรคที่เขาจัดตั้งอาจจะทำไม่ทัน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงกติกาเหล่านี้ มันก็ทำให้คนทั้งในและต่างประเทศ มีสิทธิ์จะคิดว่าผู้ที่ยึดอำนาจและปกครองประเทศมา5 ปีอาจจะติดใจรสชาติอำนาจ การเอาเปรียบอย่างถูกต้องตามกฎหมายมันก็เป็นเรื่องทีจะเกิดขึ้นได้” นายเอกพร กล่าว
นายเอกพร กล่าวต่อว่า การมาสังเกตการเลือกตั้ง จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจ มันเป็นเรื่องปกติของประเทศที่มีการยึดอำนาจ และจะมีการเลือกตั้ง เหมือนเขาเห็นปรากฏการณ์พิเศษของประเทศๆหนึ่ง แล้วอยากไปดู ขณะที่นายกรัฐมนตรีของเราเดินสายไปทั่งโลก และบอกกับทุกประเทศว่าจะคืนประชาธิปไตยให้กับประเทศ เขาก็ย่อมเคยชินกับประเทศของเขาว่าเลือกตั้งแล้วจะต้องไม่โกง ไม่เอาเปรียบ ความรู้สึกของผู้นำต่างประเทศที่ฟังเรา เขาก็อยากจะดูว่าเป็นยังไง เราไปบอกเขาหลายครั้งว่าจะมีการเลือกตั้ง แต่ก็เลื่อนมาเรื่อย พอจะมีการเลือกตั้งจริงๆ เขาก็ต้องสงสัยว่า คนที่ยึดอำนาจ อยากจะสืบสืบทอดอำนาจหรือไม่
ส่วนกรณี 4 รัฐมนตรี ที่ร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ แต่ยังไม่ยอมลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีนั้น คนที่อยู่ในตำแหน่ง ย่อมมีโอกาสมากกว่าคนอื่น มติครม.ในเรื่องต่างๆ ก็จากพวกคุณร่วมตัดสินใจ และเมื่อมาตั้งพรรคการเมือง มติครม.ใดที่เกิดประโยชน์กับพรรคใดพรรคหนึ่ง ย่อมเป็นสิ่งที่สมรู้ร่วมคิดด้วยกัน สังคมก็เลยสงสัยในหลักเกณฑ์จริยธรรมของคนที่เข้าสู่การเมืองมันควรจะเป็นอย่างไร ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ไม่ใช่รัฐบาลรักษาการ ถ้าเป็นรัฐบาลรักษาการเขาต้องมียางอาย อะไรควรทำ ไม่ควรทำจะต้องรู้ และพรรคการเมืองคู่แข่งจะต้องวิจารณ์ได้ แต่สภาพขณะนี้มันทำอะไรไม่ได้เลย เพราะหัวหน้าคสช.ยังมีอำนาจที่จะแก้ไขอะไรก็ได้ และเป็นคนเดียวกับที่เขาจะชูให้กลับมาเป็นนายกฯอีก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี