7 ม.ค. 62 ที่สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ ถ.พหลโยธิน นางสมศรี หาญอนันทสุข, ผศ.ดร.จตุรงค์ บุณยรัตนสุนทร, นายบุญแทน ตันสุเทพวีรวงศ์ และนายสุรพงษ์ กองจันทึก 4 ผู้ผ่านการสรรหาเสนอชื่อเป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) แต่ไม่ผ่านการรับรองจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ให้เป็นกสม. เดินทางมายื่นหนังสือต่อนายนคร ชมพูชาติ ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความฯ เพื่อขอความช่วยเหลือทางกฎหมายจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยมีนายดำรงศักดิ์ เครือแก้ว อุปนายกฝ่ายปฏิบัติการ สภาทนายความฯ และนายนคร เป็นผู้รับเรื่อง
โดยคำร้องระบุถึงกรณีเมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2561 สนช. ได้มีมติรับรองผู้ผ่านการสรรหาให้ดำรงตำแหน่ง กสม. จำนวน 2 คน ได้แก่ น.ส.พรประไพ กาญจนรินทร์ และนางปิติกาญจน์ สิทธิเดช และมีมติไม่รับรองผู้ผ่านการสรรหา จำนวน 5 คน ได้แก่ นางสมศรี หาญอนันทสุข, นายไพโรจน์ พลเพชร, ผศ.ดร.จตุรงค์ บุณยรัตนสุนทร, นายบุญแทน ตันสุเทพวีรวงศ์ และนายสุรพงษ์ กองจันทึก โดยมติที่ประชุมสนช.ดังกเป็นการประชุมลับ ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลและเหตุผลในการลงมติให้ผู้ที่ผ่านการสรรหาทุกคน รวมทั้งสาธารณชนทราบด้วย
ทั้งนี้ปรากฏว่า ในการพิจารณาของ สนช. มีการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาอีก 1 ชุดเพื่อมาทำหน้าที่ตรวจสอบ ซึ่งซ้ำซ้อนกับกรรมการสรรหา ถือได้ว่า เป็นกระทำขัดต่อกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ โดยไม่มีกฎหมายให้อำนาจไว้ ทำให้ผู้ร้องทั้ง 4 คนได้รับผลกระทบโดยตรงจากการกระทำของ สนช. จยได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก อีกทั้งพฤติกรรมการลงมติมีลักษณะที่เหมือนกับการเตรียมการลงคะแนนเสียงมาก่อน ซึ่งเป็นการไม่ชอบ ทำให้ผู้ร้องไม่อาจเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ กสม. ได้ ราวกับว่า สนช. ส่วนใหญ่ไม่ยอมรับและไม่ประสงค์ให้นักสิทธิมนุษยชนที่ได้รับการสรรหาอย่างถูกต้องเข้ามาแก้ไขปัญหาสิทธิมนุษยชนของประเทศตามกลไกของกฎหมายที่กำหนดไว้ เป็นการทำลายประวัติการทำงานและชื่อเสียงของผู้ร้องอีกทั้งเป็นการลงโทษที่ทำให้ผู้ร้องไม่สามารถกลับไปสมัครเป็นผู้รับการสรรหาเป็น กสม.ได้อีก จนอาจส่งผลต่อการสมัครเป็นกรรมการในองค์กรอิสระอื่นๆ ด้วย
การกระทำของ สนช. ดังที่กล่าวมาย่อมถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่เที่ยงธรรมไม่โปร่งใส ผิดหลักการในเรื่องการเปิดเผยตามรัฐธรรมนูญและ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.2560 ตลอดจนหลักการและกฎหมายสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องโดยข้อเท็จจริงทั้งหมด
ผู้ร้องจึงขอให้สภาทนายความพิจารณาให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย ทั้งการดำเนินการต่อหน่วยงานต่างๆ หรือการดำเนินคดีทางศาล เพื่อเป็นการสร้างบรรทัดฐานและอำนวยความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม
ภายหลัง นายนคร กล่าวว่า เมื่อสภาทนายความฯ ได้รับเรื่องแล้ว จะไปพิจารณาประเด็นร้องเรียนเข้าหลักเกณฑ์ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างไร มีผลกระทบต่อประชาชนแค่ไหน ให้มีการตั้งคณะทำงานพิจารณาเพื่อหาวิธีดำเนินการต่อไป โดยรายละเอียดเราจะสอบผู้ร้องเรียนให้ชัดเจนอีกครั้ง เรื่องนี้คู่กรณีคือ สนช. ทำหน้าที่แทนวุฒิสภา ไม่ได้มีปัญหากับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ สนช. ดูเหมือนสร้างแนวบรรทัดฐานที่จะเป็นปัญหา
ด้านนายดำรงศักดิ์ กล่าวว่า สภาทนายความฯ มีวัตถุประสงค์ให้ความช่วยเหลือผู้ยากไร้และไม่ได้รับความเป็นธรรม เรื่องนี้ได้ให้สายงานกรรมการสิทธิฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในสายปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องโดยตรง การพิจารณาว่าจะรับช่วยเหลือหรือไม่ต้องผ่านกระบวนการคณะกรรมการ วันนี้รับเรื่องไว้ก่อน ช่วยเหลืออย่างไรจะได้ติดตามกันต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามถึงคณะกรรมาธิการที่ทางผู้ร้องเรียนระบุว่า สนช. ตั้งขึ้นมาซ้ำซ้อน นายนคร ประธานกรรมการสิทธิฯ สภาทนายความฯ ระบุว่า เป็นคณะกรรมาธิการตรวจสอบประวัติ โดยทั่วไปกรณีอื่นๆ อาจพอยอมรับได้ที่ สนช. จะตรวจสอบเพิ่มเติม แต่ในกรณีสรรหา กสม. จุดเริ่มต้นมาจากกรรมการสรรหาที่ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย กสม. กำหนดให้มีคณะกรรมการซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ตำแหน่งฐานะสูงมาก ปกติสรรหาได้แล้ว สนช. น่าจะนำรายงานสรรหานี้มาพิจารณา
ส่วนกรณีนี้มีการตั้งคณะกรรมาธิการตรวจสอบอีกครั้ง เหมือนทำหน้าที่ซ้ำ และดูจะมีอำนาจมากกว่า ถ้าตั้งกรรมาธิการศึกษารายงานผลการสรรหาพอฟังได้ แต่ตั้งกรรมาธิการตรวจสอบอีกครั้งซึ่งแตกต่าง เวลานำเสนอ สนช. ก็ไม่ทราบว่าเสนออย่างไร เป็นการประชุมลับ รายงานก็ไม่เปิดเผย
นายนคร กล่าวอีกว่า ถ้ากรรมการสรรหาไปหามาใหม่จะหาแบบไหนที่ สนช. ต้องการและสอดคล้องกับกฎหมาย ตามข้อบังคับมีหลักเกณฑ์อยู่ แต่ไม่ควรทำงานซ้ำ ใช้อำนาจเหนือคณะกรรมการสรรหา การทำงานของ สนช.บางเรื่องก็ดี บางเรื่องก็ต้องรับฟังประชาชน บางเรื่องต้องรู้ขอบเขตอำนาจตัวเอง ใช้ปัญญาให้ตรงกับความรู้นั้นๆ มากที่สุด ทำแล้วเปิดเผย ไม่เหมาะสมอย่างไรก็ควรเปิดเผย เพราะ กสม. เป็นตำแหน่งที่ทั่วโลกเฝ้ามองอยู่ เราถูกจัดอันดับที่ไม่สามารถร่วมประชุมกับเขาได้ สรรหามาแล้วออกมาในลักษณะนี้อันตรายที่สุด มีผลกระทบต่อประชาชนและประเทศชาติ
ด้าน ผศ.ดร.จตุรงค์ กล่าวว่า พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย กสม. มาตรา 13 (3) คณะกรรมการสรรหาต้องหาผู้ที่มีประสบการณ์ ทัศนคติ เขียนชัดเจนให้ทำการตรวจสอบความประพฤติของผู้สมัคร ดังนั้นอำนาจหน้าที่ตรวจสอบความประพฤติถูกกำหนดไว้แล้ว มาตรา 14 ให้นำเสนอผู้มีความเหมาะสมจำนวน 7 คน มาตรา 16 สนช.มีหน้าที่ในการรับรองผู้ผ่านคณะกรรมการสรรหา จะต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง การที่ สนช. มีมติให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบความประพฤติอีกชั้นเป็นการทำงานซ้ำซ้อน เรื่องนี้ใช้ข้อบังคับการประชุมเป็นตัวเริ่มต้นในการตั้ง ทั้งนี้ จากประสบการณ์ที่เราถูกตรวจสอบเรียกไปสัมภาษณ์นั้นบรรยากาศไม่ดี เหมือนมีการตั้งเป้าหาความผิดที่จะไม่รับรองพวกเรา ที่มาร้องสภาทนายความฯ มีมิติทางกฎหมายที่ต้องพิจารณาถกกัน สนช. มีอำนาจตั้งข้อบังคับแต่สมควรหรือไม่ แล้วถ้าจะมีการสรรหา กสม. รอบ 2 แทนพวกเรา กระบวนการคงจะเหมือนเดิม ถ้าเราไม่ถกว่าสมควรหรือไม่สมควรทำ ทั้งที่คณะกรรมการสรรหาทำหน้าที่โปร่งใสมีรายงานออกมา แต่ที่ สนช. ตั้งคณะกรรมการอีกชุดที่ไม่ได้เข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนมาพิจารณาไปอีกทาง
ส่วนนายสุรพงษ์ กล่าวว่า นายกฯ ได้ประกาศสิทธิมนุษยชนเป็นวาระแห่งชาติ ปี 2561 ไทยเป็นประธานอาเซียน ที่ผ่านมา กสม. ถูกลดไปอยู่ระดับบี เป็นหน้าที่ทุกฝ่ายต้องขยับไปสู่ระดับเอ หนึ่งในสาเหตุลดระดับคือการสรรหา ที่ต้องมีคนจากทุกภาคส่วนมาร่วมกัน รัฐธรรมนูญร่างออกมาได้ดี หนึ่งในหลักการคือสรรหาต้องโปร่งใส การเลือกไม่เลือกต้องบันทึกเหตุผลและเผยแพร่ต่อสาธารณชน แต่น่าเสียดายที่ สนช. ไม่ดำเนินการตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญไปพิจารณาลับ ไม่เปิดเผยเหตุผลเลือกไม่เลือกเพราะอะไรแก่สาธารณชน รวมถึงพวกตน แม้การเปิดเผยพวกตนจะได้รับผลกระทบมากกว่าในการพูดเรื่องไม่ดี ตนก็ยินดี รวมถึงที่ผ่านมาเช่นการสรรหาคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็ชี้แจงเหตุผล เรื่องนี้เป็นครั้งแรกที่รับรองและไม่รับรองโดยไม่ให้เหตุผล
เมื่อถามว่า เบื้องต้นจะเข้าข่ายผิดกฎหมายใดและต้องฟ้องต่อศาลใด นายนคร เผยว่า ถ้าเป็นมติไม่ชอบด้วยกฎหมาย อาจจะต้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญเพิกถอนมติ ขึ้นอยู่กับประเด็นที่จะร้องขึ้นไป สนช. เป็นตำแหน่งทางการเมือง การกระทำใดๆ อาจจะต้องไปศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนในทางแพ่งอาจจะให้เพิกถอนมติ และทางอาญาจะถึงขั้นปฏิบัติหน้าที่มิชอบหรือไม่ เมื่อมีการดำเนินคดีจะชี้ว่าทำได้แค่ไหน เป็นเรื่องใหญ่ต้องวางบรรทัดฐานให้ชัด ให้วุฒิสภาใช้เป็นแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้อง ดังนั้นเป้าหมายคือเพิกถอนมติ ส่วนปฏิบัติหน้าที่มิชอบหรือไม่ต้องดูกันต่อไป.
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี