มติกกต.ฟันผิดคดีหุ้น
รบ.อุ้ม3รมต.
ไม่ต้องออก-รอศาลชี้
วิษณุยกเปรียบเทียบปม‘ดอน’
‘บิ๊กตู่’จับตาพรรคจ้องล้มอีอีซี
หาเสียงขายฝันเป็นจริงหรือไม่
มติกกต.ฟัน 3 รมต.-1 อดีตรัฐมนตรีคดีถือครองหุ้น ส่งศาลรธน.วินิจฉัยคุณสมบัติขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ “สุวิทย์-ไพรินทร์” ยืนยันไม่ลาออกรอฟังคำชี้ขาดก่อน ด้าน “วิษณุ-พุทธิพงษ์” โดดอุ้มยังไม่ต้องลาออก ยกเคส “ดอน” เปรียบเทียบใช้เวลาพิจารณา1 เดือน รู้ผล “บิ๊กตู่” สั่งจับตานโยบายขายฝันหาเสียง ตอบโต้บางพรรคจ้องล้ม “อีอีซี” ให้ภาครัฐชี้แจงทำได้จริงหรือไม่
เมื่อวันที่ 11มกราคม นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แถลงว่า
ที่ประชุม กกต.เมื่อวันที่ 8มกราคมที่ผ่านมา ได้มีมติส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของหม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล อดีตรมช.ศึกษาธิการ,นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รมช.คมนาคม, นายสุวิทย์เมษินทรีย์ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและนพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ สิ้นสุดลงหรือไม่จากกรณีถือหุ้นสัมปทานรัฐเข้าข่ายกระทำการขัดกันแห่งผลประโยชน์ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา186 ประกอบมาตรา184วรรคหนึ่ง(2)และมาตรา170วรรคสาม แต่ขอไม่เปิดเผยว่าเห็นตามที่คณะกรรมการไต่สวนเสนอหรือไม่ และกกต.มีมติเป็นเอกฉันท์หรือเสียงข้างมาก
กกต.มีมติส่งศาลเช็คคุณสมบัติ
ทั้งนี้ เป็นการพิจารณาไปตามเนื้อหา รายละเอียดทุกประเด็นที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะเมื่อมีประเด็นใหม่ที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินไปไม่นาน กกต.คำนึงถึงศาลรัฐธรรมนูญและเหตุผลในคำวินิจฉัยนั้นด้วย อันไหนเป็นกรณีเหมือนกันเราก็ต้องมองไปตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มองเอาไว้ กรณีไหนคล้ายกันแต่ไม่ใช่โดยแท้ก็ถือว่ายังไม่เกี่ยวข้องและอาจเป็นประเด็นที่เราเห็นว่า ยังไม่มีบรรทัดฐานชัดเจน ดังนั้นเป็นสิ่งที่ดีกว่าที่จะให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ชี้ขาด
ไม่รู้เหมือนกรณี’ดอน’หรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีนี้ข้อเท็จจริงต่างจากกรณีการถือครองหุ้นของนายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ ที่ศาลรัฐธรรมนูญได้เคยวินิจฉัยไปแล้วว่าไม่ผิดและศาลรัฐธรรมนูญยังไม่มีคำวินิจฉัยชัดเจนใช่หรือไม่ ประธานกกต.กล่าวว่า คงสรุปอย่างนั้นไม่ได้ แต่ละกรณีมีหลายประเด็น บางประเด็นก็เกี่ยวพันหรือคล้ายกัน ส่วนระยะเวลายื่นศาลรัฐธรรมนูญนั้น เป็นเรื่องตามหลักปฏิบัติโดยปกติเมื่อผ่านเป็นมติกกต.แล้ว ทางสำนักงานกกต.ก็ดำเนินการขั้นตอนต่อไปโดยเร็ว
ฝีมือ’เรืองไกร’ยื่นให้ตรวจสอบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีดังกล่าวนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคเพื่อไทย(พท.) ได้ยื่นคำร้องขอให้กกต.ตรวจสอบเมื่อเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์2561 โดยตามคำร้องระบุว่า ม.ล.ปนัดดา ได้แสดงรายการทรัพย์สินหนี้สินต่อปปช.ว่ามีหุ้นบริษัทท่าอากาศยานไทย (ทอท.) กว่า 6พันหุ้น นายสุวิทย์ ถือหุ้นบริษัทGPSC หรือบริษัทโกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด(มหาชน) 9หมื่นหุ้น ซึ่งบริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทโฮลดิ้งที่รวมบริษัทลูกของ ปตท.ที่เป็นคู่สัญญาสัมปทานรัฐ ขณะที่นายไพรินทร์และคู่สมรส ถือหุ้นที่เป็นคู่สัญญาสัมปทานรัฐ โดยถือหุ้น บมจ. GPSC 5 หมื่นหุ้น บมจ.IRPC 2.4 แสนหุ้น บมจ ปตท.5พันหุ้น บมจ.พีทีที โกลบอล เคมีคอล 6หมื่นหุ้น บมจ.ไทยออยล์ 4 หมื่นหุ้น บมจ.กัลฟ์ เอนเนอร์จี ดีเวลลอปเม้นท์ 3แสนหุ้น บมจ.บ้านปู พาวเวอร์ หมื่นหุ้น บมจ.อินทัช โฮลดิ้ง 2.6 หมื่นหุ้นสำหรับ นพ.ธีระเกียรติ ถือหุ้นสัมปทานSCG บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 5,000หุ้น
กำลังยกร่างคำร้องส่งศาลรธน.
ด้าน พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการกกต.เปิดเผยว่า กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพท.ยื่นคำร้องให้ กกต.ตรวจสอบรัฐมนตรีว่ามีการกระทำเข้าข่ายขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามหมวด9ของรัฐธรรมนูญหรือไม่ ขณะนี้อยู่ระหว่างสำนักงาน กกต.ดำเนินการยกร่างคำวินิจฉัยเพื่อยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป ส่วนรายละเอียดสำนวนการไต่สวนเปิดเผยไม่ได้ เนื่องจากสำนวนการไต่สวนเป็นความลับและคดีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุด
‘สุวิทย์’ลั่นไม่ออก-รอศาลวินิจฉัย
นายสุวิทย์เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)และรมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวถึงกรณีกกต.ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการถือครองหุ้นสัมปทานของรัฐ ว่า ตนไม่กังวลเรื่องนี้ ศาลวินิจฉัยอย่างไรก็ว่าอย่างนั้น เรื่องนี้ไม่กระทบการทำงานในฐานะรัฐมนตรีและงานการเมือง เรื่องนี้ยังไม่ได้คุยกับพรรคพปชร.ขณะที่ภารกิจในฐานะรัฐมนตรีนั้นใกล้เสร็จหมดแล้ว เมื่อถึงเวลาจะลาออกมาทำงานการเมืองเต็มตัว เรื่องนี้ไม่ได้ทำให้การตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง รมว.เร็วขึ้นหรือช้าลงแต่อย่างใด เมื่อถามว่า กรณีนี้จะทำให้ถูกโจมตีหรือไม่ นายสุวิทย์ กล่าว เป็นเรื่องธรรมดาที่จะถูกโจมตีจากฝ่ายตรงข้าม แต่เราบริสุทธิ์ใจ มีหลักฐานพร้อมอธิบาย ยืนยันว่าเมื่อถึงเวลาจะแสดงสปิริตขณะนี้อยู่ระหว่างรอพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งและไม่มีผลต่อการตัดสินใจแต่อย่างใด เพราะเรามีแผนจะลาออกกันอยู่แล้ว
‘ไพรินทร์’เผยเคยชี้แจงกกต.แล้ว
นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รมช.คมนาคม ระบุว่าประเด็นดังกล่าวได้เข้าชี้แจงกับ กกต.หมดแล้ว ซึ่งหุ้นทั้งหมดได้โอนออกจากการถือครองไปที่PRIVATE FUND ตามกฎหมายตั้งแต่ก่อนรับตำแหน่ง ส่วนคำถามว่าทำไมผลวินิจฉัยของ กกต.ออกมาเช่นนี้ คงต้องไปถาม กกต.และการดำเนินการหลังจากนี้ก็จะต้องรอผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต่อไป เมื่อถามว่า เรื่องดังกล่าวจะส่งผลต่อการทำงานการเมืองอย่างไรนายไพรินทร์ ตอบว่าคงไม่มีอะไร เนื่องจากใกล้การเลือกตั้งแล้ว
‘วิษณุ’อ้อมแอ้มพักงานแล้วแต่ศาล
ขณะที่ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีกกต.มีมติส่งศาลตรวจสอบการถือครองหุ้นของ3รัฐมนตรีและอีก1อดีตรัฐมนตรี ว่า ตนยังไม่รู้รายละเอียดและไม่ได้ตามเรื่องนี้มาก่อน
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากกกต.ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ 3รัฐมนตรีในรัฐบาลปัจจุบันต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันทีหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า จะเป็นกรณีเดียวกับนายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.การต่างประเทศ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้สั่งให้พักงาน นายดอนก็ยังปฏิบัติหน้าที่ต่อไป กรณีนี้เช่นเดียวกันเมื่อกกต.ไปยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ก็อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยถ้าศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้พักงาน 3รัฐมนตรีก็ต้องพัก ทุกอย่างขึ้นอยู่กับศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งในรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ชัดเจนว่า แล้วแต่ศาลจะสั่งอย่างไร
ยกเคส’ดอน’เดือนเศษรู้ผลสอบ
เมื่อถามว่า หลังเกิดเรื่องขึ้น 3รมต.สามารถลาออกจากการถือหุ้นได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า แล้วแต่รมต.จะตัดสินใจ อย่างไรก็ตามกรณีนี้จะมีหลักอยู่ 3อย่างคือ ศาลอาจพิจารณาให้ 3รมต.หยุดพักการปฏิบัติหน้าที่ หรือรมต.หยุดพักการปฏิบัติหน้าที่เอง หรือรมต.จะขอลาออกเลยก็ได้ โดยในส่วนของคดี 3 รมต.ก็ไปต่อสู้ในศาล ซึ่งหากเทียบกับกรณีของนายดอน ก็จะใช้เวลาประมาณ 1เดือน ทั้งนี้ 3 รมต.ก็ทราบอยู่แล้วว่า ตัวเองมีคดีตรงนี้เพราะมีคนมาร้องและมีการเรียกไปสอบก่อนหน้านี้แล้ว
รบ.อ้างยังบริสุทธิ์-ไม่ต้องออก
นายพุทธิพงษ์ปุณณกันต์ รอโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงถึงกรณีกกต.มีมติส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติ 3รัฐมนตรีและ1อดีตรัฐมนตรี ถือครองหุ้นสัมปทานของรัฐ ว่า ถือเป็นขั้นตอนปกติ ที่กกต.จะต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา เพื่อหาข้อเท็จจริง เชื่อว่าทุกคนมีความยินดีชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ กรณีนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก เพราะเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งในกรณีของนายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ ซึ่งศาลใช้เวลาดือนกว่าก็มีคำวินิจฉัยออกมาว่าไม่มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติทุกคนพร้อมให้ข้อมูลกับศาลและตอนนี้ไม่ถือเป็นผู้ขัดคุณสมบัติ ยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ เพราะต้องรอการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและยังไม่ได้ชี้แจงรายละเอียดให้นายกฯทราบ แต่ตามหลักเมื่อรัฐมนตรีถูกตรวจสอบ รัฐมนตรีก็ต้องปกป้องตัวเอง ใช้สิทธิอันชอบธรรมในการชี้แจง ไม่มีลัดขั้นตอน ไม่มีอะไรต้องกังวล
นายกฯสั่งจับตานโยบายขายฝัน
นายพุทธิพงษ์ ยังกล่าวถึงกรณีนายกฯสั่งการให้แต่ละกระทรวงติดตามนโยบายพรรคการเมือง ว่า เนื่องจากเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง พรรคต่างเปิดนโยบายหาเสียง ซึ่งหลายนโยบายไม่ชัดเจนในทางปฏิบัติว่าทำได้จริงหรือไม่ นายกฯจึงสั่งให้ติดตามนโยบายต่างๆ เพราะหลายเรื่องพูดถึงการใช้งบประมาณที่มากพอสมควร ซึ่งต้องคำนึงถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ไม่อยากให้ประชาชนมองผิวเผิน แต่ต้องดูว่าปฏิบัติได้จริงหรือไม่ จึงไม่อยากให้พี่ประชาชนสับสน เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ นายกฯ จึงให้แต่ละกระทรวงติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะถ้ามีการบิดเบือนนโยบายของรัฐบาล หรือสิ่งที่รัฐบาลที่ได้ทำ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องออกมาชี้แจงทันทีเพราะต้องการให้นโยบายต่างๆ นำไปสู่การปฏิบัติจริง ไม่ใช่จับต้องไม่ได้เมื่อถามว่า ถือเป็นการสั่งการให้หน่วยงานรัฐจ้องจับผิดพรรคการเมืองหรือไม่ นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ไม่ใช่จ้องจับผิด หรือตอบโต้ แต่มองในมิติของความมีอยู่จริง ซึ่งทุกพรรคมีสิทธิเสนอนโยบายต่างๆได้ แต่ต้องให้ความรู้ประชาชนประกอบด้วยว่าพรรคจะนำไปสู่การปฏิบัติได้จริงในทุกมิติหรือไม่ ถ้าคิดว่าทำได้ก็ดี
‘บิ๊กตู่’แย้มบางพรรคจ้องคว่ำอีอีซี
ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวระหว่างเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ว่า ขอบคุณทุกภาคส่วนที่ทำให้ตัวเลขการลงทุนดีขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก(อีอีซี)อย่างเดียวสูงถึงกว่า 6แสนล้านบาท จึงขอให้ช่วยเร่งสร้างการรับรู้ในพื้นที่อื่นด้วย พร้อมให้จัดทำสถิติการลงทุนรายภาค เผยแพร่เข้าสู่โซเชียลมีเดียด้วย เพราะหากสร้างการรับรู้ในช่องทางเดิมอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ขณะนี้มีกระแสต่อต้านพอสมควร โดยเฉพาะมีคนอยากให้ยกเลิกอีอีซีโดยพรรคการเมือง ยกเป็นนโยบายหาเสียงและบอกด้วยว่า จะให้ยกเลิกทั้งหมด จะลดค่าโดยสารรถเมล์และรถไฟ ซึ่งจะทำได้อย่างไร ดังนั้น จะต้องสู้เรื่องนี้กันให้ได้ในทุกช่องทางและขอให้ทุกคนคอยติดตามกระแสต่างๆในโซเชียลมีเดียด้วย เพราะมีผลและบทบาทสูงในเรื่องทางการเมืองในปัจจุบัน
‘เสี่ยหนู’ชูขายข้าว1.6หมื่นต่อตัน
ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย(ภท.) และผู้บริหารพรรค ได้เดินทางมาพบประชาชนและนำเสนอนโยบายที่วัดท่าซุงทักษิณาราม บรรยากาศการปราศรัยเป็นไปอย่างคึกคัก มีประชาชนร่วมรับฟังกว่า 5,000 คนโดย นายอนุทิน กล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ เราเสนอนโยบายข้าวระบบกำไรแบ่งปันและผลักดันให้ตั้งกองทุนข้าว ซึ่งทำได้จริง เพราะเป็นหลักการที่ทำมา 35ปี กับอ้อยและน้ำตาลทราย โดยพรบ.อ้อยและน้ำตาลทรายปี 2527 แบ่งกำไร70% ให้ชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาล30% เมื่อปรับใช้กับข้าว เช่น ปี 2561 รัฐบาลประกาศราคาข้าวหอมมะลิที่ 15,000บาทต่อตัน ระบบกำไรแบ่งปัน จะทำให้ชาวนาได้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงสีและผู้ส่งออกเป็นเงินประมาณ 1,000-1,500 บาทต่อตันรวมชาวนาอาจได้เงินสูงสุด 16,500บาทต่อตัน ส่วนราคาข้าวขาวปี 2561 อยู่ที่ 7,900บาทต่อตัน เมื่อบวกส่วนแบ่งกำไรจากโรงสีและผู้ส่งออก ชาวนาจะได้เงินเพิ่ม 800บาทต่อตัน รวม 8,700บาทต่อตัน
6พรรคร่วมวงเสวนา’บัตรทอง’
วันเดียวกัน เวลา 13.30น.ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ มูลนิธิมิตรภาพบำบัด จัดงานรำลึก 11ปี นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ภายในงานมีงานเสวนา“เวทีมองไปข้างหน้า พรรคการเมืองกับการสร้างหลักประกันสุขภาพเพื่อคนไทยทุกคน”มีตัวแทนกพรรคการเมืองเข้าร่วมเสวนา ได้แก่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย (พท.) นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) นายสุวิทย์เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ทพ.ศุภผล เอี่ยมเมธาวี แกนนำพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.)
มาร์คยันคนไทยต้องมีบัตรทุกคน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ยืนยันว่าบัตรทองเป็นระบบรัฐสวัสดิการเพื่อส่วนรวมของประชาชนและเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของคนไทยทุกคนที่ควรได้รับ รวมถึงคนชายขอบและผู้ตกหล่นด้วย ส่วนความท้าทายในอนาคตเกี่ยวกับระบบการเงินการคลัง ยังคงมองว่าการรักษาสุขภาพต้องเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในระบบประกันสังคมต้องเสียเงินสองต่อ ทั้งเงินสมทบและเสียภาษี พวกเขาควรมีสิทธิเลือกที่จะอยู่ระบบ ขณะที่บัตรข้าราชการต้องได้รับการชดเชยและการดูแล
เจ๊หน่อยชี้ทำให้หนี้สินลดน้อยลง
ด้าน คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า บัตรทองเป็นหลักวิชาการที่ทั่วโลกยอมรับว่าเป็นเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำ ทำให้เกิดความเท่าเทียมกัน เพื่อให้ทุกคนเข้ารับการรักษายาพยาบาลอย่างทัดเทียมและทั่วถึง ประเด็นนี้ยังเป็นหลักที่ต้องยึด เพราะทำให้ประเทศเดินข้ามพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง โดยบัตรทองช่วยให้ครอบครัวที่มีหนี้สิน ล้มละลายน้อยลง
‘พปชร.’อยากให้เดินหน้าต่อไป
นายสุวิทย์ กล่าวว่า บัตรทองต้องเดินหน้าสานต่อและทำต่อให้ดีขึ้นต่อเนื่อง ประเด็นท้าทายต้องตอบคำถามว่า ประชาชนทุกคนได้รับสิทธิถ้วนหน้าหรือไม่ ต้องนำผู้ที่ไม่มีบัตรประชาชนเข้ามาร่วม เมื่อมีสิทธิแล้วประชาชนได้เข้าถึงสิทธิจริงหรือไม่
ขณะที่ นายธนาธร กล่าวว่า พรรคอนาคตใหม่อยากเห็นระบบประกันที่ถ้วนหน้าและทุกคนได้รับสิทธิอย่างเท่าเทียมอย่างแท้จริง สิทธิข้ารากชการต้องโตในอัตราที่น้อยลง และให้สิทธิบัตรทองโตมากขึ้น โดยต้องไม่ให้ข้าราชการคิดว่าสิทธิของตัวเองน้อยลง
‘อ๋อย’เน้นรักษาพยาบาลเท่าเทียม
นายจาตุรนต์ กล่าวว่า ระบบหลักประกันถ้วนหน้าเป็นโครงการที่ต้องการให้ประชาชนมีสิทธิในการักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียมกัน โดยจุดเริ่มต้นระบบต้องการให้ปรับปรุงระบบผ่านกลไก โดยรัฐเป็นผู้จ่ายให้ประชาชนคิดเป็นต่อหัว หลักการดังกล่าว เมื่อทำจริงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เดิมหลักบัตรประกันต้องการให้มีการปรับปรุงทั้งระบบ ทำให้ระบบหลักประกันปัจจุบันกลายเป็นการโจมตีทางการเมือง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี